ผู้เยี่ยมชม
6122
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/09/11
รหัสในเว็บไซต์ fa1283 รหัสสำเนา 16554
คำถามอย่างย่อ
การสมรสจะช่วยส่งเสริมหรือเป็นตัวยับยั้งพัฒนาการทางศีลธรรมกันแน่? ศาสนาอิสลามและคริสต์เห็นต่างในเรื่องนี้อย่างไรบ้าง?
คำถาม
การสมรสจะช่วยส่งเสริมหรือเป็นตัวยับยั้งพัฒนาการทางศีลธรรมกันแน่? ศาสนาอิสลามและคริสต์เห็นต่างในเรื่องนี้อย่างไรบ้าง?
คำตอบโดยสังเขป

การสมรสเปรียบดั่งศิลาฤกษ์ของสังคมซึ่งมีคุณประโยชน์มากมายอาทิเช่น เพื่อบำบัดกามารมณ์ สืบเผ่าพันธุ์มนุษย์ เสริมพัฒนาการของมนุษย์ ความร่มเย็น และระงับกิเลสตัณหา ฯลฯ
ในปริทรรศน์ของอิสลาม การสมรสได้รับการเชิดชูในฐานะเกราะป้องกันกึ่งหนึ่งของศาสนา
ในเชิงสังคม การสมรสมีคุณประโยชน์อย่างเอนกอนันต์ เนื่องจากจะเสริมสร้างครอบครัวให้เป็นดั่งรวงรังอันอบอุ่นที่คนรุ่นหลังสามารถพึ่งพิงได้ ความผาสุกของคนรุ่นหลังจึงขึ้นอยู่กับครอบครัวอย่างชัดเจน
พระผู้สร้างได้บันดาลให้เกิดความรักฉันสามีภรรยาและความรักฉันบุพการีและบุตรธิดา ทั้งนี้ก็เพื่อให้กำเนิด ปกปักษ์รักษา และอบรมสั่งสอนชนรุ่นหลังอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะมนุษยธรรมและจิตสำนึกต่อสังคมจะเกิดขึ้นในสภาวะแวดล้อมของบ้าน และความอบอุ่นที่พ่อและแม่มอบให้ลูกตามธรรมชาติจะส่งผลให้จิตวิญญาณของเด็กอ่อนโยน

แต่นักวิชาการคริสเตียนบางคนกลับมีความเชื่อที่ว่า การสมรสจะเป็นบ่อเกิดของความเสื่อมเสียในสังคม ส่วนบางกลุ่มยอมรับการสมรสอย่างไม่มีทางเลือก เนื่องจากต้องการคงไว้ซึ่งเผ่าพันธุ์มนุษย์

คำตอบเชิงรายละเอียด

แม้การสมรสจะเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความสุขสมทางเพศ แต่ก็ถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิและเป็นอิบาดัตในมุมมองของอิสลาม
หนึ่งในเหตุผลของภาวะดังกล่าวก็คือ การสมรสนับเป็นก้าวแรกของการข้ามผ่านการปรนเปรอตนเองไปสู่การเสียสละให้ผู้อื่น ก่อนสมรสทุกคนเคยชินกับตัวฉันและเพื่อฉันแต่เมื่อสมรสแล้ว ก็ทำให้สามารถฝ่ากรอบความคิดดังกล่าวออกไปได้ โดยการมีผู้อื่นมาเคียงข้างและมีคุณค่าต่อเรา

หากสังเกตุจะพบว่าความเสื่อมทรามของสังคมปัจจุบันนี้เกิดขึ้นเนื่องจากความอ่อนแอของสถาบันครอบครัว นั่นเพราะพ่อแม่ก็ปล่อยปละละเลยบุตรหลาน ลูกๆไม่ให้เกียรติพ่อแม่ ความผูกพันระหว่างสามีภรรยานับวันจะขาดสะบั้นลง
อีกแง่มุมหนึ่ง อิสลามมองว่าการสมรสคือปัจจัยในการดำรงชีวิตอยู่ในศีลธรรม ท่านนบี(..)กล่าวแก่เซด บิน ฮาริษะฮ์ว่าจงสมรสเถิด เพื่อเธอจะดำรงอยู่ในศีลธรรมจรรยา[1] และอีกฮะดีษกล่าวว่าจงหาคู่ครองให้บุตรหลานเถิด เพื่อมารยาทของพวกเขาจะดีขึ้น ปัจจัยยังชีพจะกว้างขวางยิ่งขึ้น และความเป็นชายชาตรีจะเพิ่มมากขึ้น[2] อีกฮะดีษหนึ่ง ท่าน(..)กล่าวแก่สตรีนางหนึ่งที่ตั้งใจว่าจะไม่แต่งงานเด็ดขาดว่าการสมรสจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการรักนวลสงวนตัว[3]

การสมรสจะช่วยให้เกิดความสงบทางจิตใจ ดังที่กุรอานกล่าวว่าสัญลักษณ์หนึ่งของพระองค์ก็คือการที่ทรงสร้างคู่ครองเสมือนสูเจ้าเพื่อบังเกิดความสงบ และทรงบันดาลให้เกิดความรักและความเมตตาระหว่างสูเจ้า[4]
อิสลามถือว่ากามารมณ์เป็นสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงประทานแก่มนุษย์เพื่อรองรับสถาบันครอบครัว อันเป็นหลักประกันการอยู่รอดของเผ่าพันธุ์มนุษย์
เมื่อพิจารณาจากหน้าประวัติศาสตร์จะพบว่า ไม่มีสัญชาตญาณใดที่เป็นจุดอ่อนสำหรับมนุษย์และส่อเค้าจะพลุ่งพล่านยิ่งไปกว่ากามารมณ์ ตรงนี้เองที่ชี้ให้เห็นว่ามนุษย์ต้องควบคุมสัญชาตญาณนี้อย่างเข้มงวดเพียงใด

และเนื่องจากกามารมณ์เป็นบ่อเกิดของภัยคุกคามต่างๆต่อสังคมมนุษย์ นักวิชาการจึงพยายามหาทางออกเกี่ยวกับเรื่องนี้
บางสำนักคิดเช่น พุทธศาสนา ศาสนามานี และแนวคิดของเลโอ ตอลสตอย เชื่อว่าจะต้องหยุดกามารมณ์เพื่อให้มนุษย์พ้นจากภัยคุกคาม โดยให้เหตุผลว่ากามารมณ์มักจะโน้มนำสู่ความต่ำทราม และเป็นบ่อเกิดของอาชญากรรมต่างๆ
เบอร์ทรานด์ รัสเซิ้ล ปรัชญาเมธีร่วมสมัยที่มีชื่อเสียงด้านสังคมเคยกล่าวไว้ว่าแนวคิดต้านกามารมณ์มีปรากฏตั้งแต่ยุคโบราณ ซึ่งจะมีอิทธิพลโดยเฉพาะในดินแดนที่คริสตศาสนาหรือพุทธศาสนาได้รับความนิยมเซอร์ ทาร์ค ได้ยกตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นถึงแนวคิดที่เชื่อว่าเพศสัมพันธ์คละคลุ้งไปด้วยความสามานย์
ความเชื่อที่ว่าเพศหญิงคือตัวการแห่งความหายนะได้แพร่จากเปอร์เซียโบราณสู่ดินแดนทางตะวันออก ซึ่งก่อให้เกิดแนวคิดที่ว่าเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องสกปรก ความคิดดังกล่าวเมื่อได้รับการปรับปรุงเล็กน้อยก็ตรงกับทัศนคติของคริสตจักรนั่นเอง ทัศนคติเชิงลบดังกล่าวกำราบจิตใต้สำนึกของคนจำนวนมากให้ต้องหวาดผวา นักจิตวิเคราะห์หลายท่านเชื่อว่าทัศนคติเช่นนี้ก่อให้เกิดความผิดปกติทางจิตได้

อีกกลุ่มหนึ่งเชื่อว่าไม่ควรปิดกั้นกามารมณ์ไม่ว่าจะกรณีใด เพื่อไม่ให้เกิดความพลุ่งพล่านอันนำไปสู่อาชญากรรมในสังคม การปฏิบัติตามทัศนคติเช่นนี้ทำให้ประชาคมตะวันตกจมปลักอยู่ในความต่ำทราม โดยที่ศาสนาคริสต์เหลือความสำคัญในเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น

ท่ามกลางสองขั้วความสุดโต่งนี้ อิสลามเชื่อว่ากามารมณ์มิไช่สิ่งเลวร้ายโดยสิ้นเชิงที่จะต้องกำราบให้หมดไป แต่ก็ไม่ควรปล่อยอิสระ ทางออกก็คือจะต้องควบคุมให้อยู่ในทำนองคลองธรรม และจะต้องอยู่ใต้อาณัติของมนุษย์ มิไช่มีอิทธิพลเหนือมนุษย์ โดยอิสลามเชื่อว่าวิธีบำบัดกามารมณ์ที่ถูกต้องตามธรรมชาติก็คือ การสมรส
ทีนี้เราจะมาดูกันว่าคริสตศาสนาในฐานะที่ไม่เห็นด้วยกับการสนองกามารมณ์ จะมีทัศนคติอย่างไรเกี่ยวกับการสมรส
มีความเป็นไปได้ที่ทัศนคติเชิงลบของคริสตจักรเกี่ยวกับการบำบัดความไคร่ เกิดจากการตีความสถานะโสดของพระเยซู โดยถือว่าพระเยซูครองโสดก็เพราะเพศสัมพันธ์เป็นสิ่งต่ำทราม ด้วยเหตุนี้เองที่นักบุญและบาทหลวงคริสต์(หลายนิกาย)เชื่อว่าการไม่แตะต้องอิสตรีตลอดชีวิตถือเป็นเงื่อนไขสำหรับพัฒนาการทางจิตวิญญาณ ซึ่งโป๊ปก็ได้รับเลือกจากบุคคลเหล่านี้เท่านั้น

การครองโสดของบาทหลวงและพระคาร์ดินัลทำให้เริ่มเกิดทัศนคติที่ว่าสตรีเป็นเพศแห่งราคะและการเย้ายวนและถือเป็นซาตานขั้นเบื้องต้น โดยทั่วไปแล้วบุรุษเพศจะไม่ทำบาป แต่เพราะการยั่วยวนของอิสตรีจึงทำให้บุรุษเพศกระทำบาป คนกลุ่มนี้เล่าเรื่องนบีอาดัมกับพระนางเฮาวาว่า จริงๆแล้วซาตานไม่อาจจะยุแหย่อาดัมได้ จึงได้เกลี้ยกล่อมอีฟก่อน แล้วให้อีฟเกลี้ยกล่อมอาดีมอีกทอดหนึ่ง ฉะนั้นซาตานตัวจริงจะหลอกล่อสตรี แล้วให้สตรีหลอกล่อบุรุษ แต่คัมภีร์อัลกุรอานได้สวนทัศนคติเช่นนี้ โดยมิได้ถือว่าเพศใดเป็นหลักและอีกเพศเป็นเสมือนกาฝาก ทั้งนี้ก็เพราะกุรอานปรารภว่าเราได้บัญชาแก่ทั้งสองว่าเธอทั้งสองจงอย่าเข้าใกล้ต้นไม้ต้นนี้และยังกล่าวอีกว่าชัยฏอนได้หลอกลวงเขาทั้งสองมิได้กล่าวว่าหลอกลวงสตรีหนึ่งและนางหลอกลวงสามีอีกทอดหนี่ง นบีอาดัมพลาดพลั้งหลงเชื่อชัยฏอนเท่าๆกับที่พระนางเฮาวาหลงเชื่อ และอาจเป็นเพราะต้องการพิทักษ์สถานะของสตรีเพศกระมังที่กุรอานนับว่าท่านหญิงมัรยัมเป็นหนึ่งในนักบุญผู้ยิ่งใหญ่

คริสตจักรอนุมัติให้สมรสได้ก็เนื่องจากต้องคงไว้ซึ่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ ในขณะที่อิสลามถือว่าการสมรสคือจารีตของศาสดา โดยเชื่อว่าหากผู้ใดทำการสมรส ถือว่าครึ่งหนึ่งของศาสนาของเขาได้รับการเติมเต็มแล้ว ส่วนผู้ที่ยังไม่มีโอกาสสมรสก็ให้สำรวมตนเพื่อควบคุมกามารมณ์ไปก่อน
ท้ายนี้ขอนำเสนอฮะดีษที่น่าสนใจดังต่อไปนี้
ท่านอิมามริฎอ(.)กล่าวว่าหากแม้ไม่มีคำสั่งให้ผู้คนต้องสมรสกัน เพียงพอแล้วที่คุณานุประโยชน์ที่พระองค์ทรงกำหนดไว้สำหรับการนี้จะโน้มนำผู้มีความคิดให้แสวงหาการสมรส”(อย่างเช่นคุณประโยชน์ด้านสังคมอาทิเช่นการกระชับสัมพันธ์กับผู้อื่น)
ท่านนบี(..)กล่าวว่าจงหาคู่ครองให้ชายโสดเถิด เพื่อมารยาทของพวกเขาจะดีขึ้น ปัจจัยยังชีพจะกว้างขวางยิ่งขึ้น และความเป็นชายชาตรีจะเพิ่มมากขึ้น[5]
มีหญิงคนหนึ่งกล่าวต่อท่านอิมามศอดิก(.)ว่า ดิฉันเป็นหญิงที่สละแล้วซึ่งโลกย์ ท่านอิมามถามว่า เธอหมายความว่าอย่างไร? นางตอบว่า ดิฉันไม่คิดจะแต่งงาน อิมามถามว่า เพราะอะไรหรือ? นางตอบว่า เพราะดิฉันหวังจะได้รับผลบุญ อิมามกล่าวว่า จงกลับไปเถิด หากการครองโสดถือเป็นความประเสริฐแล้วล่ะก็ ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ที่มีความประเสริฐเหนือสตรีทั้งมวลย่อมจะปฏิบัติเช่นนี้ก่อนเธอเป็นแน่!
มีรายงานจากท่านนบี(..)ว่า ประตูแห่งฟากฟ้าจะเปิดกว้างในสี่เวลา 1. ขณะฝนตก 2. ขณะที่บุตรมองใบหน้าบิดา 3. ขณะที่ประตูกะอ์บะฮ์เปิดออก 4. ขณะที่มีการอักด์สมรส[6]
ท่านอิมามศอดิก(.)กล่าวว่านมาซเพียงสองร่อกะอัตของชายที่มีภรรยาเหนือกว่านมาซของชายโสดกว่าเจ็ดสิบร่อกะอัต[7]
มีฮะดีษระบุว่า ผู้ใดไม่ยอมสมรสเนื่องจากกลัวความยากจน แสดงว่าเขาดูแคลนพระองค์ เพราะพระองค์ทรงตรัสว่า หาก(ชาย)เป็นผู้ยากไร้ พระองค์จะทรงประทานความโปรดปรานแก่เขาให้สมปรารถนา[8]
ฮะดีษมากมายที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่า ไม่เพียงแต่อิสลามจะไม่รังเกียจการสมรสเท่านั้น แต่ยังรณรงค์ให้กระทำในฐานะที่เป็นมุสตะฮับ(ซุนนัต)

อย่างไรก็ดี ไม่ได้หมายความว่าอิสลามจะอนุมัติให้สมรสโดยไม่พิจารณาความเหมาะสมใดๆเลย เนื่องจากสังคมที่ดีย่อมเกิดจากครอบครัวที่ดี และครอบครัวที่ดีย่อมเกิดจากการสมรสที่เหมาะสมและตั้งอยู่บนการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเท่านั้น[9]
กล่าวคือ อิสลามได้นำเสนอมาตรฐานและหลักเกณฑ์ที่ดีเยี่ยมแก่เรา โดยได้ประมวลคุณลักษณะที่คู่ครองพึงมีไว้ซึ่งจะขอนำเสนอโดยสังเขปดังนี้
1. ควรมีศรัทธาที่แท้จริง เนื่องจากผู้ที่มีปฏิสัมพันธ์กับพระเจ้าย่อมมีความน่าเชื่อถือมากกว่า
2. ควรมีจรรยามารยาทในชีวิต เพื่อเพิ่มความสุขและความชื่นฉ่ำใจแก่สมาชิกครอบครัว มีฮะดีษระบุว่าการมีคู่ครองที่นิสัยดุร้ายจะทำให้บุคคลแก่กว่าวัย
3. ควรมีครอบครัวที่ดีและเหมาะสม ท่านนบี(..)กล่าวว่าจงหลีกเลี่ยงต้นกล้าที่งอกเงยจากกองขยะ อันหมายถึงสตรีเลอโฉมที่เติบโตในครอบครัวที่ไม่ดีและกุรอานระบุว่า เราได้สร้างบุรุษและสตรีเพื่อกันและกัน และเป็นแหล่งพักพิงอันสงบของกันและกัน และถือว่าสตรีถือเป็นสิ่งดีๆในชีวิตบุรุษเพศ
4. ไม่ควรกำหนดมะฮัรมากเกินไป ท่านนบี(..)กล่าวว่าสตรีที่ประเสริฐสุดในประชาชาติของฉันคือสตรีที่เลอโฉมกว่าแต่ตกมะฮัรน้อยกว่า
5. ไม่ควรเน้นพิธีรีตองที่ไม่จำเป็น หรือมีการรื่นเริงเกินขอบเขต อันจะทำให้ประตูแห่งความพิโรธของพระองค์จะเปิดออกแก่คู่สมรสแทนความโปรดปราน ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ก็อาจทำให้ชีวิตคู่อาจไม่ได้รับความราบรื่นในอนาคต

ศึกษาเพิ่มเติมได้จากหนังสือต่อไปนี้
1. จริยธรรมทางเพศในอิสลามและโลกอรับ,ชะฮีดมุเฏาะฮะรี
2. การแต่งงานในทัศนะอิสลาม,แปลโดยอะห์มัด ญันนะตี
3. ท่านหญิงซะฮ์รอ, ฟัฎลุลลอฮ์ โคมพอนี



[1] วะซาอิลุชชีอะฮ์,เชคฮุร อามิลี,เล่ม 20,หน้า 35

[2] บิอารุ้ลอันว้าร,มุฮัมมัดบากิร มัจลิซี,เล่ม 103,หน้า 222

[3] วะซาอิลุชชีอะฮ์,เชคฮุร อามิลี,เล่ม 20,หน้า 166

[4] ซูเราะฮ์ อัรรูม, 21
و من آیاته ان خلق لکم من انفسکم ازواجا لتسکنوا الیها و جعل بینکم مودة و رحمة ان فی ذلک ‏لآیات لقوم ‏یتفکرون

[5] อันนะวาดิร,รอวันดี,หน้า 36

[6] บิอารุ้ลอันว้าร,เล่ม 100,หน้า 221, หมวด 1 کراهة العزوبة و الحث على...

[7] อ้างแล้ว

[8] อัลกาฟี,เล่ม 5,หน้า 331

[9] ดู: บทความ: ความสำคัญของการสมรสในทัศนะอิสลามและศึกษาเปรียบเทียบกับทัศนคติของคริสเตียน,พู้รซัยยิดี

แปลคำถามภาษาต่างๆ