การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
12870
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/10/22
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1825 รหัสสำเนา 17843
คำถามอย่างย่อ
สตรีในทัศนะอิสลามมีสถานภาพสูงส่งเพียงใด ?พวกเธอมีสิทธิเท่าเทียมกับผู้ชายหรือ?
คำถาม
สตรีในทัศนะอิสลามมีสถานภาพสูงส่งเพียงใด ?พวกเธอมีสิทธิเท่าเทียมกับผู้ชายหรือ?
คำตอบโดยสังเขป

ในทัศนะอิสลาม, สตรีและบุรุษนั้นมีเป้าหมายร่วมกันนั่นคือ – การพัฒนาตนไปให้ถึงยังสถานอันสูงสุดของความเป็นมนุษย์ – และการไปถึงเป้าหมายดังกล่าว ทั้งสองจึงมีมาตรฐานอันเดียวกัน ซึ่งความต่างเรื่องเพศอันเป็นความจำเป็นของการสร้าง แทบจะไม่มีบทบาทอันใดทั้งสิ้นในการสร้าง หรือเพิ่มเติมศักยภาพและความสามารถดังกล่าวนั้น หรือคุณค่าในทางศาสนาเองก็มิได้มีบทบาทอันใดเช่นกัน ดังนั้น ความสมบูรณ์ของสตรีจึงมิได้อยู่ในฐานะภาพเดียวกันกับความสมบูรณ์ของบุรุษ หรือใช่ว่าบุรุษจะใช้ความเป็นเพศชาย มาควบคุมความเป็นสตรีก็หาไม่

ดังนั้น ในทัศนะของอิสลาม :

1.สตรี, จึงเป็นสถานที่ปรากฏความสวยงาม ความประณีต และความเงียบสงบ

2.สตรี, คือที่มาแห่งความสงบมั่นของบุรุษ, ส่วนบุรุษนั่นเป็นสถานพำนักพักพิง ให้ความรับผิดชอบ และการเป็นผู้นำของสตรี

3.ความใกล้ชิดกับพระเจ้าเป็นผลที่เกิดจากการประพฤติปฏิบัติดี, หรือการดำเนินในหนทางของการขัดเกลาจิตวิญญาณก็มิได้จำกัดเฉพาะอยู่ในเรื่องเพศแต่อย่างใด

4.ความแตกต่างระหว่างบุรุษและสตรีในเรื่องหลักการปฏิบัติ, ก็มิได้เกิดจากการอธรรม หรืออำนาจอธิปไตยของบุรุษ ซึ่งถืออำนาจบาดใหญ่มาจากหน้าที่ความรับผิดชอบที่มีมากกว่า ในเรื่องการดูแลและรับผิดชอบครอบครัว และสังคม

คำตอบเชิงรายละเอียด

ถ้าหากเราปิดหูปิดตาไม่มองสภาพความเป็นจริง หรือปรากฏการณ์ต่างๆ ที่ได้เกิดขึ้นและเป็นไป หรือไม่ยอมพิจารณาแม้ในสิ่งที่ตนยอมรับ แล้วเวลานั้นได้แสดงทัศนะออกมา ซึ่งเราก็จะพบว่าจริงๆ แล้วความสมบูรณ์ของสตรีนั้น มิได้อยู่ในสถานภาพเดียวกันกับบุรุษแต่อย่างใด หรือมิใช่ว่าบุรุษจะมีความทะเยอทะยาน และกระโดดโลดเต้นในความเป็นบุรุษของตน

ความจริงก็คือ กายภาพในการสร้างมนุษย์นั้นมีเป็นสองครึ่งที่มีความอิสระโดยสิ้นเชิง, ทว่าทั้งสองได้ถูกสร้างขึ้นมาอย่างมีความสัมพันธ์กัน (บุรุษและสตรี)

สิ่งที่บ่งบอกให้เห็นว่าบุรุษและสตรีนั้นมีดีกว่ากันก็คือ ความกระตือรือร้นในการพัฒนาไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่แท้จริง,กล่าวคือการเปลี่ยนแปลงศักยภาพให้เป็นทุนมนุษย์ขณะที่อยู่ในขั้นตอนของการพัฒนา –แต่ในแง่ของวะฮฺยูและคำสอนอิสลาม – และอัลกุรอานแล้วไม่มีความแตกต่างกันระหว่างเพศหญิงและเพศชาย นอกเสียจากว่าเป็นความจำเป็น ความเป็นระบบ และความสัมพันธ์ในการสร้างเท่านั้น

เนื่องจากคำถามคือ “การรู้จักสถานภาพของสตรี” ในประเด็น “คำสอนอิสลาม” ดังนั้น จึงเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องพิจารณาจากทุนด้านในอันเป็นแนวคิดของศาสนา กล่าวคือจำเป็นต้องได้รับประโยชน์จากอัลกุรอาน ซุนนะฮฺอันเป็นแก่นของนบี (ซ็อล ฯ) และอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.)

ทัศนะและมิติแห่งสถานภาพของสตรี

สถานภาพของสตรีในทัศนะอิสลามนั้น สามารถกล่าวสรุปได้ใน 3 ประเด็นดังต่อไปนี้

ก. ฐานะคือบุคลิกของความเป็นมนุษย์

1. สตรีคือแหล่งที่มาของความละเอียดอ่อน ความประณีต ความน่ารัก ความสวยงาม และความสงบ. เนื่องจากสรรรพสิ่งทั้งหลายคือแหล่งที่มาอันเป็นนามธรรมจากบรรดานามทั้งหลายของพรเจ้า, เนื่องจากบรรดาสิ่งถูกสร้างนั้นมาจากคุณลักษณะปัจจุบันของพระเจ้า (มิใช่มาจากคุณลักษณะแห่งอาตมันของพระองค์) อันประกอบด้วย ภาพปรากฎของพระเจ้าในรูปร่างของสิ่งถูกสร้างต่างๆ ดังเช่นที่ท่านอิมามอะลี (อ.) กล่าวว่า : การสรรเสริญทั้งมวลเป็นสิทธิแด่เอกองค์อัลลอฮฺ ซึ่งทรงปรากฏแจ้งแก่สิ่งถูกสร้าง (มนุษย์) ของพระองค์[1] และ[2]

จากมุมมองของอัลกุรอาน, ความเร้นลับในการสร้างสตรีนั้นมีความกระตือรือร้นมากยิ่งกว่า การสร้างสตรีในฐานะที่เป็นผู้มีส่วนร่วมในก่อตั้งครอบครัว หรือการมีเพศสัมพันธ์อันเป็นสัญชาติญาณพื้นฐานของมนุษย์

“และหนึ่งจากสัญญาณทั้งหลายของพระองค์คือ ทรงสร้างคู่ครองให้แก่พวกเจ้าจากตัวของพวกเจ้า เพื่อพวกเจ้าจะได้มีความสุขอยู่กับนาง และทรงมีความรักใคร่และความเมตตา ระหว่างพวกเจ้า แท้จริงในการนี้แน่นอน ย่อมเป็นสัญญาณแก่หมู่ชนผู้ใคร่ครวญ[3]

2.ความพิเศษต่างๆ แห่งเชื้อชาติ และชนิด และ....ล้วนเป็นสิ่งผุสลายทั้งสิ้น “ผู้ที่เกียรติยิ่ง ณ อัลลอฮฺคือผู้มีความสำรวมตนจากบาป”[4]

3. การเชิญชวนของบรรดาศาสดาทั้งหลาย (อ.) และคำพูดของบรรดาคัมภีร์แห่งฟากฟ้าทั้งหมดล้วนเกี่ยวพันกับมนุษย์ทั้งสิ้น ซึ่งประโยคหนึ่งได้ประกาศก้องเสมอว่า “ดังนั้นผู้ใดปฏิบัติตามข้าฯ แท้จริงเขาเป็นพวกของข้าฯ”[5]

4.สถานภาพของสตรีในการสร้างมิได้เป็นพรมแดนแห่งชัยชนะ, การมี หรือการไปถึงยังเป้าหมายแต่อย่างใด “โอ้ มนุษย์เอ๋ย แท้จริงเจ้าต้องพากเพียรไปสู่พระผู้อภิบาลของเจ้าอย่างทรหดอดทน แล้วเจ้าจะได้พบพระองค์”[6] “แต่ละคนย่อมได้รับการค้ำประกันในสิ่งที่เขาขวนขวายไว้”[7] “และมนุษย์จะไม่ได้อะไรเลยนอกจากสิ่งที่เขาได้ขวนขวายเอาไว้ และแท้จริงการขวนขวายของเขาก็จะได้เห็นในไม่ช้า”[8]

5. บุคคลใดก็ตามเป็นบ่าวที่แท้จริงของพระเจ้า เขาจะได้ใกล้ชิดกับพระองค์ไม่ว่าบุรุษหรือสตรีก็ตาม

“และเมื่อบ่าวของข้าถามเจ้าว่าว่าข้าอยู่ไหน? อันที่จริงข้านี้อยู่ใกล้ ข้าจะตอบรับคำวิงวอนของผู้ที่วิงวอน ถ้าเขาวิงวอนต่อข้า”[9]

6. การไปถึงยังวิถีชีวิตหรือชีวิตที่ดี (สะอาดบริสุทธิ์) ประกอบไปด้วยเงื่อนไขสำคัญ 2 ประการ อันได้แก่ : การประพฤติคุณงามความดี และการเป็นผู้ศรัทธา (ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายก็ตาม)

“ผู้ใดปฏิบัติความดีไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงก็ตาม ขณะที่เขาเป็นผู้มีศรัทธา ดังนั้น แน่นอนเราจะให้เขาดำรงชีวิตที่ดี และแน่นอนเราจะตอบแทนพวกเขาซึ่งรางวัลของพวกเขา ที่ดียิ่งกว่าที่พวกเขาเคยกระทำไว้”[10]

7.แม้ว่าเขาจะย่างก้าวอยู่บนสัจธรรมความจริง, กระนั้นยังได้รับการสาปแช่งจากพระเจ้า

“แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา และได้สิ้นชีพลง ขณะที่พวกเขาเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาอยู่นั้น ชนเหล่านี้จะประสพกับการสาปแช่งของอัลลอฮฺ และมะลาอิกะฮฺและปวงมนุษย์”[11]

สิ่งที่ได้รับจากบรรดาโองการเหล่านี้คือ, ผู้ที่อัลลอฮฺทรงตรัสถึงคือ มนุษย์ทั้งสิ้น, อันเนื่องจากมนุษย์, อยู่ในกลุ่มของผู้มีศรัทธาและปฏิบัติการงานของตน “ดังนั้น ทุกคนคือผู้ดำเนินกิจกรรมของตน” ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงก็ตาม, ส่วนสตรีในมุมมองของวะฮฺยู, ในประเด็นของบุคลิกภาพคือ “ความเป็นมนุษย์” เพศนั้นมิได้มีผลกระทบต่อการมีบทบาทและหน้าที่ของบุคคลแต่อย่างใด

อีกประเด็นที่ต้องพิจารณาถึงคือ สถานของสตรีในมุมมองของอิสลาม :

ข. สตรีคือบันใดของนักเอรฟานและฟากฟ้าแห่งการรู้จัก

1. มิได้เป็นเช่นนั้น, กล่าวคือพระเจ้ามิได้มีลักษณะเป็นเพศชาย หรือการรู้จัก ทว่าในความเป็นจริงพระองค์คือขุมคลัง สตรีคือ สิ่งต้องห้ามเมื่อได้ถูกนำเสนอแก่พวกเขา พวกเขาจะมุ่งไปสู่เป้าหมาย ดังนั้น การพัฒนาจิตใจจะขึ้นอยู่กับสูตรสำเร็จดังต่อไปนี้ : การรู้จัก, ความรัก, การเชื่อฟัง, และความใกล้ชิด

ขณะที่, ไม่มีความแตกต่างกันสักนิดเดียวไม่ว่าจะเป็นใคร หรือจะย่างก้าวไปสู่การรู้จัก และวิทยปัญญามากน้อยเพียงใดก็ตาม สิ่งสำคัญคือการรู้จักคุณค่าของการชี้นำ เวลานั้นเขาจึงจะได้อยู่ในข้อสัญญาของพระเจ้าที่ว่า :

“บรรดาพวกที่ต่อสู้ในวิถีทางของเรา, เขาจะได้เข้าสู่หนทางแห่งความใกล้ชิดกับเรา” และเขาได้ย่างก้าวอย่างสุขุมเพื่อไปถึงเป้าหมาย ทั้งบุรุษและสตรีอัลกุรอานได้หยิบยกตัวอย่างอันสำคัญยิ่งอันเป็นบทเรียนสำคัญแก่พวกเราเอาไว้ :

อัลลอฮฺ (ซบ.) ตรัสถึงบุคคลที่มีศรัทธาไว้ –ตัวอย่าง- “ภรรยาของฟิรอาวน์” (นางไม่พึงพอใจกับการปฏิเสธและความหยิ่งผยองของฟิรอาวน์แต่อย่างใด) นางได้ดุอาอฺกับพระเจ้าว่า “อัลลอฮฺทรงยกเอาภริยาของของฟิรเอานุเป็นอุทาหรณ์แก่บรรดาผู้ศรัทธา ขณะที่นางกล่าวว่า โอ้ พระผู้อภิบาลของข้าฯ โปรดสร้างบ้านหลังหนึ่ง ณ ที่พระองค์ในสรวงสวรรค์แก่ข้าฯ โปรดช่วยข้าฯ ให้พ้นจากฟิรเอานุและการกระทำของเขา และทรงโปรดช่วยข้าฯ ให้พ้นจากหมู่ชนผู้อธรรม”[12]

ตัวอย่างที่ดีอีกประการหนึ่งคือ ท่านหญิงมัรยัม (อ.) ซึ่งอัลกุรอาน บทตะฮฺรีม โองการที่ 12 ได้กล่าวถึงนางเอาไว้

ขณะเดี่ยวกัน อัลกุรอานได้กล่าวถึงตัวอย่างของประชาชาติที่เลวทรามเอาไว้เช่นกัน โดยกล่าวถึงสตรี 2 คน (ภรรยาของศาสดานูฮฺ และศาสดาลูฏ) เป็นตัวอย่างเอาไว้[13] โองการต่างๆ เหล่านี้,ได้ยกตัวอย่างของสตรีที่ดีและไม่ดี ซึ่งมิได้หมายความว่ามีเฉพาะสตรี หรือเป็นตัวอย่างสำหรับสตรีเท่านั้น ทว่าเป็นตัวอย่างแก่ทุกคน

2. ทุนอันมีความสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาขัดเกลาจิตใจคือ “หัวใจ” และ “หัวใจที่แตกสลาย” ซึ่งสตรีคือทุนที่มีความสำคัญยิ่งกว่าบุรุษเพศ : “แนวทางในการพัฒนามนุษย์ไปสู่ความสูงส่งมีความแตกต่างกัน กล่าวคือ แนวทางหนึ่งคือการคิดใคร่ครวญ ส่วนอีกแนวทางหนึ่งคือการรำลึก, ลิ้นคือหนทางของการรำลึก ส่วนหัวใจคือหนทางของการวิงวอน หนทางของความรัก ดังนั้น ถ้าหากสตรีไม่ประสบความสำเร็จยิ่งไปกว่าบุรุษ นางก็อยู่ในระดับเดียวกันกับบุรุษ”[14]

3.ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า : “ความรู้แห่งพระเจ้าองค์เดียวและการอิบาดะฮฺที่ดีและประเสริฐสุคคือ การขอลุแก่โทษ”[15] เป็นที่ประจักษ์ว่าการไปถึงยังความรู้เหล่านี้ ไม่มีความแตกต่างกันระหว่างบุรุษและสตรี

4. ถ้าหากมีความสำรวมตนต่อพระเจ้า บุคคลนั้นก็จะไปถึงยังตำแหน่งของการมีมโนธรรม และแน่นอน ความสำรวมตนจากความผิด (ตักวา) ก็มีได้เฉพาะเจาะจงอยู่ในกลุ่มใดเป็นการเฉพาะด้วย

“แท้จริง บุคคลใดสำรวมตนจากความชั่วและอดทน (เขาจะประสบชัย) เนื่องจากอัลลอฮฺ มิทรงทำลายรางวัลของบรรดาผู้ทำความดีให้เสียหาย[16]

แต่บุคคลใดก็ตาม “ส่วนผู้ที่เกรงกลัวต่อฐานันดรของพระผู้อภิบาลของเขา และได้ระวังจิตใจจากอำนาจฝ่ายต่ำ แน่นอน สรวงสวรรค์เป็นที่พำนักสำหรับเขา”[17]

สรุป : มีตัวอย่างมากมายสำหรับสตรีที่ประสบความสำเร็จในฐานะของ อาริฟ ในทุกยุคทุกสมัย, ซึ่งเราท่านทั้งหลายประจักษ์กับสายตาตนเองแล้วว่า การเปิดประตูไปสู่การขัดเกลา และการรู้จักจิตใจตนเอง สตรีคือผู้มีบทบาทสำคัญยิ่ง

ค. สถานภาพของสตรีในบทบัญญัติของพระเจ้า

แน่นอน สิ่งอันเป็นเหตุก่อให้เกิดคำถามต่างๆ มากมาย หรือความสงสัยเกี่ยวกับสถานภาพของสตรีในอิสลามคือ, บทบัญญัติบางประการที่เกี่ยวข้องกับสตรี แต่ถ้าพิจารณาโดยละเอียดถี่ถ้วนทั่วไปแล้วเกี่ยวกับ บทบัญญัติและชนิดหรือเพศของพวกเธอ เราก็สามารถขจัดความสงสัยเหล่านั้นไปได้อย่างง่ายดายที่สุด

บทบัญญัติของอิสลาม – พิจารณาด้านเพศ – สามารถแบ่งออกได้หลายกลุ่มดังนี้ :

1. บทบัญญัติร่วม : เช่น การถือศีลอด, นมาซ, ฮัจญ์, และ ....

2. บทบัญญัติเฉพาะสำหรับสตรี เช่น : การมีรอบเดือน ระดูเกินกำหนด และ ..

3. บทบัญญัติที่ดูเหมือนว่าจะแบ่งแยกชนชั้น เช่น : มรดกอันเป็นส่วนแบ่งของสตรี, ค่าปรับ, ค่าสินไหม, และ ...

โดยทั่วไปแล้วการมีบทบัญญัติเฉพาะสำหรับสตรี หรือการมีบทบัญญัติในสองลักษณะ (ภายนอกกับการแบ่งแยก) มีหลายองค์ประกอบด้วยกัน กล่าวคือ :

1.ผู้ชาย, คือผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายของครอบครัว ดังนั้น ชายจึงต้องมีทรัพย์สินไว้ในครอบครองมากกว่าฝ่ายหญิง (ด้วยเหตุนี้ สิทธิในการรับมรดก –เฉพาะบางประการ- เท่านั้นที่ได้มากกว่าสตรี[18]

2.รายงานบางบทที่กล่าวถึง การประณามสตรี, ก็คือสตรีในฐานะของเจ้านาย มิใช่ในฐานะของสตรี คือมนุษย์ประเภทหนึ่ง ตัวอย่าง “สตรีเสมือนแมงป่อง ทว่าคำเหน็บแนมของหญิงนั้นไพเราะ”[19]

3. รายงานฮะดีซบางบท (โดยเฉพาะจากนะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ) ที่ได้กล่าวประณามสตรีเอาไว้, สตรีที่ออกสงคราม ยะมัล ในสมัยปกครองของท่านอิมามอะลี (อ.) โดยการบัญชาการของ อาอิชะฮฺ คือสตรีที่ได้รับการประณามจากท่านอิมามอะลี (ซึ่งเฉพาะเจาะจงสตรีในยุคนั้นสมัยนั้นเท่านั้น)[20]

4. ในบางประเด็นของบทบัญญัติ เช่น การเริ่มสงคราม, การตัดสินคดีความ และ .... ได้รับการยกเว้นจากสตรี มิใช่ว่าเป็นการกีดกันสิทธิของสตรี ซึ่งประเด็นนี้มีความละเอียดอ่อนมาก เนื่องจากอัลลอฮฺมิทรงประสงค์ให้สตรีต้องตกอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบอันหนักหนาสาหัส ซึ่งทำให้ฝ่ายศัตรูได้รับความสบายใจ.

ท่านอิมามอะลี (อ.) กล่าวว่า “สตรีคือที่มาของความหอมรัญจวนจิตและบอบบาง มิใช่ผู้เก่งกาจที่โหดร้ายและป่าเถื่อน”[21] 

5. บทบัญญัติบางประการ เช่น การถึงวัยบรรลุนิติภาวะตามศาสนบัญญัติของเด็กหญิงก่อนเด็กชาย .. ด้วยเหตุนี้ เด็กหญิงจึงมีโอกาสได้รับการอบรมสั่งสอนและการเอาใจใส่ดูแลก่อนเด็กชาย ซึ่งประวัติศาสตร์ได้บันทึกเอาไว้ในของ การขยายเผ่าพันธุ์ว่า โดยเฉพาะผู้หญิงนั้นจะสมรสก่อนผู้ชาย

6. บางครั้งการจำกัดบางประการ หรือการห้ามบางอย่างที่มีแก่เด็กหญิงก็เพื่อป้องการความเสียหาย ความอนาจาร และอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ – ซึ่งประเด็นนี้เป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งประการหนึ่ง – เช่น ได้มีคำสั่งแก่สตรีว่า จงพูดจาให้ไพเราะและดี แต่อย่างดัดเสียงจนน่าเกลียดเพื่อการยั่วยวน เพื่อหัวใจที่เป็นโรคร้าย หรือการยั่วยุของมาร จะได้ไม่มุ่งหมายต่อเจ้า อัลกุรอานกล่าวว่า “ไม่ควรพูดจาเพราะพริ้ง เพราะจะทำให้ผู้ที่มีโรคในจิตใจของตนเกิดความโลภ แต่จงพูดด้วยถ้อยคำที่พอเหมาะพอควร”[22]

7.ดังที่ทราบกันเป็นอย่างดีว่าความบกพร่อง และความเลวเป็นเพียงการสมมุติเมื่อสัมพันธ์ไปยังสิ่งอื่น เช่นเดียวกับเพศชายและเพศหญิงก็เป็นเพียงการสมมุติเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ เมื่อใดก็ตามที่เห็นการประณามหรือการจำกัดสำหรับสตรี ก็ถือว่าสิ่งนั้นเป็นการสมมุติเช่นกัน ตามคำสอนของอิสลามจะเห็นว่ามีอยู่หลายกรณีด้วยกันที่ให้สิทธิพิเศษแก่สตรี เช่น :

ท่านเราะซูล (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า “ถ้าหากท่านกำลังนมาซมุซตะฮับ และเวลานั้นบิดาได้เรียกหาท่าน, ต้องไม่ยุตินมาซ, แต่ถ้ามารดาได้ร้องเรียกหาท่าน จำเป็นต้องหยุดนมาซและไปหามารดา”[23]

คำสั่งโดยตรงและชัดเจนของอัลกุรอานกล่าวว่า : “และจงอยู่ร่วมกับพวกนางด้วยดี”[24]

เพื่อการค้นคว้าเพิ่มเติม โปรดดูได้จาก :

นิซอมฮุกูกซันดัรอิสลาม, ชะฮีด มุรตะฎอ มุเฏาะฮะรี

ซันดัร อออิเนะฮฺญะมอล วะญลอล, ญะวาดี ออมูลี, อับดุลลอฮฺ

หัวข้อ : กุรอานและการเป็นผู้คุ้มครองของบุรุษเหนือสตรี, คำถามที่ 267.

 



[1] «الحمدلله المتجلی لخلقه بخلقه»،นะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ, คำเทศนาที่ 108

[2] ญะวาดี ออมูลี, อับดุลลอฮฺ, ซันดัรออยอีเนะฮฺ ญะมาลวะญะลาล, หน้า 21, สำนักพิมพ์ อัสรออฺ, พิมพ์ครั้งแรก

[3]  «و من آیاته أن خلق لکم من انفسکم ازواجاً لتسکنوا الیها و جعل بینکم مودة و رحمة ان فی ذلک لآیات لقوم یتفکرون» อัลกุรอาน บทโรม, 21

[4]  อัลกุรอาน บทฮุจรอต, 13

[5]   «فمن تبعنی فأنه منی»อัลกุรอาน บทอิบรอฮีม, 36.

[6] อัลกุรอาน บทอิงชิกอก, 6.

[7]อัลกุรอาน บทฏูร, 21.

[8] อัลกุรอาน บทอันนัจญฺมุ, 39 – 40.

[9] อัลกุรอาน บทบะเกาะฮฺ, 186.

[10]  « من عمل صالحاً من ذکر و انثی و هو مؤمن فلنحیینه حیاة طیبة...» อัลกุรอาน บทอันนะฮฺลุ, 97.

[11]  «ان الذین کفروا و ما توا و هم کفار اولئک علیهم لعنة الله والملائکة والناس أجمعین» อัลกุรอาน บทบะเกาะฮฺ, 161.

[12]  «وضرب الله مثلاً للذین آمنوا إمراة فرعون إذ قالت رب ابن لی عندک بیتاً فی الجنة و نجنی من فرعون و عمله و نجنی من القوم الظالمین»อัลกุรอาน บทตะฮฺรีม, 11

[13]  «ضرب الله مثلاً للذین کفروا امراة نوح و امراة لوط...»อัลลอฮฺทรงยกเอาภริยาของนูฮฺและภริยาของลูฏเป็นอุทาหรณ์แก่บรรดาผู้ปฏิเสธ. อัลกุรอาน บทตะฮฺรีม, 10.

[14] ญะวาดี ออมูลี, อับดุลลอฮฺ, ซันดัรออยอีเนะฮฺ ญะมาลวะญะลาล, หน้า 197

[15]  «خیر العلم التوحید و خیر العبادة الأستغفار»อุซูล กาฟียฺ, กุลัยนี, เล่ม 2, หน้า 517

[16] อัลกุรอาน บทยูซุฟ, 90

[17] อัลกุรอาน บทนาซิอาต, 40-41.

[18] เพื่อการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมว่า เป็นเพราะเหตุใดมรดก และค่าปรับของสตรีจึงได้เพียงครึ่งหนึ่งของบุรุษ, โปรดศึกษาได้จากหัวข้อ ความแตกต่างระหว่างมรดกของชายและหญิงในบทบัญญัติอิสลาม คำถามที่ 116 (ไซต์) ความแตกต่างในเรื่องค่าปรับระหว่างหญิงกับชายในบทบัญญัติอิสลาม คำถามที่ 117 (ไซต์) มรดกที่เท่าเทียมกันระหว่างชายกับหญิง คำถามที่ 536 (ไซต์ 585) ชายมิได้ดีกว่าหญิง คำถามที่ 531 (ไซต์ 579)

[19] นะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ, คำสุภาษิตที่, 61.

[20]  เช่น นะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ, คำเทศนา 80, «ان النساء النواقص الایمان...». อันที่จริงสตรีคือ ผู้มีศรัทธาไม่สมบูรณ์

[21] «فان المراة ریحانة و لیست بقهرمانة»،นะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ, จดหมายที่ 31.

[22] อัลกุรอาน บทอะฮฺซาบ, 32.

[23] ญามิอ์ อะฮาดีซ อัชชีอะฮฺ, เล่ม 21, หน้า 428-429

[24]  «و عاشر و هن بالمعروف» อัลกุรอาน บทนิซาอฺ, 19.

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • จงอธิบายเหตุผลที่บ่งบอกว่าดนตรีฮะรอม
    9868 สิทธิและกฎหมาย 2554/10/22
    ดนตรีและเครื่องเล่นดนตรีตามความหมายของ ฟิกฮฺ มีความแตกต่างกัน. คำว่า ฆินา หมายถึง การส่งเสียงร้องจากลำคอออกมาข้างนอก โดยมีการเล่นลูกคอไปตามจังหวะ, ซึ่งทำให้ผู้ฟังเกิดประเทืองอารมณ์และมีความสุข ซึ่งมีความเหมาะสมกับงานประชุมที่ไร้สาระ หรืองานประชุมที่คร่าเวลาให้หมดไปโดยเปล่าประโยชน์ส่วนเสียงดนตรี หมายถึงเสียงที่เกิดจากการเล่นเครื่องตรี หรือการดีดสีตีเป่าต่างๆเมื่อพิจารณาอัลกุรอานบางโองการและรายงานฮะดีซ ประกอบกับคำพูดของนักจิตวิทยาบางคน, กล่าวว่าการที่บางคนนิยมกระทำความผิดอนาจาร, หลงลืมการรำลึกถึงอัลลอฮฺ, ล้วนเป็นผลในทางไม่ดีที่เกิดจากเสียงดนตรีและการขับร้อง ซึ่งเสียงเหล่านี้จะครอบงำประสาทของมนุษย์ ประกอบกับพวกทุนนิยมได้ใช้เสียงดนตรีไปในทางไม่ดี ดังนั้น สิ่งเหล่านี้อาจเป็นเหตุผลหนึ่งในเชิงปรัชญาที่ทำให้เสียงดนตรีฮะรอมเหตุผลหลักที่ชี้ว่าดนตรีฮะรอม (หรือเสียงดนตรีบางอย่างฮะลาล) คือโองการอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซจากท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ...
  • การจ่ายคุมซ์เป็นทรัพย์สินเพียงครั้งเดียว แล้วต่อไปไม่วาญิบต้องจ่ายคุมซ์อีกใช่หรือไม่?
    5775 สิทธิและกฎหมาย 2554/06/22
    ดั่งเป็นที่ทราบกันดีว่าคุมซ์คือหนึ่งในการบริจาคทรัพย์อันเป็นวาญิบสำคัญในอิสลามเป็นหนึ่งในหลักการอิสลามและเป็นอิบาดะฮฺด้วยด้วยสาเหตุนี้เองจำเป็นต้องเนียต (ตั้งเจตคติ) เพื่อแสวงความใกล้ชิดต่ออัลลอฮฺ (ซบ.)ทรัพย์สินและเงินทุนต่างๆที่ต้องจ่ายคุมซ์ถ้าหากจ่ายคุมซ์ไปแล้วเพียงครั้งเดียวไม่วาญิบต้องจ่ายคุมซ์อีกแม้ว่ากาลเวลาจะผ่านพ้นไปนานหลายปีก็ตามแต่ถ้าเป็นทรัพย์ที่เติบโตหรือมีราคาสูงขึ้นกว่าเดิมทุนเดิมไม่ต้องจ่ายคุมซ์แต่ส่วนที่เป็นผลกำไรงอกเงยอออกมาวาญิบต้องจ่ายคุมซ์[1][1]  เตาฏีฮุลมะซาอิลมะริญิอฺ
  • จะเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างศาสนาและวิทยาศาสตร์ได้อย่างไร?
    9341 ปรัชญาของศาสนา 2554/07/16
    ผู้ที่คิดว่าศาสนาและวิทยาศาสตร์ไม่อาจจะปรับเข้าหากันได้แสดงว่าไม่เข้าใจธรรมชาติของศาสนาเทวนิยมโดยเฉพาะศาสนาอิสลามอีกทั้งไม่เข้าใจว่าพื้นที่คำสอนของศาสนาและพื้นที่ความรู้ของวิทยาศาสตร์ก็แยกออกเป็นเอกเทศ เมื่อพื้นที่ต่างกันก็ย่อมไม่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นคำสอนของศาสนามีอิทธิพลต่อมนุษย์ในสามพื้นที่ด้วยกันนั่นคือความสัมพันธ์กับตนเองความสัมพันธ์กับผู้อื่น(สังคมและสิ่งแวดล้อม) และความสัมพันธ์กับพระเจ้า และในฐานะที่อิสลามถือเป็นศาสนาที่ครบถ้วนสมบูรณ์มากที่สุดได้สนองตอบความต้องการของมนุษย์ทุกยุคสมัยด้วยกระบวนการที่เรียกว่า “อิจญ์ติฮาด”ซึ่งได้รับการวางรากฐานโดยวงศ์วานศาสดามุฮัมมัดส่วนเทคโนโลยีนั้นมีอิทธิพลเพียงในพื้นที่แห่งประสาทสัมผัสและมีไว้เพื่อค้นพบศักยภาพของโลกและจักรวาลที่ซ่อนอยู่ตลอดจนเพื่อประดิษฐ์เครื่องมือในการใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่าจากเนียะอฺมัตของอัลลอฮ์เท่านั้น จึงกล่าวได้ว่านวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ช่วยแผ่ขยายพื้นที่ในการตรากฏเกณฑ์ศาสนาให้กว้างยิ่งขึ้นเพราะในทัศนะอิสลามแล้วสามารถจะวินิจฉัยปัญหาใหม่ๆได้โดยใช้กระบวนการอิจญ์ติฮาดและอ้างอิงขุมความรู้ทางฟิกเกาะฮ์. ...
  • อิสลามมีกฏเกณฑ์อย่างไรเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มสาว?
    22354 สิทธิและกฎหมาย 2554/08/09
    อิสลามถือว่าอัลลอฮ์ทรงสร้างชายและหญิงให้มีบทบาทเกื้อกูลกันและกันหนึ่งในปัจจัยที่ทั้งสองเพศต้องพึ่งพากันและกันก็คือความต้องการทางเพศทว่าการบำบัดความต้องการดังกล่าวจะต้องอยู่ในเขตคำสอนของอิสลามเท่านั้นจึงจะสามารถรักษาศีลธรรมจรรยาของทั้งสองฝ่ายได้อิสลามถือว่าความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มสาวก่อนแต่งงานไม่ว่าโดยตรงหรือผ่านสื่อหากเป็นไปด้วยความไคร่หรือเกรงว่าจะเกิดความไคร่ถือว่าไม่อนุมัติแต่สำหรับความสัมพันธ์ในการทำงานวิชาการและการศึกษาถือเป็นที่อนุมัติเฉพาะในกรณีที่ไม่โน้มนำไปสู่ความเสื่อมเสีย ...
  • ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์กฎการขวางด้วยหิน (ขวางให้ตาย) คืออะไร? การถือปฏิบัติกฎระเบียบดังกล่าว ตามหลักการอิสลามในยุคสมัยนี้ ไม่สร้างความเสื่อมเสียแก่อิสลามหรือ?
    9186 สิทธิและกฎหมาย 2555/08/22
    การลงโทษ โดยการขว้างด้วยก้อนหิน หรือเรียกว่า “รัจม์” เป็นที่ยอมรับในหมู่ประชาชาติ หมู่ชน และศาสนาต่างๆ ก่อนหน้าอิสลาม ซึ่งในอิสลามถือว่า การลงโทษดังกล่าวเป็นข้อกำหนดประเภทหนึ่งตามหลักชัรอียฺ แน่นอนและตายตัว ซึ่งจะใช้ลงโทษสำหรับการกระทำผิดที่หนักมาก ซึ่งมีรายงานจำนวนมากจากท่านศาสดา (ซ็อลฯ) กล่าวถึงประเด็นดังกล่าวไว้ เป้าหมายของอิสลามจากการลงโทษดังกล่าวคือ การปรับปรุงแก้ไขสังคม, อันเกิดจากความผิดปรกติด้านการก่ออาชญากรรม, เป็นการชำระผู้กระทำผิดอีกทั้งเป็นการลบล้างความผิดบาป ที่เกิดจากผลของความผิดนั้น, ดำเนินความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม,ป้องกันความหันเห ความหลงผิดต่างๆ อันเกิดจากการทำลายความบริสุทธิ์ของสังคม กลับคืนสู่สังคมอีกครั้ง ตามทัศนะของอิสลามการลงโทษ การทำชู้ (หญิงที่มีสามี หรือชายที่มีภรรยา) จะถูกลงโทษด้วยเงื่อนไขอันเฉพาะด้วยการขว้างด้วยก้อนหินจนกระทั่งเสียชีวิต ถ้าหากการดำเนินกฎเกณฑ์ดังกล่าว หรือกฎเกณฑ์ข้ออื่นๆ นำไปสู่การดูถูกเหยียดหยามอิสลามแล้วละก็ วะลียุลฟะกีฮฺ หรือฮากิมชัรอียฺ สามารถเปลี่ยนแปลงวิธีการลงโทษได้ตามความเหมาะสม และต้องสอดคล้องกับกฎหมายอิสลาม ...
  • เป็นไปได้หรือไม่ที่จะรู้จักบุคคลสำคัญในสวรรค์และนรก?
    6849 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/03/07
    มีหลายโองการในกุรอานที่กล่าวถึงบทสนทนาระหว่างชาวสวรรค์และชาวนรก ซึ่งทำให้พอจะทราบคร่าวๆได้ว่าชาวสวรรค์สามารถที่จะรับรู้สภาพและชะตากรรมของบุคคลต่างๆในนรกได้ นอกจากนี้ เหล่าบุรุษชาวอะอ์ร้อฟรู้จักสีหน้าของชาวสวรรค์และชาวนรกเป็นอย่างดี มีฮะดีษมากมายที่ระบุว่าเหล่าบุรุษแห่งอะอ์ร้อฟนั้น ตามนัยยะเชิงแคบก็คือบรรดาอิมามมะอ์ศูม(อ.) ส่วนนัยยะเชิงกว้างก็หมายถึงบรรดามนุษย์ที่ได้รับการเลือกสรร ซึ่งจะอยู่ในลำดับถัดจากบรรดาอิมาม โดยบุคคลเหล่านี้อยู่เหนือชาวสวรรค์และชาวนรกทั้งมวล เราขอนำเสนอความหมายของโองการเหล่านี้ดังต่อไปนี้ 1. โองการที่ 50-57 ซูเราะฮ์ อัศศ้อฟฟ้าต “ในสรวงสวรรค์ ผู้คนต่างหันหน้าเข้าหากันแล้วถามไถ่กันและกัน โดยหนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นว่า แท้จริงฉันมีสหายคนหนึ่งที่ถามฉันว่า เธอเชื่อได้อย่างไรที่ว่าหลังจากที่เราตายและกลายเป็นธุลีดินแล้ว จะถูกนำไปพิพากษา (ชาวสวรรค์กล่าวว่า) ท่านรับรู้สภาพปัจจุบันของเขาหรือไม่? เมื่อนั้นก็ได้ทราบว่าเขาอยู่ ณ ใจกลางไฟนรก (ชาวสวรรค์)กล่าวแก่เขาว่า ขอสาบานต่อพระองค์ เจ้าเกือบจะทำให้ฉันหลงทางแล้ว หากปราศจากซึ่งพระเมตตาของพระองค์ ฉันคงจะอยู่(ในไฟนรก)เช่นกัน”[1] 2. โองการที่ 50-57 ซูเราะฮ์ มุดดัษษิร “ทุกคนย่อมค้ำประกันความประพฤติของตนเอง นอกจากสหายแห่งทิศขวาซึ่งจะถามไถ่กันในสรวงสวรรค์ ...
  • มีฮะดีษจากอิมามศอดิก(อ.)ระบุว่า “การก่อสงครามกับรัฐทุกครั้งที่เกิดขึ้นก่อนการปรากฏกายของอิมามมะฮ์ดี จะเป็นเหตุให้บรรดาอิมามและชีอะฮ์ต้องเดือดร้อนและเศร้าใจ” เราจะชี้แจงการปฏิวัติอิสลามในอิหร่านอย่างไร?
    7781 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/01/19
    ต้องเรียนชี้แจงดังต่อไปนี้:หนึ่ง: เป็นไปได้ว่าฮะดีษประเภทนี้อาจจะเกิดจากการตะกียะฮ์หรือเกิดจากสถานการณ์ล่อแหลมในยุคที่การจับดาบขึ้นสู้มิได้มีผลดีใดๆอนึ่งยังมีฮะดีษหลายบทที่อิมามให้การสนับสนุนการต่อสู้บางกรณีสอง: ฮะดีษที่คุณยกมานั้นกล่าวถึงกรณีการปฏิวัติโค่นอำนาจด้วยการนองเลือดแต่ไม่ได้ห้ามมิให้เคลื่อนไหวปรับปรุงสังคมเพราะหากศึกษาประวัติศาสตร์ก็จะพบว่าบรรดาอิมามเองก็ปฏิบัติตามแนววิธีดังกล่าวเช่นกันหากพิจารณาถึงแนววิธีในการปฏิวัติอิสลามในอิหร่านกอปรกับแนวคิดของผู้นำการปฏิวัติก็จะทราบทันทีว่าการปฏิวัติดังกล่าวมิไช่การปฏิวัติด้วยการนองเลือดและผู้นำปฏิวัติก็ไม่สนับสนุนแนวคิดดังกล่าว สรุปได้ว่าการปฏิวัติอิสลามมิได้ขัดต่อเนื้อหาของฮะดีษประเภทดังกล่าวแต่อย่างใด ...
  • จริงหรือไม่ที่บางคนเชื่อว่าพระเจ้าเป็นเพียงแค่พลังงานเท่านั้น?
    6724 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/08/23
    อัลลอฮ์ทรงดำรงอยู่โดยไม่พึ่งพาสิ่งใดทรงปรีชาญาณทรงมีเจตน์จำนงและปราศจากข้อจำกัดและความบกพร่องทุกประการแต่พลังงานยังมีข้อบกพร่องและข้อจำกัดมากมายอีกทั้งยังปราศจากความรู้และการตัดสินใจเมื่อเทียบคุณสมบัติของพลังงานกับคุณลักษณะของพระเจ้าก็จะทราบว่าพระเจ้ามิไช่พลังงานอย่างแน่นอนเนื่องจาก: พลังงานคือสิ่งที่ขับเคลื่อนให้เกิดกริยาและปฏิกริยาต่างๆโดยพลังงานมีลักษณะที่หลากหลายไม่ตายตัวและสามารถผันแปรได้หลายรูปแบบพลังงานมีคุณสมบัติเด่นดังนี้1. พลังงานมีสถานะตามวัตถุที่บรรจุ2. พลังงานมีแหล่งกำเนิด3. พลังงานมีข้อจำกัดบางประการ4. พลังงานเปลี่ยนรูปได้แต่อัลลอฮ์มิได้ถูกกำกับไว้โดยวัตถุใดๆ
  • มะลาอิกะฮ์และญินรุดมาช่วยอิมามฮุเซน(อ.)จริงหรือไม่ และเหตุใดท่านจึงปฏิเสธ?
    8498 تاريخ بزرگان 2554/12/03
    คำถามนี้ไม่มีคำตอบแบบสั้น ปรดเลือกปุ่มคำตอบที่สมบูรณ์ ...
  • อนุญาตให้แขวนภาพเขียนมนุษย์และสัตว์ภายในมัสญิดหรือไม่?
    7927 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/03
    ก่อนที่จะตอบ เราขอเกริ่นนำเบื้องต้นดังนี้1. บรรดาอุละมาอ์ให้ทัศนะไว้ว่า สถานที่แห่งหนึ่งที่ถือเป็นมักรู้ฮ์(ไม่บังควร)สำหรับนมาซก็คือ สถานที่ๆมีรูปภาพหรือรูปปั้นสิ่งที่มีชีวิต เว้นแต่จะขึงผ้าปิดรูปเสียก่อน ฉะนั้น การนมาซในสถานที่ๆมีรูปภาพคนหรือสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นมัสญิดหรือสถานที่อื่น ไม่ว่ารูปภาพจะแขวนอยู่ต่อหน้าผู้นมาซหรือไม่ก็ตาม[1] ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60389 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57946 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42483 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39769 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39139 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34246 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28287 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28216 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28155 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26094 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...