การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
5726
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/10/02
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1741 รหัสสำเนา 17103
คำถามอย่างย่อ
กรุณาแจกแจงแนวความคิดของเชคฏูซีในประเด็นการเมือง
คำถาม
ถ้าเป็นไปได้ กรุณาอธิบายเกี่ยวกับแนวคิดทางการเมืองของเชคฏูซีพอสังเขป
คำตอบโดยสังเขป

ทุกยุคสมัยมักมีประเด็นปัญหาใหม่ๆให้นักวิชาการได้ขบคิดและตอบคำถามเรื่อยมา เชคฏูซีก็ถือเป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่รับผิดชอบภารกิจนี้อย่างดีเยี่ยม แนวคิดทางการเมืองการปกครองของเชคฏูซีสรุปได้ดังนี้
ท่านไม่เห็นด้วยกับการจำแนกศาสนาจากการเมือง
ท่านใช้ข้อพิสูจน์ทางสติปัญญาชี้ให้เห็นว่าจำเป็นจะต้องมีรัฐบาลและระบอบการปกครอง ตลอดจนต้องมีผู้นำสูงสุด
ท่านวิเคราะห์ประเด็นการเมืองด้วยหลักแห่ง"การุณยตา"(ลุฏฟ์)ของอัลลอฮ์ กล่าวคืออัลลอฮ์จะแผ่ความการุณย์ด้วยการตั้งให้มีผู้นำสำหรับมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นนบีหรืออิมาม หรือตัวแทนอิมาม ซึ่งภาวะผู้นำทางการเมืองคือหนึ่งในภารกิจของบุคคลเหล่านี้
ในบริบททางวิชาการ ท่านให้ความสำคัญกับประเด็นภาวะผู้นำทางการเมืองของบรรดาฟะกีฮ์ ความสำคัญของประเด็นดังกล่าวในสายตาประชาชน ความเชื่อมโยงระหว่างภาวะดังกล่าวกับภาวะผู้นำของอิมามมะอ์ศูม ตลอดจนอำนาจหน้าที่ของผู้ปกครองวิถีอิสลามเป็นพิเศษ
นอกจากนี้ การที่ท่านรับเป็นอาจารย์สอนด้านเทววิทยาอิสลามในเมืองหลวงของราชวงศ์อับบาสิด ย่อมแสดงว่าท่านไม่เห็นด้วยกับการจำแนกศาสนาออกจากการเมือง เพราะท่านถือว่าการเมืองเป็นส่วนหนึ่งของสารธรรมศาสนา

คำตอบเชิงรายละเอียด

ก่อนจะเข้าประเด็น เห็นควรที่จะเล่าประวัติของท่านโดยสังเขปของเชคฏูซีให้ทราบทั่วกัน
เชคุฏฏออิฟะฮ์ อบูญะอ์ฟัร มุฮัมมัด บิน อลี ฏูซี หรือที่รู้จักในนาม"เชคฏูซี"  ถือกำเนิดในปีที่ ถือกำเนิดในปีฮ.. 385 ท่านศึกษาวิชาการศาสนาตั้งแต่วัยหนุ่ม ในยุคนั้น แคว้นฏูซ นีชาบู้ร ซับซะว้อร เรย์ และโดยเฉพาะกุมซึ่งเป็นศูนย์กลางชีอะฮ์และอุละมาอ์ ล้วนเป็นแหล่งวิชาการศาสนาทั้งสิ้น ยุคของท่านตรงกับระยะปกครองของสุลต่านมะฮ์มู้ด ฆัซนะวี ที่เมืองฆัซนะฮ์และแคว้นโครอซอน กษัตริย์ผู้นี้ให้ความสำคัญต่อการเผยแพร่แนวทางซุนหนี่ ในขณะที่ดินแดนเปอร์เซียส่วนที่เหลือ อาทิเช่น เรย์ ฟารส์ และแบกแดด เป็นศูนย์การปกครองของกษัตริย์ชีอะฮ์จากราชวงศ์อาลิบูยะฮ์[1]

เชคฏูซีได้เริ่มต้นการศึกษาที่แบกแดด โดยศึกษาจากอาจารย์อย่างเชคมุฟีด และศึกษาวิชาฟิกเกาะฮ์ อุศู้ล และเทววิทยาอิสลามจากซัยยิดมุรตะฎอเป็นเวลากว่า 23 ปี หลังจากอาจารย์เสียชีวิต เชคฏูซีได้รับการยอมรับในฐานะผู้นำสูงสุดของชีอะฮ์ ชื่อเสียงทางด้านวิชาการและความสมถะของท่านได้ยินถึงหูเคาะลีฟะฮ์อับบาสิดนามว่า อัลกออิม บิอัมริ้ลลาฮ์ ซึ่งจากการสนับสนุนโดยราชวงศ์อาลิบูยะฮ์ทำให้ท่านได้รับโอกาสให้สอนเทววิทยาอิสลามในแบกแดด เมืองหลวงของอับบาสิด ต้องคำนึงว่าตำแหน่งดังกล่าวจะมอบให้เฉพาะผู้รู้ระดับสูงสุดเท่านั้น ความเชี่ยวชาญด้านการวินิจฉัยปัญหาศาสนาของท่านสังเกตุได้จากหนังสือ "ตะฮ์ซีบุลอะห์กาม ฟีชัรฮิลมุกนิอะฮ์" ซึ่งท่านประพันธ์ไว้ขณะอายุเพียง27 ปี ซึ่งภายหลังได้รับการยอมรับให้เป็นหนึ่งในสี่ตำราหลักทางด้านฮะดีษของชีอะฮ์ ปราชญ์ระดับสูงอย่างอัลลามะฮ์ ฮิลลี ก็ได้กล่าวยกย่องความยิ่งใหญ่ทางวิชาการของท่าน ซึ่งไม่อาจนำเสนอได้หมด  ที่นี้[2]

เพื่อทำความเข้าใจสถานภาพทางสังคมและการเมืองของท่าน เราขอเล่าสถานการณ์ทางการเมืองและศาสนาในยุคนั้นเล็กน้อย ศตวรรษที่ห้า(..) เป็นยุคแห่งการฟื้นฟูวิทยาการและการเมืองของแบกแดด ในเมืองนี้มีนักวิชาการระดับอัจฉริยะด้านฮะดีษและเทววิทยาอิสลามอาศัยอยู่มากมาย ซึ่งท่านเชคฏูซีก็ได้รับการยกย่องเป็นพิเศษหลังจากเข้าพำนักในเมืองนี้ในปีฮ..408 

ชนชั้นปกครองยุคอับบาสิด (โดยเฉพาะยุคอัลมุตะวักกิ้ล ..232-247)ล้วนให้ความสำคัญแก่กลุ่มสะละฟีสุดโต่ง ซึ่งพยายามกดดันฝ่ายอื่นๆเช่นมุอ์ตะซิละฮ์ ชีอะฮ์ และทุกแนวคิดที่ให้ความสำคัญต่อสติปัญญา
อาลิบูยะฮ์ได้พิชิตนครแบกแดดในปีฮ.. 334  แม้คนกลุ่มนี้จะเป็นชีอะฮ์ แต่ก็มิได้พยายามยกพวกพ้องตนเองขึ้นเหนือพี่น้องซุนหนี่แต่อย่างใด ทำให้ยังสามารถควบคุมความเรียบร้อยภายในเมืองได้ดังเดิม ในยุคของอาลิบูยะฮ์ สังคมมุสลิมพัฒนาด้านวิทยาการอย่างก้าวกระโดด และถือเป็นยุคทองของเสรีภาพทางวิชาการศาสนาเช่นกัน
ราชวงศ์อาลิบูยะฮ์ให้ความสำคัญต่ออุละมาอ์ชีอะฮ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เชคมุฟี้ดและเชคฏูซี ซึ่งแน่นอนว่าเคาะลีฟะฮ์อับบาสิดก็จำยอมต้องให้เกียรติตามไปด้วย[3]

แนวคิดทางการเมืองการปกครองของเชคฏูซี
ทุกยุคสมัยมักมีประเด็นปัญหาใหม่ๆให้นักวิชาการได้ขบคิดและตอบคำถามเรื่อยมา เพื่อให้ได้คำตอบที่สอดคล้องกับแต่ละยุคสมัย เชคฏูซีก็เป็นนักนิติศาสตร์และนักเทววิทยาวิถีอิสลามท่านหนึ่งในยุคของราชวงศ์บุวัยฮิด(ฮิจเราะฮ์ศตวรรษที่สี่และห้า) ที่ได้ตอบคำถามที่เกิดขึ้นในยุคนั้นด้วยมุมมองทางฟิกเกาะฮ์และเทววิทยาชีอะฮ์

กระบวนทัศน์ด้านการเมืองของท่านเน้นย้ำถึงประเด็นการปกครองและปัจจัยต่างๆที่จำเป็น ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและราษฎร์ และวิธีเผชิญหน้ากับนักปกครองที่ไม่พึงประสงค์
สามารถสรุปแนวคิดทางการเมืองการปกครองของท่านได้ดังนี้:

1. ความจำเป็นต้องมีรัฐ
เชคฏูซีได้ใช้หลักสติปัญญาพิสูจน์ถึงความจำเป็นที่จะต้องมีรัฐ ระบอบการปกครอง และนักปกครอง แล้วจึงเสริมด้วยหลักฐานทางฮะดีษ ท่านได้กล่าวไว้ในหนังสือ "อัลอิ๊กติศอดุ้ลฮาดี"ว่า
"
นอกจากกลุ่มอิมามียะฮ์ มุอ์ตะซิละฮ์แห่งแบกแดด และนักวิชาการรุ่นหลังบางท่านแล้ว กลุ่มอื่นๆไม่เชื่อว่าจำเป็นจะต้องมีรัฐและผู้นำตามหลักสติปัญญา อย่างไรก็ดี หลักสติปัญญาดังกล่าวแฝงไว้ด้วยสองวิธีคิด
1. เน้นความจำเป็นที่จะต้องมีระบอบปกครองอิสลามตามหลักสติปัญญา โดยไม่พิสูจน์หรือหักล้างด้วยหลักฐานอันเป็นตัวบทศาสนา
2. เน้นความจำเป็นที่จะต้องมีผู้นำด้วยตัวบททางศาสนา และใช้หลักสติปัญญาพิสูจน์ถึงคุณลักษณะเฉพาะของผู้นำ ในฐานะผู้พิทักษ์ศาสนาและบทบัญญัติอิสลาม[4]
หลังจากที่ท่านนำเสนอและแจกแจงวิธีการดังกล่าวแล้ว ท่านก็ได้แสดงเหตุผลอันบ่งชี้ว่าคล้อยไปทางวิธีการแรกดังนี้
. คนทั่วไปย่อมทำผิดทำบาปกันได้ หรืออาจละเมิดข้อบังคับทางศาสนาไปบ้าง หากมีผู้นำที่มีความชอบธรรมทางการเมืองและได้รับความนิยมจากประชาชน ก็จะได้กำราบศัตรูของประชาชน ลงทัณฑ์อาชญากร และช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากจากเงื้อมมือผู้กดขี่ ผลก็คือ สังคมจะได้รับความสงบร่มเย็นปราศจากภัยคุกคามใดๆ[5]
. หลักการุณยตาของพระเจ้าบ่งชี้ว่า พระเจ้าย่อมจะทรงแต่งตั้งผู้นำที่เหมาะสมสำหรับสังคม สังเกตุว่าท่านเชคฏูซีถือว่าการปกครองประชาชนเป็นเรื่องจำเป็นต่อมนุษย์ และกล่าวอีกว่า ในเมื่อพระองค์จะไม่ทรงปฏิบัติสิ่งไม่ดี และไม่เคยบกพร่องในสิ่งที่ดี พระเจ้าที่ได้ประทานบทบัญญัติแก่มนุษย์บนพื้นฐานของฮิกมะฮ์(วิทยปัญญา)ของพระองค์ ไฉนเลยจะไม่ทรงกำหนดผู้ที่จะทำหน้าที่บังคับใช้บทบัญญัติของพระองค์ และนี่คือบทสรุปจากหลักการุณยตานั่นเอง"[6]

2. ผู้ใดคือนักปกครอง
เชคฏูซีเชื่อว่า ในเมื่อพระเจ้าสร้างโลกด้วยวิทยปัญญา และในเมื่อประชาชนทั่วไปไม่สามารถที่จะเฟ้นหาผู้นำที่เหมาะสมที่สุดเนื่องจากยังมีบาป โดยหลักแห่งการุณยตาแล้ว พระเจ้าจะทรงแต่งตั้งผู้นำและผู้ปกครองรัฐอย่างแน่นอน ในอันดับแรกทรงแต่งตั้งในรูปของรัฐบาลนบี(..) โดยพระองค์ตรัสว่า "นบีมีสิทธิเหนือมุอ์มินยิ่งกว่าตัวของพวกเขาเอง"[7] นักตัฟซี้รได้อธิบายว่าการมีสิทธิเหนือกว่าในที่นี้หมายถึงสิทธิในการบริหารกิจการประชาชน และยังเป็นการรณรงค์ให้เชื่อฟังท่านนบี(..) ภายหลังจากท่าน ไม่มีผู้ใดเหมาะแก่สิทธินี้ไปกว่าผู้ที่มีสถานะเป็นอิมาม ซึ่งทุกคนจำเป็นต้องเชื่อฟัง[8]

3. อำนาจปกครองของอิมาม(.)
เช่นเดียวกับนักนิติศาสตร์อิสลามฝ่ายชีอะฮ์ท่านอื่นๆ เชคฏูซีก็เชื่อว่าอำนาจปกครองของอิมาม(.)คือด้านหนึ่งของตำแหน่งอิมามและผู้นำกิจการทั่วไป ซึ่งจะต้องฟื้นฟูดูแลราษฎรทั้งทางโลกและทางธรรม ส่วนประชาชนก็ต้องเคารพเชื่อฟังอิมาม(.) เพื่อให้บังเกิดรัฐขึ้นในสังคม[9]

4. อำนาจปกครองของตัวแทนอิมาม(.)
เชคฏูซีกำหนดบรรทัดฐานความเป็นผู้ไร้บาปเฉพาะสำหรับท่านนบี(..)และบรรดาอิมาม(.) ส่วนกรณีของการเป็นผู้นำของตัวแทนอิมาม(.)นั้น แม้จะไม่ได้เป็นผู้ไร้บาป แต่ท่านยังถือว่าเป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากจะต้องธำรงไว้ซึ่งระบอบและกฏหมายอิสลามสืบไป

"ทุกครั้งที่เชคฏูซีกล่าวถึงประเด็นอิมาม(.)ในฐานะที่เป็นผู้นำทางการเมือง ท่านมักจะเอ่ยถึงคุณลักษณะต่างๆที่ผู้นำรัฐพึงมีเสมอ นอกจากนี้ท่านยังกล่าวถึงรัศมีอำนาจหน้าที่อันกว้างขวางของบรรดาฟะกีฮ์(ผู้เชี่ยวชาญบทบัญญัติศาสนา)ไม่ว่าจะในด้านการวินิจฉัย การพิพากษา การบังคับใช้บทบัญญัติศาสนา และการบริหารทรัพย์สินทางศาสนา โดยท่านถือว่าบุคคลเหล่านี้มีอำนาจหน้าที่เท่าเทียมกับอิมามแทบทุกเรื่อง ยกเว้นบางกรณีที่เป็นอำนาจหน้าที่อันเกิดจากคุณสมบัติเฉพาะตัวของบรรดาอิมาม ประเด็นนี้ชี้ให้เห็นว่า แม้เชคฏูซีจะไม่ได้ระบุว่าบรรดาฟะกีฮ์เป็นตัวแทนของอิมามในเรื่องกิจการทั่วไปก็จริง แต่สิ่งที่ท่านนำเสนอทั้งหมดล้วนเป็นกรณีตัวอย่างของกิจการทั่วไปทั้งสิ้น อันถือว่าได้รับมอบสิทธิในการปกครองแทนอิมามโดยปริยาย[10]

แนวคิดทางการเมืองที่สามารถพบได้ในกระบวนทัศน์ของเชคฏูซีมีมากมาย อาทิเช่น ประเด็นขอบข่ายอำนาจของนักปกครองในทัศนะอิสลาม เป้าหมายของรัฐอิสลาม ความสัมพันธ์ระหว่างนักปกครองกับราษฎร ทรราชย์กับราษฎร ฯลฯ แต่เนื่องด้วยข้อจำกัดของบทความนี้ จึงไม่สามารถนำเสนอได้อย่างครบถ้วน โปรดติดตามจากบทความชิ้นอื่นเกี่ยวกับเรื่องนี้[11]



[1] อลี ดะวอนี, ครบรอบพันปีเชคฏูซี, เล่ม1,หน้า 3-4

[2] ซัยยิดมุฮัมมัด ริฎอ มูซะวียอน, แนวคิดทางการเมืองของเชคฏูซี,หน้า 18- 25 (ย่อความ)

[3] อ้างแล้ว,หน้า 27- 31 (ย่อความ)

[4] เชคฏูซี, อัลอิ๊กติศอดุ้ลฮาดี,หน้า 183

[5] อ้างแล้ว

[6] อ้างแล้ว, หน้า 112

[7] ซูเราะฮ์ อัลอะห์ซาบ, 6

[8] อัรร่อซาอิ้ล อัลอัชร์,หน้า 112

[9] อ้างแล้ว,หน้า 103

[10] แนวคิดทางการเมืองของเชคฏูซี,หน้า 58

[11] โปรดอ่านคำถามที่ 1740 ระเบียน: คุณสมบัติของรัฐในทัศนะทางการเมืองของเชคฏูซี.

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

คำถามสุ่ม

  • คำว่าดวงวิญญาณที่ปรากฏในซิยารัตอาชูรอหมายถึงผู้ใด? اَلسَّلامُ عَلَیْکَ یا اَبا عَبْدِ اللَّهِ وَ عَلَى الْاَرْواحِ الَّتى حَلَّتْ بِفِنائکَ
    6153 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/01/02
    ارواح التی حلت بفنائک หมายถึงบรรดาชะฮีดที่พลีชีพเคียงข้างท่านอิมามฮุเซนณแผ่นดินกัรบะลาทั้งนี้เนื่องจากเหตุผลต่อไปนี้:1. ผู้เยี่ยมเยียนที่ยังไม่เสียชีวิตมักไม่เรียกกันว่าดวงวิญญาณ2. บทซิยารัตนี้มักจะอ่านโดยผู้เยี่ยมเยียนและแน่นอนว่าผู้อ่านย่อมมิไช่คนเดียวกันกับผู้เป็นที่ปรารภ3. ไม่มีซิยารัตบทใดที่กล่าวสลามถึงผู้เยี่ยมเยียนเป็นการเฉพาะ4. ซิยารัตอาชูรอรายงานไว้ก่อนที่จะมีสุสานที่รายล้อมกุโบรของอิมามฉะนั้นดวงวิญญาณในที่นี้ย่อมมิได้หมายถึงผู้ที่ฝังอยู่ณบริเวณนั้น5. จากบริบทของซิยารัตทำให้พอจะเข้าใจได้ว่าดวงวิญญาณในที่นี้หมายถึงบรรดาชะฮีดที่อยู่เคียงข้างท่านอิมามฮุเซนในกัรบะลาอาทิเช่นการสลามผู้ที่อยู่เคียงข้างท่านอิมามเป็นการเฉพาะ السلام علی الحسین و علی علِیّ بن الحسین و علی اولاد الحسین و علی اصحاب الحسین นอกจากที่เนื้อหาของซิยารัตอาชูรอจะสื่อถึงการสลามอิมามฮุเซนลูกหลานและเหล่าสาวกของท่านแล้วยังแสดงถึงการสวามิภักดิ์ต่อท่านและการคัดค้านศัตรูของท่านอีกด้วย6. ซิยารัตอาชูรอในสายรายงานอื่นมีประโยคที่ว่า السلام علیک و علی الارواح التی حلّت بفنائک و اناخت بساحتک و جاهدت فی ...
  • ท่านอิมามอะลี (อ.) ได้ให้บัยอัตแก่อบูบักรฺ อุมัร และอุสมานหรือไม่? เพราะอะไร?
    9616 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/07/16
    ประการแรก: ท่านอิมามอะลี (อ.) และบรรดาสหายกลุ่มหนึ่งของท่าน พร้อมกับสหายของท่านศาสดา มิได้ให้บัยอัตกับท่านอบูบักรฺตั้งแต่แรก แต่ต่อมาคนกลุ่มนี้ได้ให้บัยอัต ก็เนื่องจากว่าต้องการปกปักรักษาอิสลาม และความสงบสันติในรัฐอิสลาม ประการที่สอง: ปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นไม่อาจคลี่คลายให้เสร็จสิ้นได้ด้วยคมดาบ หรือความกล้าหาญเพียงอย่างเดียว และมิได้หมายความว่าทุกที่จะสามารถใช้กำลังได้ทั้งหมด เนื่องจากมนุษย์เป็นผู้มีสติปัญญา และฉลาดหลักแหลม สามารถใช้เครื่องมืออันเฉพาะแก้ไขปัญหาได้ ประการที่สาม: ถ้าหากท่านอิมามยอมให้บัยอัตกับบางคน เพื่อปกป้องรักษาสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่า เช่น ปกป้องศาสนาของพระเจ้า และความยากลำบากของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) นั่นมิได้หมายความว่า ท่านเกรงกลัวอำนาจของพวกเขา และต้องการรักษาชีวิตของตนให้รอดปลอดภัย หรือท่านมีอำนาจต่อรองในตำแหน่งอิมามะฮฺและการเป็นผู้นำน้อยกว่าพวกเขาแต่อย่างใด ประการที่สี่ : จากประวัติศาสตร์และคำพูดของท่านอิมามอะลี (อ.) เข้าใจได้ว่า ท่านอิมาม ได้พยายามคัดค้านและท้วงติงพวกเขาหลายต่อหลายครั้ง เกี่ยวกับสถานภาพตามความจริง ในช่วงการปกครองของพวกเขา แต่ในที่สุดท่านได้พยายามปกปักรักษาอิสลามด้วยการนิ่งเงียบ และช่วยเหลืองานรัฐอิสลามเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู ...
  • เพราะเหตุใดฉันต้องเป็นมุสลิมด้วย? โปรดตอบคำถามของฉันด้วยเหตุผลของวิทยปัญญา
    7021 เทววิทยาใหม่ 2554/10/22
    แม้ว่าความสัตย์จริงของศาสนาต่างๆในปัจจุบันบนโลกนี้ยังคงปรากฏให้เห็นอยู่บ้างก็ตาม, แต่รูปธรรมโดยสมบูรณ์และความจริงแท้แห่งความเป็นเอกะของพระเจ้ามีเฉพาะในศาสนาอิสลามเท่านั้นหรืออีกนัยหนึ่งท่านสามารถพบสิ่งนี้เฉพาะในคำสอนของอิสลาม, เหตุผลหลักสำหรับการพิสูจน์คำกล่าวอ้างข้างต้น,คือการไม่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้, ประกอบกับการสังคายนาและภาพความขัดแย้งกันทางสติปัญญาที่ปรากฏในคำสอนของศาสนาอื่น
  • แต่ละเมืองสามารถมีนมาซวันศุกร์ได้เพียงแห่งเดียวไช่หรือไม่?
    5589 สิทธิและกฎหมาย 2554/06/11
    ต่อข้อคำถามดังกล่าวบทบัญญัติศาสนาให้ถือระยะห่างระหว่างนมาซวันศุกร์สองแห่งเป็นเกณฑ์.บรรดามัรญะอ์ระดับสูงระบุว่า: ระยะห่างหนึ่งฟัรสัค(6กม.) ถือเป็นระยะห่างที่น้อยที่สุดระหว่างนมาซวันศุกร์สองแห่งหากมีการนมาซวันศุกร์สักแห่งแล้วไม่ควรมีนมาซวันศุกร์แห่งอื่นภายในรัศมีหนึ่งฟัรสัคอีกฉะนั้น การนมาซวันศุกร์สองแห่งที่เว้นระยะห่างหนึ่งฟัรสัคแล้วถือว่าถูกต้องทั้งสองแห่ง. อนึ่ง พิกัดที่ใช้วัดระยะห่างในที่นี้คือสถานที่จัดนมาซวันศุกร์มิได้วัดจากเขตเมือง เมืองใหญ่ที่มีรัศมีหลายฟัรสัคจึงสามารถจัดนมาซวันศุกร์ได้หลายแห่ง.[1]แต่หากเมืองใดมีการนมาซวันศุกร์สองแห่งโดยเว้นระยะห่างไม่ถึงหนึ่งฟัรสัค, ที่ใดที่เริ่มช้ากว่าให้ถือว่าเป็นโมฆะ แต่หากทั้งสองแห่งกล่าวตักบีเราะตุลเอียะฮ์รอมพร้อมกันให้ถือว่าทั้งสองเป็นโมฆะ.
  • ความตายจะเกิดขึ้นในสวรรค์หรือนรกหรือไม่?
    6795 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/08/15
    โองการกุรอานฮะดีษและเหตุผลเชิงสติปัญญาพิสูจน์แล้วว่าหลังจากที่มนุษย์ขึ้นสวรรค์และลงนรกแล้วความตายจะไม่มีความหมายอีกต่อไป กุรอานขนานนามวันกิยามะฮ์ว่า “เยามุ้ลคุลู้ด”(วันอันเป็นนิรันดร์) และยังกล่าวถึงคุณลักษณะของชาวสวรรค์ว่า “คอลิดีน”(คงกระพัน) ส่วนฮะดีษก็ระบุว่าจะมีสุรเสียงปรารภกับชาวสวรรค์และชาวนรกว่า “สูเจ้าเป็นอมตะและจะไม่มีความตายอีกต่อไป(یا اهل الجنه خلود فلاموت و یا اهل النار خلود فلا ...
  • ด้วยการประกอบอิบาดะฮฺนานหลายพันปีของชัยฏอน แล้วมารไม่มีสิทธิ์ได้รับความช่วยเหลือจากอัลลอฮฺเลยหรือ?
    7404 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/10/22
    จากคำกล่าวของอัลกุรอาน ชัยฏอนมาจากหมู่ญิน ซึ่งญินนั้นมีภารกิจหน้าที่เช่นเดียวกับมนุษย์ตามคำกล่าวของท่านอิมามอะลี (อ.) : ชัยฏอนได้อิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺนานถึง 6,000 ปี ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นปีทางโลกหรือปีของปรโลก (ซึ่งหนึ่งวันของปรโลกเท่ากับ 1,000 ปี).ซึ่งความกรุณาอันยิ่งใหญ่และความการุณย์ที่มีต่ออิบลิสก็คือ ประการแรก มารได้ประสบความสำเร็จในการอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺ สอง เนื่องจากอิบาดะฮฺอย่างมากมายมหาศาลทำให้มารได้ยกระดับชั้นเทียบเท่ามลาอิกะฮฺ ซึ่งสิทธิพิเศษที่มารได้รับการช่วยเหลือก็คือ มารได้นั่งในชั้นเดียวกันกับมลาอิกะฮฺ ซึ่งเงื่อนไขของความสะอาดของพวกเขา และเป็นหนึ่งในระบบทางโลกก็คือ บุคคลใดก็ตามที่รู้จักมากระดับชั้นของหน้าที่ก็จะสูงตามไปด้วย, แต่ถ้าผิดพลาดเมื่อใดก็จะได้รับการลงโทษอย่างรุนแรง
  • เพราะเหตุใดอัลลอฮฺ (ซบ.) จึงทรงสร้างชัยฏอน?
    9379 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/04/21
    ประการแรก: บทบาทของชัยฏอนในการทำให้มนุษย์หลงผิดและหลงทางออกไปนั้นอยู่ในขอบข่ายของการเชิญชวนประการที่สอง : ความสมบูรณ์นั้นจะอยู่ท่ามกลางการต่อต้านและสิ่งตรงกันข้ามด้วยเหตุผลนี้เองการสร้างสรรพสิ่งเช่นนี้ขึ้นมาในระบบที่ดีงามมิได้เป็นสิ่งไร้สาระและไร้ความหมายแต่อย่างใดทว่าถูกนับว่าเป็นรูปโฉมหนึ่งจากความเมตตาและความดีของพระเจ้า ...
  • มีวิธีใดบ้างที่จะทำให้สามีภรรยาเข้าใจกันและกัน
    7926 จริยธรรมทฤษฎี 2555/09/15
    ความซื่อสัตย์คือต้นทุนที่สำคัญที่สุดของชีวิตคู่ ในทางตรงกันข้าม ภัยคุกคามที่ร้ายแรงที่สุดที่ก่อให้เกิดความร้าวฉานระหว่างคู่รักก็คือความไม่ไว้วางใจและการหลอกลวงกัน จากที่คุณถามมา พอจะสรุปได้ว่าคุณสองคนขาดความไว้วางใจต่อกัน ขั้นแรกจึงต้องทำลายกำแพงดังกล่าวเสียก่อน วิธีก็คือ จะต้องหาต้นตอของความไม่ไว้วางใจให้ได้ แล้วจึงสะสางให้เป็นที่พึงพอใจทั้งสองฝ่าย ซึ่งหากเสริมสร้างความไว้วางใจได้สำเร็จ ไม่ว่าคุณไสยหรือเวทมนตร์คาถาใดๆก็ไม่อาจจะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับภรรยาได้อีก ...
  • ตัฟซีรอิมามฮะซัน อัสการีย์ (อ.) »อัลฮัมดุลลิลฮิร็อบบิลอาละมีน« หมายถึงอะไร?
    10933 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/05/17
    ตัฟซีรอิมามฮะซัน อัสการียฺ (อ.) เป็นหนึ่งในตัฟซีรที่กล่าวว่าเป็นของท่านอิมาม ซึ่งมีเหตุผลบางประการพาดพิงว่าตัฟซีรดังกล่าวเป็นของท่านอิมาม แต่เป็นเหตุผลที่เชื่อถือไม่ได้แน่นอน ตัฟซีรชุดนี้ได้มีการตีความอัลกุรอาน บทฟาติฮะฮฺ (ฮัม) และบทบะเกาะเราะฮฺ โองการ 282 โดยรายงานฮะดีซ ซึ่งในวิชาอุลูมกุรอานเรียกว่าตัฟซีร »มะอฺซูเราะฮฺ« อย่างไรก็ตาม, ท่านอิมามฮะซันอัสการียฺ (อ.) ได้อธิบายถึงประโยคที่ว่า «اَلْحَمْدُ لِلَّهِ رَبِّ الْعالَمِين» ไว้ในหลายประเด็น, เนื่องจาการขอบคุณอัลลอฮฺ เพราะความโปรดปรานต่างๆ อันไม่อาจคำนวณนับได้, การสนับสนุนสรรพสิ่งถูกสร้าง, ความประเสริฐ และความดีกว่าของชีอะฮฺ เนื่องจากการยอมรับวิลายะฮฺ และอิมามะฮฺของท่านอิมามอะลี (อ.) และกล่าวว่า เนื่องจากจำเป็นต้องขอบคุณอัลลอฮฺ เพราะความโปรดปรานของพระองค์ จึงได้กล่าวว่า «اَلْحَمْدُ لِلَّهِ رَبِّ الْعالَمِين» ...
  • การนั่งจำสมาธิคืออะไร? ชีอะฮฺมีทัศนะอย่างไรเกี่ยวกับการนั่งจำสมาธิ?
    8378 รหัสยปฏิบัติ 2557/05/20
    วัตถุประสงค่ของการนั่งจำสมาธิ (การอิบาดะฮฺ 40 วัน) คือการเดินจิตด้านใน, การจาริกจิต, การคอยระมัดระวังตนเองภายใน 40 วัน, เพื่อยกระดับและพัฒนาจิตด้านในของบุคคล เพื่อเตรียมพร้อมที่จำเป็น สำหรับการรองรับวิทยญาณและวิชาการของพระเจ้า ซึ่งนักเดินจิตด้านใน และปราชญ์ฝ่ายชีอะฮฺส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับประเด็นดังกล่าว ซึ่งวางอยู่บนพื้นฐานของโองการและรายงานฮะดีซ ด้วยเหตุนี้ การอิบาดะฮฺและการตั้งเจตนาด้วยความจริงใจและบริสุทธิ์ใจ ภายใน 40 วัน จึงถือว่าเป็นการปฏิบัติที่ดีที่สุด แต่สิ่งที่นักเดินจิตด้านในตักเตือนไว้คือ จงอย่าให้การนั่งจำสมาธิกลายเป็นเครื่องมือละทิ้งสังคม ปลีกวิเวกจนกลายเป็นความสันโดษ ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    59391 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    56844 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    41674 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    38426 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38418 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    33450 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    27540 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27236 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27133 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25209 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...