การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
7410
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/11/13
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1625 รหัสสำเนา 18392
คำถามอย่างย่อ
ฮะดีษนบีและอะฮ์ลุลบัยต์ที่เกี่ยวกับความเศร้าหมองและการโอดครวญเทียบกับทัศนะของผู้รู้ชีอะฮ์ อย่างใดสำคัญกว่ากัน?
คำถาม
เกี่ยวกับความเศร้าหมองและการโอดครวญ ฮะดีษนบีและอะฮ์ลุลบัยต์สำคัญกว่าหรือทัศนะของผู้รู้ชีอะฮ์? อัลลอฮ์ตรัสว่า "และจงแจ้งข่าวดีแก่เหล่าผู้อดทน ผู้ที่เมื่อภัยพิบัติมาสู่ตนจะกล่าวว่า เราเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์ และเราจะคืนกลับยังพระองค์ (ผู้อดทนที่เปี่ยมศรัทธาเหล่านี้แหล่ะที่)จะได้รับความเมตตาและความดีงามและอภัยโทษจากพระองค์ และแน่แท้ พวกเขาคือผู้ได้รับทางนำ" อีกโองการกล่าวว่า "และเหล่าผู้ที่อดทนต่อความยากไร้และความป่วยไข้และในสมรภูมิ"
ส่วนในนะฮ์ญุ้ลบะลาเฆาะฮ์เล่าว่า ท่านอิมามอลี(อ.)รำพึงรำพันถึงท่านนบี(ซ.ล.)ภายหลังท่านนบีวะฝาตว่า "มาตรว่าท่านมิได้ยับยั้งมิให้อุมมัตแสดงอาการโอดครวญ และมิได้สั่งให้อดทนแล้วไซร้ ฉันจะร่ำไห้แก่ท่านกระทั่งน้ำตาหยดสุดท้าย"
นอกจากนี้ท่านอิมามอลี(อ.)ยังกล่าวไว้ในนะฮ์ญุ้ลบะลาเฆาะฮ์ว่า "ผู้ใดที่ตบที่ขาอ่อนตนเองเพื่อแสดงความละเหี่ยใจขณะมีภัยมา อะมั้ลของเขาจะพินาศสิ้น"
ผู้ประพันธ์หนังสือมุนตะฮั้ลอามาล รายงานว่าอิมามฮุเซนกล่าวแก่ท่านหญิงซัยนับในสมรภูมิกัรบะลาว่า "โอ้น้องพี่ พี่ขอร้องว่าอย่าเผลอฉีกอาภรณ์หลังพี่ถูกสังหาร อย่าข่วนใบหน้าตนเอง อย่ากรีดร้องโอดครวญ"
อบูญะฟัร กุมีรายงานว่า ท่านอิมามอลี(อ.)กล่าวแก่มิตรสหายว่า لَا تَلْبَسُوا السَّوَادَ فَإِنَّهُ لِبَاسُ فِرْعَوْنَ
"จงอย่าสวมใส่เสื้อผ้าสีดำ เพราะนั่นเป็นอาภรณ์ของฟาโรห์"
หนังสือตัฟซี้ร ศอฟีกล่าวไว้ว่า "ท่านนบี(ซ.ล.)รับสัตยาบันของเหล่าสตรีด้วยเงื่อนไขที่ว่าจะต้องไม่นุ่งห่มดำ และจะต้องไม่ฉีกเสื้อผ้าและกรีดร้องฟูมฟาย(ยามทุกข์โศก)"
หนังสือ ฟุรู้อ์ กาฟีย์เขียนไว้ว่า ท่านนบีได้สั่งเสียแก่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ว่า "เมื่อพ่อจากไป จงอย่าข่วนใบหน้าเป็นแผล จงอย่าทำให้ผมเผ้ารุงรัง จงอย่ากรีดร้องฟูมฟาย และจงอย่าจัดให้มีหญิงร่ายโศกคนใดมาร่ายบทโศกให้พ่อ"
เชคมุฮัมมัด บิน ฮุเซน บิน บาบะวัยฮ์ กุมี ซึ่งชีอะฮ์เรียกขานว่า "เชคศ่อดู้ก" กล่าวไว้ว่า "หนึ่งในวจนะที่ท่านนบี(ซ.ล.)กล่าวไว้เป็นคนแรกก็คือ การขับบทโศกถือเป็นกิจกรรมของญาฮิลียะฮ์(ยุคอวิชชา)"
นอกจากนี้ อุละมาอ์ชีอะฮ์อย่างมัจลิซี นูรี และบุรูเญรดี ต่างรายงานจากท่านนบี(ซ.ล.)ไว้ว่า "มีสองเสียงที่พระองค์ไม่ทรงโปรด นั่นคือเสียงกรีดร้องฟูมฟายยามทุกข์ระทม และเสียงดนตรีและการขับร้อง"
ด้วยกับฮะดีษทั้งหมดที่ยกมา คำถามก็คือ เหตุใดชีอะฮ์จึงเพิกเฉยต่อคำสอนดังกล่าว? เราควรจะเชื่อฟังผู้ใด? วจนะของท่านนบี(ซ.ล.)และบรรดาอิมาม(อ.) หรือคำพูดของอุละมาอ์ยุคปัจจุบันของชีอะฮ์?
คำตอบโดยสังเขป

เกี่ยวกับเรื่องนี้ จำเป็นต้องคำนึงถึงข้อเท็จจริงต่อไปนี้:
1.
ไม่ไช่ว่าฮะดีษทุกบทจะเชื่อถือได้ทั้งหมด
2. ต้องคำนึงเสมอว่าปัจจัยกาลเวลาและสถานที่มีอิทธิพลต่อฮุก่ม(กฎศาสนา)
3. ในจำนวนฮุก่มทั้งหมด มีฮุก่มวาญิบและฮะรอมเท่านั้นที่มีความอ่อนไหว
4. จะต้องพิจารณาแหล่งอ้างอิงให้ถี่ถ้วน ตัวอย่างเช่น กรณีของการร้องไห้นั้น ยังมีข้อถกเถียงกันได้ เพราะแม้ว่าวะฮาบีจะฟัตวาห้ามร้องไห้แก่ผู้ตาย แต่ในแง่สติปัญญาแล้วถือว่าเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ นอกจากนี้ฮะดีษทั้งสายซุนหนี่และชีอะฮ์ก็ปรากฏเหตุการณ์ที่ท่านนบี(..)และบรรดาอิมาม(.)ร้องไห้ให้กับผู้ตายหรือบรรดาชะฮีดเช่นท่านฮัมซะฮ์ หรือมารดาท่านนบี(..) ตลอดจนกรณีอื่นๆอีกมาก
5. อุละมาอ์และผู้รู้ระดับสูงสอนว่า มีบางพฤติกรรมที่ผู้ไว้อาลัยไม่ควรกระทำ ซึ่งบางกรณีอาจทำให้ต้องจ่ายกัฟฟาเราะฮ์ด้วย ฉะนั้น จะต้องแยกแยะระหว่างพฤติกรรมที่ผิดหลักศาสนาของผู้คนที่ไม่รู้ศาสนา กับคำสอนที่แท้จริงของอิสลามและบรรดาอุละมาอ์

คำตอบเชิงรายละเอียด

เพื่อให้ได้คำตอบที่เหมาะสมจำเป็นต้องคำนึงถึงข้อเท็จจริงต่อไปนี้:
ฮะดีษที่มีอยู่ในตำราทั่วไป เชื่อถือได้ทั้งหมดหรือไม่?
ต้องเรียนว่าการจะเชื่อถือฮะดีษบทใดนั้น จะต้องพิจารณาทั้งในแง่สายรายงานและเนื้อหาเสียก่อน ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญอิสลามหรือที่เรียกกันว่า"ฟะกีฮ์"หรือ"มุจตะฮิด"
แต่ก็ต้องคำนึงว่า แม้ฮะดีษใดจะถือเป็นฮะดีษเศาะฮี้ห์แล้วก็ตาม หากพบว่ามีฮะดีษเศาะฮี้ห์บทอื่นที่มีเนื้อหาไม่ตรงกัน ก็ต้องนำมาวิเคราะห์เพื่อให้ได้ผลลัพท์ที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ถ้าจะเปรียบเทียบแล้ว การศึกษากุรอานและฮะดีษก็มีส่วนคล้ายการใช้คอมพิวเตอร์อยู่เหมือนกัน ปุ่มคีย์บอร์ดบางปุ่มสั่งการได้เลย แต่บางปุ่มต้องกดพร้อมกันสองหรือสามปุ่มพร้อมกัน การจะเริ่มโปรแกรมใดๆสามารถกดปุ่ม Enter เพียงปุ่มเดียว แต่การทำงานบางส่วนอาจต้องกดหลายปุ่มพร้อมกัน
กรณีกุรอานและฮะดีษก็เช่นเดียวกัน บางประเด็นได้ข้อสรุปด้วยโองการหรือฮะดีษเพียงบทเดียว แต่บางครั้งจะต้องนำมาเทียบเคียงกันมากกว่าสองบทขึ้นไป ยกตัวอย่างกรณีของนะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์ที่มีอยู่ว่า ท่านอิมามอลีกล่าวขณะกำลังอาบน้ำมัยยิตท่านนบี(..)ว่า "มาตรว่าท่านมิได้ยับยั้งมิให้อุมมัตแสดงอาการโอดครวญ และมิได้สั่งให้อดทนแล้วไซร้ ฉันจะร่ำไห้แก่ท่านกระทั่งน้ำตาหยดสุดท้าย ความปวดร้าวนี้จะอยู่ในใจฉันตลอดไป ความระทมจะตรึงอยู่ตลอดกาล เหล่านี้ทั้งหมดเป็นเพียงเศษเสี้ยวของการจากไปของท่าน"[1]
ในขณะที่อีกแห่งหนึ่งท่านกล่าวขณะฝังร่างท่านนบี(..)ว่า "แท้จริงการอดกลั้นเป็นสิ่งดี เว้นแต่สำหรับความโศกต่อการจากไปของท่าน การคร่ำครวญเป็นสิ่งไม่เหมาะสม เว้นแต่สำหรับความระทมต่อการสิ้นชีพตักษัยของท่าน โศกนาฏกรรมก่อนและหลังจากการจากไปของท่านช่างเล็กน้อยนัก"[2]

ส่วนประเด็นเสื้อผ้าสีดำ มีฮะดีษหลายบทเกี่ยวกับเรื่องนี้ หนึ่งในนั้นกล่าวว่า "ท่านอิมามอลีกล่าวว่า พึงหลีกเลี่ยงอาภรณ์สีดำเถิด เพราะนั่นเป็นอาภรณ์ของฟาโรห์"[3]
อีกฮะดีษหนึ่งรายงานจากท่านอิมามศอดิก(.)ว่า "ท่านนบี(..)ไม่โปรดเสื้อฟ้าสีดำนอกจากสามสิ่ง ผ้าโพกหัว รองเท้า และผ้าคลุมกาย"[4]

2. ต้องคำนึงเสมอว่าปัจจัยกาลเวลาและสถานที่หรือ สถานะษานะวี(ต่างกรรมต่างวาระ)นั้น มีอิทธิพลต่อฮุก่มเสมอ ดังที่บรรดาอุละมาอ์ระดับสูงอย่างเช่นท่านอิมามโคมัยนีได้อธิบายไว้ ยุคของท่านนบีก็มีเหตุการณ์เช่นนี้เช่นกัน ตัวอย่างเช่นประเด็นการเยี่ยมเยียนสุสาน ซึ่งผู้รู้ระดับสูงฝ่ายอะฮ์ลิสซุนนะฮ์เองก็รายงานไว้ว่าท่านนบี(..)กล่าวว่า "ก่อนหน้านี้ฉันเคยระงับพวกท่านมิให้เยี่ยมเยียนสุสาน แต่บัดนี้จงไปเยี่ยมเยียนเถิด เพราะการเยี่ยมเยียนสุสานจะทำให้เป็นผู้สมถะในโลกนี้และทำให้รำลึกถึงอาคิเราะฮ์"[5]
อนึ่ง ยังมีหลักฐานจากกุรอานและฮะดีษอีกมากมายที่ระบุว่าสามารถเยี่ยมเยียนสุสานได้ แต่ไม่ขอนำเสนอเพราะเป็นเรื่องนอกประเด็น
ประเด็นของเราคือการสวมชุดดำ บรรดาอุละมาอ์ได้ให้ทัศนะไว้ว่า "สมมติว่าฮุก่มเบื้องแรกของการสวมใส่เสื้อผ้าสีดำคือ มักรู้ฮ์ (น่ารังเกียจ) แต่ปัจจุบันการกระทำดังกล่าวกลายเป็นสัญลักษณ์ของการให้เกียรติปูชณียบุคคลทางศาสนาไปแล้ว ทำให้ต้องฮุก่มเดิมแปรมาเป็นฮุก่มษานะวี(ฮุก่มที่เปลี่ยนไปตามตัวแปรที่เกิดขึ้น) ส่งผลให้ไม่เหมาะสมนักหากจะกลับไปใช้ฮุก่มเดิม

เป็นที่ทราบดีว่า ในหมู่ฮุก่มทั้งห้าประการ(วาญิบ,มุสตะฮับ,มุบาห์,มักรู้ฮ์,ฮะรอม)นั้น ฮุก่มวาญิบ(คำสั่งให้ปฏิบัติ)และฮุก่มฮะรอม(คำสั่งห้าม)ถือเป็นสองขั้วที่สำคัญที่สุด ที่เหลือสามประการไม่ไช่ภาคบังคับแต่อย่างใด ต้องคำนึงว่าตัวอย่างแต่ละกรณีที่ยกมาในคำถามมีฮุก่มที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งจะอธิบายในภายหลัง
ส่วนที่ตั้งปริศนาว่าควรเชื่อฟังนบี(..)และอิมาม(.)หรือจะเชื่อฟังอุละมายุคปัจจุบันมากกว่ากันนั้น มีประเด็นที่ต้องหยิบมาพูดคุยกันดังนี้
. การร้องไห้ในปริทรรศน์ปัญญาและวิทยาศาสตร์
มนุษย์มักจะมีอากัปกริยาที่แตกต่างกันออกไปตามปัจจัยต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องปกติสามัญ บางครั้งหัวเราะชอบใจ แต่บางครั้งก็ร้องไห้เสียใจ
การร้องไห้ถือเป็นปัจจัยสำคัญของชีวิตมนุษย์ ซึ่งหากเกิดขึ้นอย่างเหมาะสมก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
การร้องไห้ในสถานการณ์ตึงเครียด จะช่วยระบายความอัดอั้นและความทุกข์ระทมได้เป็นอย่างดี
บางครั้งการร้องไห้ก็ช่วยชำระจิตใจให้ผ่องใสและพร้อมที่จะกลับตัวกลับใจ เพื่อเริ่มขัดเกลาจิตใจให้บริสุทธิ์
การร้องไห้แก่ผู้ถูกกดขี่ถือเป็นการเชื่อมสัมพันธ์ทางอารมณ์ และเป็นการคัดค้านผู้กดขี่
การร้องไห้มีคุณประโยชน์ทั้งในด้านสุขภาพกาย จิตใจ และมีผลทางการเมืองในบางกรณี
กรณีการร้องไห้ถึงคนที่ล่วงลับไปแล้วก็เช่นกัน เมื่อเราสูญเสียคนที่เรารักก็ย่อมจะหดหู่และเสียใจ อันเป็นเหตุให้น้ำตาใหลเป็นธรรมดา ปรากฏการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องธรรมชาติซึ่งอิสลามในฐานะที่เป็นศาสนาแห่งสัญชาตญาณมนุษย์ก็มิได้ขัดขวางแต่อย่างใด
. การร้องไห้ในทัศนะอิสลาม
1. ในมุมมองของกุรอาน
ซูเราะฮ์ยูซุฟเล่าว่าท่านนบียะอ์กู้บร้องไห้หนักถึงขั้นที่สูญเสียการมองเห็น[6]
อย่างไรก็ดี กรณีนี้หาได้ขัดต่อการอดทนไม่ แต่เนื่องจากหัวใจของบรรดานบีเปี่ยมด้วยเมตตาธรรม จึงไม่แปลกที่จะร่ำให้ต่อการพรากจากบุตรชายประดุจสายน้ำอันเชี่ยวกราก เพียงแต่จะต้องควบคุมตนเองให้ได้ด้วยการไม่ปฏิบัติหรือกล่าวสิ่งใดที่ขัดต่อความพอพระทัยของอัลลอฮ์
2.
เกี่ยวกับวัตรปฏิบัติของท่านนบี(..)และอะฮ์ลุลบัยต์(.)เกี่ยวกับการร้องไห้ต่อผู้ล่วงลับนั้น ยังมีประเด็นที่ต้องถกเถียงกันทางวิชาการ หากพิจารณาในแง่ประวัติศาสตร์แล้วก็จะพบว่าหาได้เป็นอย่างที่วะฮาบีกล่าวอ้างไม่(ร้องไห้เป็นฮะรอม) เนื่องจากท่านนบีและเหล่าสาวกของท่านต่างก็เคยมีพฤติกรรมดังกล่าวอันสอดคล้องกับสัญชาตณาณมนุษย์ทั่วไป ดังตัวอย่างต่อไปนี้
ท่านนบี(..)หลั่งน้ำตาต่อการสูญเสียบุตรชายนามอิบรอฮีม เมื่อมีผู้ติติงท่าน ท่านนบี(..)ตอบว่า "ดวงตาร่ำไห้ และหัวใจโศกสลด ทว่าฉันไม่พูดในสิ่งที่ทำให้พระองค์ทรงกริ้ว"[7]
อีกเหตุการณ์หนึ่งท่านกล่าวว่า "นี่หาไช่การร้องไห้อันเกิดจากความอ่อนแอ แต่เป็นเมตตาธรรม"
เสมือนต้องการจะกล่าวว่าสิ่งที่อยู่ในทรวงอกมนุษย์คือหัวใจ มิไช่ก้อนหิน จึงเป็นธรรมดาที่จะมีปฏิกริยาต่อเหตุการณ์สะเทือนใจ ซึ่งจะเผยออกมาในรูปของน้ำตา นี่ไม่ไช่จุดอ่อนแต่เป็นจุดเด่น การพูดวาจาที่พระองค์กริ้วต่างหากที่เป็นจุดอ่อน[8]
อีกเหตุการณ์หนึ่งก็คือกรณีโศกนาฏกรรมของท่านฮัมซะฮ์ รายงานกันว่าหลังจากที่ท่านฮัมซะฮ์เป็นชะฮีดในสมรภูมิอุฮุด น้องสาวของท่านนาม "เศาะฟียะฮ์"ได้ตามหาท่านนบี(..) เมื่อพบแล้ว ท่านนบีได้กล่าวแก่ชาวอันศ้อรว่า "จงปล่อยเธอเถิด" เศาะฟียะฮ์ได้นั่งลงใกล้ท่านนบี(บางรายงานกล่าวว่านั่งใกล้ศพพี่ชาย)แล้วร่ำไห้ ทุกครั้งที่เสียงร่ำไห้ของนางดัง เสียงร่ำไห้ของท่านนบีก็ดังตามไปด้วย และทุกครั้งที่นางร่ำไห้เสียงค่อย ท่านนบีก็เสียงค่อยด้วย ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(.)ก็ร้องไห้พร้อมกับท่านนบี(..) โดยท่านนบีกล่าวว่า "จะไม่มีผู้ใดเผชิญความปวดร้าวอย่างเธออีกแล้ว"[9]

บางรายงานระบุว่า ภายหลังสงครามอุฮุด เมื่อท่านนบีเห็นว่าทุกบ้านมีเสียงร้องไห้ให้กับชะฮีดในครอบครัวตนเอง ท่านกล่าวขึ้นว่า "ไร้ผู้ใดร่ำไห้ให้กับท่านฮัมซะฮ์" ท่านสะอด์ บิน มุอาซได้ยินเช่นนี้จึงชักชวนให้สตรีเผ่าบนี อับดุลอัชฮั้ลมาร้องไห้ให้กับท่านฮัมซะฮ์ นับแต่นั้นมา ทุกครั้งที่สตรีชาวอันศ้อรจะร้องไห้ให้กับคนในครอบครัวของตน จะร้องไห้ให้กับท่านฮัมซะฮ์ก่อนเสมอ[10]
จากจุดนี้ทำให้ทราบว่าไม่เพียงแต่ท่านนบี(,.)ร่ำไห้ให้กับท่านฮัมซะฮ์ แต่ยังประหนึ่งว่ารณรงค์ให้สตรีชาวอันศ้อรร่ำไห้ร่วมไปด้วย
รายงานว่าเมื่อท่านนบี(..)เยี่ยมเยียนสุสานของมารดา ท่านจะร่ำไห้อย่างหนัก กระทั่งสาวกที่รายล้อมอยู่ร่ำไห้ตามไปด้วย[11]

เกี่ยวกับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ มีรายงานดังต่อไปนี้
ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(.)ร่ำไห้ต่อการจากไปของท่านนบี(..)และพร่ำรำพันว่า "โอ้พ่อจ๋า พ่อสถิตใกล้ชิดพระองค์ พ่อรับคำเชื้อเชิญของพระองค์ และ  บัดนี้ พ่อจะประทับอยู่ในวิมานแห่งฟิรเดาส์"[12]

ยังมีตัวอย่างอีกมากมายเกี่ยวกับการร่ำไห้ของท่านนบี(..) ตลอดจนบุตรหลานและมิตรสหายของท่าน แต่เพื่อมิให้เยิ่นเย้อจึงยกมาเพียงเท่านี้


 

. จริงหรือไม่ที่บรรดาฟุก่อฮาและผู้เชี่ยวชาญทางศาสนาอนุโลมให้ปฏิบัติอย่างไรก็ได้ในการไว้อาลัยแก่ผู้ล่วงลับหรือเมื่อประสบภัยพิบัติและโศกนาฏกรรม? ขอหยิบยกทัศนะของผู้รู้บางท่านเกี่ยวกับเรื่องนี้มานำเสนอดังต่อไปนี้
การร้องไห้ให้กับผู้ตายถือว่าอนุญาต โดยหากเป็นไปเพื่อระบายความทุกข์ที่อัดอั้นในทรวงก็ถือว่ามุสตะฮับ แต่จะต้องไม่เอ่ยคำพูดที่ทำให้พระองค์ทรงกริ้ว นอกจากนี้ การอ่านบทโศกก็ดี ร้อยแก้วหรือร้อยกรองก็ดี หากไม่มีเนื้อหาที่โมฆะ อาทิเช่น การโกหกหรือถ้อยคำต้องห้ามอื่นๆ ก็ถือว่ากระทำได้ เอียะฮ์ติยาฏวาญิบ(พึงระวัง)ไม่ให้มีคำที่ส่อไปในการตัดพ้อโอดครวญเกินเหตุ และเอียะห์ติยาฏวาญิบไม่ให้ข่วนหน้า หรือจิกผมตนเอง หรือตะโกนโหวกเหวกโวยวาย ซึ่งบางกรณีจะทำให้มีภาระต้องจ่ายกัฟฟาเราะฮ์(สินไหม)อีกด้วย [13]
จึงกล่าวได้ว่าบรรดาอุละมาอ์ระดับสูงของฝ่ายชีอะฮ์มีความเห็นสอดคล้องกับฮะดีษและวัตรปฏิบัติของบรรพชนอิสลามทั้งสิ้น

อย่างไรก็ดี อุละมาอ์ทุกฝ่ายต่างยึดถือคำแนะนำของอิสลาม โดยถือว่าการอดทนเป็นคุณค่าอันสูงส่งและกำชับให้ถือปฏิบัติในยามประสบภัยพิบัติและการสูญเสียเพื่อจะได้รับผลบุญอันมหาศาลจากพระองค์
ฉะนั้น สิ่งแรกที่มุสลิมพึงกระทำเมื่อต้องประสบกับภัยพิบัตินานาชนิดก็คือ อดทนเข้าไว้ ซึ่งหากจะร้องไห้ก็ไม่ไช่เรื่องเสียหายอะไร แต่จะต้องไม่แสดงพฤติกรรมบางอย่าง อาทิเช่น ข่วนใบหน้าตนเอง ตะโกนโหวกเหวกโวยวาย ดึงผม ฯลฯ ซึ่งถือว่าขัดต่อคำสอนของอิสลามและอุละมาอ์ ด้วยเหตุนี้ ผู้ตั้งคำถามข้างต้นควรจะปรับทัศนคติให้ถูกต้อง

. ประเด็นสำคัญก็คือ มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีหลากหลายแง่มุม โดยแต่ละแง่มุมมีปฏิกริยาต่อกัน ศาสนาเล็งเห็นความสำคัญทางจิตวิทยาในจุดนี้จึงได้ใช้เป็นเครื่องมือส่งเสริมศาสนา เห็นได้จากการทีท่านนบี(..)รณรงค์ให้ร่ำไห้ให้กับท่านฮัมซะฮ์ โดยตัวท่าน(..)เองก็ร่ำไห้ด้วย ด้วยเหตุนี้ บรรดาอิมาม(.)จึงได้รณรงค์ให้มีการไว้อาลัยแด่อิมามฮุเซน(.)ในฐานะประมุขแห่งบรรดาชะฮีด[14]

เรื่องที่เกี่ยวข้อง: การร่ำไห้ของผู้เยี่ยมเยียนสุสานบะกี้อ์, คำถามที่ 171



[1] นะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์,ดัชตี,ฮิกมัตที่ 235

[2] เพิ่งอ้าง,ฮิกมัตที่ 292

[3] เชคศ่อดู้ก,อิละลุชชะรอยิอ์,เล่ม 2,หน้า 347

[4] เพิ่งอ้าง

[5] สุนัน อิบนิมาญะฮ์,เล่ม 1,หน้า 144

[6] ซูเราะฮ์ยูซุฟ, 84

[7] กาฟีย์,เล่ม 3,หน้า 262

[8] ตัฟซี้รเนมูเนะฮ์,เล่ม 9,หน้า 352

[9] มักรีซี,อัลอัสมาอ์, หน้า 154

[10] อิบนิสะอ์ด,เฏาะบะกอตุลกุบรอ,เล่ม 3,หน้า 11 และ มุสนัดอะหมัด,เล่ม 2,หน้า 129

[11] .ญะฟัร ซุบฮานี, นำทางสู่สัจธรรม,หน้า 231

[12] เพิ่งอ้าง,หน้า 232

[13] อิมามโคมัยนี,ตะห์รีรุ้ลวะซีละฮ์,เล่ม 1,หน้า 93

[14] บิฮารุลอันว้าร,เล่ม 44,หน้า 292

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • คำจำกัดความของท่านเกี่ยวกับวิทยาการ สติปัญญา และศาสนาเป็นอย่างไร ระหว่างทั้งสามมีความแตกต่างกันอย่างไร และประเด็นนี้มีความถูกต้องและเป็นไปได้อย่างไร ถูกต้องหรือไม่ที่ว่าแหล่งที่มาของความรู้ทั้งอยู่ในอัลกุรอาน ประเด็นนี้มีความถูกต้องมากน้อยเพียงใด
    7566 เทววิทยาใหม่ 2554/03/08
    คำว่าความรู้นั้นมี 3 ความหมายกับ 2 นิยามกล่าวคือ :บางครั้งคำว่าอิลม์หมายถึงความรู้บางครั้งหมายถึงวิทยาการและบางครั้งก็หมายถึงสิ่งที่ได้ถูกรู้แล้ว
  • การรัจญฺอัตหมายถึงอะไร? ครอบคลุมบุคคลใดบ้าง? และจะเกิดขึ้นเมื่อใด?
    7244 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/09/25
    การรัจญฺอัตเป็นหนึ่งในความเชื่อของชีอะฮฺอิมามียะฮฺ, หมายถึงการกลับมายังโลกมนุษย์, ภายหลังจากได้ตายไปแล้วและก่อนที่จะถึงวันฟื้นคืนชีพซึ่งจะเกิดขึ้นภายหลังการปรากฎกายของท่านอิมามมะฮฺดียฺ (อ.)
  • การปรากฏกายชั้นศุฆรอเป็นหัวข้อหนึ่งในหลักมะฮ์ดะวียัตหรือไม่?
    6180 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/03/07
    การปรากฏกายชั้นศุฆรอเป็นสำนวนที่เกี่ยวโยงกับการเร้นกายขั้นศุฆรอ ซึ่งต้องการจะสื่อว่า ในเมื่อท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)เคยมีการเร้นกายขั้นศุฆรอ(เล็ก)ก่อนการเร้นกายขั้นกุบรอ(ใหญ่) ก็ย่อมจะมีการปรากฏกายชั้นศุฆรอก่อนจะปรากฏกายขั้นกุบรอระดับโลกเช่นกัน อนึ่ง สำนวนดังกล่าวไม่มีพื้นเพจากฮะดีษใดๆ ...
  • ความแตกต่างระหว่างจริยธรรมกับจริยศาสตร์คืออะไร? สิ่งไหนครอบคลุมมากกว่ากัน? และการตีความเกี่ยวกับจริยศาสตร์กับจริยธรรมอันไหนครอบคลุมมากกว่า?
    21221 จริยธรรมทฤษฎี 2555/04/07
    คำว่า “อัคลาก” ในแง่ของภาษาเป็นพหูพจน์ของคำว่า “คุลก์” หมายถึง อารมณ์,ธรรมชาติ, อุปนิสัย, และความเคยชิน,ซึ่งครอบคลุมทั้งอุปนิสัยทั้งดีและไม่ดี นักวิชาการด้านจริยศาสตร์,และนักปรัชญาได้ตีความเกี่ยวกับจริยศาสตร์ไว้มากมาย. ซึ่งในหมู่การตีความทั้งหลายเหล่านั้นของนักวิชาการสามารถนำมารวมกัน และกล่าวสรุปได้ดังนี้ว่า “อัคลาก ก็คือคุณภาพทางจิตวิญญาณของมนุษย์ ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่มีความเหมาะสม หรือพฤติกรรมอันเหมาะสมของมนุษย์ที่ปฏิบัติในชีวิตประจำวันตน” สำหรับ ศาสตร์ด้านจริยธรรมนั้น มีการตีความไว้มากมายเช่นกัน ซึ่งในคำอธิบายเหล่านั้นเป็นคำพูดของท่าน มัรฮูม นะรอกียฺ กล่าวไว้ในหนังสือ ญามิอุลสะอาดะฮฺว่า : ความรู้ (อิลม์) แห่งจริยศาสตร์หมายถึง การรู้ถึงคุณลักษณะ (ความเคยชิน) ทักษะ พฤติกรรม และการถูกขยายความแห่งคุณลักษณะเหล่านั้น การปฏิบัติตามคุณลักษณะที่แตกต่างกันในการช่วยเหลือให้รอดพ้น หรือการการปล่อยวางคุณลักษณะที่นำไปสู่ความหายนะ” ส่วนการครอบคลุมระหว่างจริยธรรมกับศาสตร์แห่งจริยธรรมนั้น มีคำกล่าวว่า,ความแตกต่างระหว่างทั้งสองมีอยู่เฉพาะในทฤษฎีเท่านั้นเอง ดังนั้น บนพื้นฐานดังกล่าวนี้ ถ้าหากจะกล่าวว่า สิ่งไหนมีความครอบคลุมมากกว่ากันจึงไม่มีความหมายแต่อย่างใด ...
  • อัลกุรอาน บทนิซาอฺ โองการที่ 29 กล่าวว่า(... إِلاَّ أَن تَكُونَ تِجَارَةً عَن تَرَاضٍ مِّنكُمْ): ทำไมจึงกล่าวว่า تَرَاضٍ مِّنكُمْ ความพอใจในหมู่สูเจ้า เพราะเหตุใดไม่กล่าวว่า تراض بینکم ความพอใจระหว่างพวกเจ้า
    8774 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/05/17
    อัลกุรอาน กล่าวว่า »โอ้ บรรดาผู้มีศรัทธา! จงอย่ากินทรัพย์ของสูเจ้าในระหว่างสูเจ้ากันเองโดยทุจริต (ได้มาโดยวิธีต้องห้าม) นอกจากจะเป็นการค้าขายที่เกิดจากความพอใจในหมู่สูเจ้ากันเอง[1]« โองการนี้เป็นหนึ่งบทบัญญัติของอิสลามที่ว่าด้วยเรื่อง การค้าขายแลกเปลี่ยนและธุรกรรมการเงิน ด้วยเหตุนี้ บทบัญญัติอิสลาม จึงได้ใช้โองการข้างต้นพิสูจน์ปัญหาเรื่องการค้าขาย ประโยคที่กล่าวว่า «إلَّا أَنْ تَكُونَ تِجارَةً عَنْ تَراضٍ» “นอกจากจะเป็นการค้าขายที่เกิดจากความพอใจในหมู่สูเจ้ากันเอง” ในโองการข้างต้น, เป็นการละเว้นเด็ดขาดจากบทบัญญัติทั่วไปก่อนหน้านี้, ด้วยคำอธิบายว่า การหยิบจ่ายใช้สอยทรัพย์สินของคนอื่นแบบไม่ถูกต้อง (บาฏิล) หรือไม่ยุติธรรมและไม่เป็นที่พอใจของเขา หรือไม่ถูกต้องตามหลักการคำสอน, ถือว่าฮะรอมและบาฏิล เว้นเสียแต่ว่าจะได้มาโดยการทำการค้าขาย (การเป็นเจ้าของด้วยเงื่อนไขการกำหนดข้อตกลง) แต่สิ่งนั้นก็ยังต้องขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของทั้งสองฝ่าย ที่ได้ตกลงทำการค้าขายกัน, ด้วยเหตุนี้ ธุรกรรมการเงินทั้งหมด และการค้าขายทุกประเภทต้องเกิดจากความพอใจทั้งสองฝ่ายแล้ว ...
  • ความใกล้ชิดกับพระเจ้าคืออะไร มีประเภทใดบ้าง ? และจะเกิดขึ้นได้อย่างไร
    9580 รหัสยปฏิบัติ 2553/10/21
    ค่าว่า กุรบุน หมายความว่าความใกล้กันของวัตถุหนึ่งกับอีกวัตถุหนึ่ง บางครั้งความใกล้ชิดนี้อาจเป็นสถานที่ใกล้เคียง และบางครั้งก็อาจเป็นเวลา ดังนั้น กุรบุน จึงอาจเป็นสถานที่หรือเวลาก็ได้ ส่วนในความในทัศนะทั่วไป คำว่า กุรบุน อาจใช้ในความหมายอื่นก็ได้ กล่าวคือ หมายถึงการมีคุณค่า ศักดิ์ศรีและฐานันดรใกล้เคียงกันในสายตาคนอื่นประเภทของ กุรบุน ในทัศนะของปรัชญา :
  • ใบหน้าของอิมามมะฮ์ดี(อ.)จะเปลี่ยนไปตามกาลเวลาหรือไม่?
    14078 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/20
    ท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)ถือกำเนิดในปีฮ.ศ.255 หากเทียบกับปีนี้ซึ่งเป็นปีฮ.ศ.1432 ก็จะทราบว่าอายุของท่านเมื่อถึงวันที่15 ชะอ์บานในปีนี้ก็คือ 1177  ปี ท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)ได้เผยกายเพื่อทำพิธีนมาซมัยยิตให้บิดาหลังจากที่ถูกวางยาพิษ ผู้คนต่างได้ยลโฉมท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)โดยสาธยายว่าท่านเป็นเด็กหนุ่มที่มีผิวสีน้ำผึ้ง มีผมหยักโศก และมีช่องว่างเล็กน้อยระหว่างฟันหน้า[1]มีฮะดีษสองประเภทที่เกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาของท่านก. กลุ่มฮะดีษที่ไม่ระบุอายุขัยของท่าน โดยกล่าวเพียงว่าท่านยังแลดูหนุ่ม1. شابٌ بعد کبر السن ท่านยังหนุ่มแม้จะสูงอายุ[2]2. رجوعه من غیبته بشرخ الشباب ท่านจะปรากฏกายในรูปของคนหนุ่มที่อ่อนกว่าวัย
  • ผู้มีญุนุบที่ได้ทำตะยัมมุมแทนการอาบน้ำยกหะดัสใหญ่ สามารถเข้ามัสยิดได้หรือไม่?
    6947 สิทธิและกฎหมาย 2554/08/08
    ผู้ที่มีญุนุบที่อยู่ในเงื่อนไขที่สามารถทำตะญัมมุมแทนการอาบน้ำยกหะดัสใหญ่นั้นหลังจากที่ได้ทำการตะยัมมุมแทนการอาบน้ำยกหะดัสใหญ่แล้วก็สามารถเข้าไปในมัสยิดเพื่อร่วมทำนมาซญะมาอัตหรือฟังบรรยายธรรมได้ท่านอิมามโคมัยนีได้ให้คำตอบเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวว่า: “ผลพวงทางด้านชาริอะฮ์ที่เกิดขึ้นจากการอาบน้ำยกหะดัสใหญ่จะมีในกรณีการทำการตะยัมมุมทดแทนเช่นกันนอกจากกรณีการตะยัมมุมทดแทนด้วยเหตุผลที่จะหมดเวลานมาซมัรญะอ์ท่านอื่นๆก็มีทัศนะนี้เช่นเดียวกัน
  • ใครคือบุคคลทีได้เข้าสรวงสวรรค์?
    9932 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/21
    จากการศึกษาอัลกุรอานหลายโองการเข้าใจได้ว่าสวรรค์คือพันธสัญญาแน่นอนของพระเจ้าและจะตกไปถึงบุคคลที่มีความสำรวมตนจากความชั่ว “มุตตะกี”หรือผู้ศรัทธา “มุอฺมิน” ผู้ที่ปฏิบัติตามพระบัญชาของพระเจ้า (ซบ.) และคำสั่งสอนของท่านเราะซูล (ซ็อลฯ) โดยสมบูรณ์บุคคลเหล่านี้คือผู้ได้รับความจำเริญและความสุขอันแท้จริงและเป็นผู้อยู่ในกลุ่มของผู้ประสบความสำเร็จทั้งหลายด้วยการพิจารณาพระบัญชาของอัลลอฮฺ (
  • ท่านนบีเคยกล่าวปฏิญาณถึงตำแหน่งศาสนทูตของตน และตำแหน่งผู้นำของอิมามอลีในอะซานหรือไม่?
    7843 ชีวประวัติมะอฺซูม (อ.) 2554/06/22
    จากการที่คำถามข้างต้นมีคำถามปลีกย่อยอยู่สองประเด็นเราจึงขอแยกตอบเป็นสองส่วนดังนี้1. ท่านนบีกล่าวปฏิญาณถึงตำแหน่งของตนในอะซานหรือไม่?จากการศึกษาฮะดีษต่างๆพบว่าท่านนบีกล่าวยืนยันถึงสถานภาพความเป็นศาสนทูตของตนอย่างแน่นอนทั้งนี้ก็เพราะท่านนบีก็มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามศาสนกิจเฉกเช่นคนอื่นๆนอกเสียจากว่าจะมีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่าท่านนบีได้รับการอนุโลมให้สามารถงดปฏิบัติตามบทบัญญัติใดบ้าง อย่างไรก็ดีไม่มีหลักฐานยืนยันว่าท่านได้รับการอนุโลมไม่ต้องเปล่งคำปฏิญาณดังกล่าวในอะซานในทางตรงกันข้ามมีหลักฐานยืนยันมากมายว่าท่านเปล่งคำปฏิญาณถึงเอกานุภาพของอัลลอฮ์และความเป็นศาสนทูตของตัวท่านเองอย่างชัดเจนและแน่นอน.2. ท่านนบีกล่าวปฏิญาณถึงตำแหน่งผู้นำของอิมามอลีหรือไม่?ต้องยอมรับว่าเราไม่พบหลักฐานที่บ่งชี้ชัดเจนว่าท่านเคยกล่าวปฏิญาณดังกล่าวนอกจากนี้ในสำนวนฮะดีษต่างๆจากบรรดาอิมามที่ระบุเกี่ยวกับบทอะซานก็ไม่ปรากฏคำปฏิญาณที่สาม(เกี่ยวกับวิลายะฮ์ของอิมามอลี)แต่อย่างใดอย่างไรก็ดีเรามีฮะดีษมากมายที่ระบุถึงผลบุญอันมหาศาลของการเอ่ยนามท่านอิมามอลี(อ)ต่อจากนามของท่านนบี(ซ.ล)(โดยทั่วไปไม่เจาะจงเรื่องอะซาน) ด้วยเหตุนี้เองที่อุละมาอ์ชีอะฮ์ล้วนฟัตวาพ้องกันว่าสามารถกล่าวปฏิญาณดังกล่าวด้วยเหนียต(เจตนา)เพื่อหวังผลบุญมิไช่กล่าวโดยเหนียตว่าเป็นส่วนหนึ่งของอะซานทั้งนี้ก็เนื่องจากมีข้อสันนิษฐานว่าประโยคดังกล่าวมิได้เป็นส่วนหนึ่งของอะซานอันถือเป็นศาสนกิจประเภทหนึ่ง. ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60119 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57546 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42201 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39351 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38938 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    33993 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28010 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27954 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27783 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25788 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...