การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
13963
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2553/10/21
 
รหัสในเว็บไซต์ fa319 รหัสสำเนา 10188
คำถามอย่างย่อ
จุดประสงค์ของการสร้างคืออะไร จงอธิบายเหตุผลในเชิงเหตุผลนิยม ถ้าเป้าหมายคือความสมบูรณ์แล้วทำไมพระเจ้าไม่ทรงสร้างมนุษย์ให้สมบูรณ์แบบ
คำถาม
จุดประสงค์ของการสร้างคืออะไร จงอธิบายเหตุผลในเชิงเหตุผลนิยม ถ้าเป้าหมายคือความสมบูรณ์แล้วทำไมพระเจ้าไม่ทรงสร้างมนุษย์ให้สมบูรณ์แบบ
คำตอบโดยสังเขป

พระเจ้าคือผู้ดำรงอยู่ที่ไม่มีความจำกัด พระองค์ทรงมีความสมบูรณ์แบบทุกประการ การสร้าง (บังเกิด) เป็นความงดงาม และพระองค์คือผู้มีความงดงาม ความงดงามอันสมบูรณ์แบบของพระองค์ เป็นตัวกำหนดว่าพระองค์ทรงสร้างทุกอย่างขึ้นตามคุณค่าของมัน ดังนั้น พระเจ้าทรงสร้างเป็นเพราะพระองค์คือผู้งดงาม หมายถึงจุดประสงค์และเป้าหมายในการสร้างของพระองค์นั้นงดงาม อีกด้านหนึ่งคุณลักษณะอาตมันของพระเจ้าไม่ได้แยกออกจากอาตมันของพระองค์ จึงสามารถกล่าวได้ว่าจุดประสงค์ของการสร้างคือ อาตมันของพระเ

พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์มาโดยให้มีแนวโน้มที่ดีและความชั่วร้ายภายใน และทรงประทานผู้เชิญชวนภายนอก 2 ท่าน ที่ดีได้แก่ศาสดา (นบี) และความชั่วร้ายได้แก่ชัยฎอน (ปีศาจ), ทั้งนี้มนุษย์สามารถบรรลุความสมบูรณ์สูงสุดของสรรพสิ่งที่อยู่หรือก้าวไปสู่ความชั่วช้าที่ต่ำทรามที่สุดก็เป็นได้ ทั้งที่มนุษย์นั้นมีพลังของเดรัจฉานและการลวงล่อของซาตานที่ล่อลวงอยู่ตลอดเวลา แต่เขากลับเลือกหนทางที่ถูกต้อง, แน่นอน เวลานั้นเขาจะสูงส่งกว่ามลาอิกะฮฺ เพราะว่ามวลมลาอิกะฮฺไม่มีพลังของเดรัจฉานและชัยฏอนมาลวงล่อใจ แต่ถ้ามนุษย์เลือกแนวทางผิด แน่นอนตรงนี้เขาจะตกต่ำยิ่งกว่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย เนื่องจากสรรพสัตว์ไม่มีพลังแห่งปัญญาในการคิดเหมือนกับมนุษย์

ถ้าหากพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์มาให้สมบูรณ์ตั้งแต่แรกและมีความสมบูรณ์แบบทุกประการ สิ่งนี้จะไม่ถือว่าเป็นความสมบูรณ์ในเชิงของเจตนารมณ์เสรี เพราะพระเจ้าทรงสร้างสิ่งสมบูรณ์ที่สุดก่อนหน้าพวกเขามาแล้วตั้งแต่ต้น ดังนั้น จุดประสงค์ของการสร้างมนุษย์จะบรรลุก็ต่อเมือเขามีศักยภาพของความสมบูรณ์ และมีเจตนารมณ์เสรีในการกระทำ บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาไม่สามารถเข้าถึงความสมบูรณ์แบบของอัลลอฮฺได้ แม้ว่าจุดประสงค์หลักของการสร้างมนุษย์ – ก็คือการวางกฎหมายของพระเจ้า -- ยังไม่บรรลุผลก็ตาม แต่ไม่ได้คัดค้านการสร้างมนุษย์ในเป้าหมายของการรังสรรค์โดยการกำหนดกฎเกณฑ์จากพระองค์ เนื่องจากพระเจ้าทรงอุปสงค์ (การพัฒนาความต้องการ) ให้พวกเขาสามารถเลือกหนทางที่ถูกหรือผิดได้ด้วยตนเอง ถ้าหากพระเจ้าทรงให้การเลือกแนวทางผิดพลาดเป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์แล้ว ความเชื่อและเชื่อฟังปฏิบัติตามของเขา ก็จะไม่เป็นความประสงค์หรือเจตนารมณ์เสรีของเขา

คำตอบเชิงรายละเอียด

เพื่อความเข้าใจอันดีงามในคำตอบ จำเป็นต้องพิจารณาเนื้อหาบางอย่างต่อไปนี้ :

ก. จุดประสงค์ของพระเจ้าในการสร้าง :

1) พระเจ้าผู้ทรงอำนาจในฐานะที่เป็น วาญิบุลวุญูด (จำเป็นต้องมี) การมีอยู่ของพระองค์ไม่เกี่ยวข้องหรือขึ้นอยู่กับสิ่งใดทั้งสิ้น ไม่มีข้อจำกัดและข้อบกพร่อง พระองค์มีความสมบูรณ์แบบทั้งหมด

2) เนื่องจากพระองค์ทรงงดงามทรงเมตตา พระองค์ตรัสในอัลกุรอานว่า :และการประทานให้ของพระเจ้าของเจ้านั้นมิถูกห้าม (แก่ผู้ใด)[1] พระเจ้านั้นการประทานให้จากพระองค์ไม่มีข้อจำกัดอันใดทั้งสิ้น ดังนั้น ถ้าหากพระองค์ไม่ประทานให้ทุกที่ ก็เนืองมาจากศักยภาพในการรับมีข้อจำกัด มิใช่ผู้ให้มีข้อจำกัด ฉะนั้น ทุกสิ่งที่คู่ควรต่อการให้พระองค์จะประทานให้เขา

3) ทุกสิ่งที่ดีและความสมบูรณ์แบบนั้นมาจากพระองค์ และทุกความบกพร่องและทุกความชั่วร้ายเกิดขึ้นจากการไม่มี ตัวอย่างเช่น ความรู้เป็นสิ่งที่ดีและเป็นความสมบูรณ์แบบ, ความไม่รู้, ความชั่วร้าย และความล้มเหลวเป็นความบกพร่อง นอกจากนี้อำนาจ ที่เผชิญกับความไร้อำนาจหรือไร้ความสามารถ ถือเป็นความสมบูรณ์แบบเป็นสิ่งที่ดี ดังนั้น เป็นที่ทราบกันดีว่าการมีอยู่เป็นสิ่งที่ดี ซึ่งตรงข้ามกับสิ่งนั้นคือ ทุกความชั่วร้ายและความบกพร่องไม่มีอยู่จริง

4) เมื่อพิจารณาบทนำที่สามแบ้วสามารถได้บทสรุปว่า ความงดงามและความเมตตาของพระเจ้าการสร้างสรรค์ของพระองค์จะสามารถเกิดขึ้นได้ ดังนั้น ความจำเป็นของความงดงามคือ การสร้างสรรค์

อีกนัยหนึ่ง ถ้าหากสิ่งสมควรและเหมาะสมต่อการสร้าง แต่พระองค์ไม่ทรงสร้าง ซึ่งการไม่สร้างของพระองค์ประกอบกับความดีของการมีอยู่ ถือว่าเป็นการขัดขวางความดีและเป็นความตระหนี่ถี่เหนียวอย่างยิ่ง แน่นอนว่า ความตระหนี่ถี่เหนียวเป็นไปไม่ได้สำหรับพระองค์ จากบทนำดังกล่าวได้บทสรุปว่า ถ้าหากถามว่า เพราะสาเหตุใดพระเจ้าจึงสร้าง คำตอบคือ เพราะความเมตตาและความงดงามของพระองค์นั่นเอง

5) คุณลักษณะของพระเจ้ามิใช่สิ่งเพิ่มเติมบนอาตมันของพระองค์ คุณลักษณะของมนุษย์และร่างกายส่วนอื่น ๆ คือสิ่งที่เพิ่มเข้ามาบนตัวตนของเขา ตัวอย่าง เช่น ผลแอ

ปเปิ้ลหนึ่งผล แต่มีคุณสมบัติคือผิวสีแดง และรสชาติหวาน สีแดงกับความหวานคือสิ่งที่นอกเหนือไปจากแก่นแท้ของแอปเปิ้ล ดังนั้น แอปเปิ้ล อาจแทนที่คุณสมบัติดังกล่าวด้วยการมี รสเปรี้ยว สีเขียว แก่นแท้ของแอปเปิ้ลก็ยังคงอยู่

บทวิพากษ์เกี่ยวกับ ความเป็นหนึ่งเดียวของคุณลักษณะกับอาตมันของพระเจ้า เป็นหนึ่งในวิชาวิพากษ์วิทยาที่ลุ่มลึก ซึ่งสามารถศึกษาได้จากหมวด ความเป็นเอกะของพระเจ้าและคุณลักษณะของพระองค์ สิ่งที่สำคัญสำหรับเราในที่นี้คือ ความเป็นผู้มีเมตตาและงดงามคือสาเหตุสุดท้ายของการสร้าง – เป็นหนึ่งเดียวกันกับอาตมันของพระองค์ ซึ่งไม่ได้ออกจากอาตมันของพระองค์ ดังนั้น ถ้าถามว่า เพราะเหตุใดพระเจ้าทรงสร้าง เราสามารถกล่าวได้ว่า "เนื่องจากทรงเป็นพระเจ้า ดังนั้น สาเหตุสุดท้ายอันที่จริงก็คือพระเจ้า และนี่ก็คือคำพูดในเชิงปรัชญาของเราที่กล่าวว่า สาเหตุสิ้นสุดและสาเหตุของการกระทำในการกระทำพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน[2] บางทีอาจเป็นไปได้ที่จะนำเอาคุณลักษณะนั้นออกมาจากบางโองการ[3] เช่นกัน ที่กล่าวว่า และยัง: และยังพระองค์การงานทั้งมวลจะถูกนำกลับไป [4]

ข.จุดประสงค์ของของพระเจ้าในการสร้างมนุษย์ :

สิ่งที่กล่าวมาแล้วคือ เป้าหมายของผู้กระทำในการสร้างทั่วไป แต่จุดมุ่งหมายของผู้สร้างในการสร้างสิ่งอันเฉพาะ เช่น มนุษย์ จำเป็นต้องอาศัยจุดที่เป็นความพิเศษ ซึ่งจุดพิเศษเกี่ยวกับมนุษย์นั้นก็คือ ความสมบูรณ์แบบอันเฉพาะบางประการ ซึ่งพระเจ้าประสงค์ที่จะสร้างสิ่งนั้นด้วยการสร้างมนุษย์

คำอธิบาย : ความสมบูรณ์แบบการเป็นผู้งดงามของพระเจ้าคือ พระองค์สามารถสร้างทุกความสมบูรณ์ที่มีความเป็นไปได้  ซึ่งก่อนการสร้างมนุษย์พระองค์ได้สร้างสิ่งอื่นที่มีความสมบูรณ์แบบมาก่อน ซึ่งสิ่งมีชีวิตนั้นเรียกว่าทูตสวรรค์หรือมะลาอิกะฮฺ มวลมะลาอิกะฮฺเป็นสิ่งถูกสร้างสมบูรณ์แบบนับตั้งแต่เริ่มต้นของการสร้าง หมายถึง มีความสมบูรณ์โดยรูปธรรม ดังนั้น มวลมะลาอิกะฮฺจึงไม่มีโอกาสไปถึงยังความสมบูรณ์แบบใหม่ และการมีอยู่ของมะลาอิกะฮฺก็จะไม่สมบูรณ์ยิ่งไปกว่านี้อีก อัลลอฮฺ ตรัสด้วยภาษาของมะลาอิกะฮฺว่า: และไม่มีผู้ใดในหมู่พวกเรา เว้นแต่เขาได้มีตำแหน่งที่ได้กำหนดไว้แล้ว แท้จริง เรานั้นเป็นผู้ที่ยืนเข้าแถวอยู่แล้ว แท้จริง เรานั้นเป็นผู้แซ่ซ้องสดุดีอัลลอฮฺ”[5]

ท่านอิมามอะลี (อ.) กล่าวว่า : ต่อมาพระองค์ทรงเปิดเผยสิ่งที่อยู่ท่ามกลางฟากฟ้าอันสูงส่ง ทรงจัดสรรให้ที่นั่นดาษดื่นไปด้วยมวลมลาอิกะฮฺของพระองค์ที่มีหน้าที่สลับสับเปลี่ยนกันไป จำนวนหนึ่งมุ่งมั่นเฉพาะการกราบกรานโดยไม่ได้โค้ง อีกจำนวนหนึ่งมุ่งมั่นเฉพาะการโค้งคารวะโดยไม่ได้เงยขึ้นเลย จำนวนหนึ่งได้ประชิดแถวเข้าด้วยกันโดยไม่แยกจากกัน มลาอิกะฮฺจำนวนหนึ่งสรรเสริญพระองค์โดยไม่เหนื่อยหน่าย”[6] พวกเขาได้มนัสการพระเจ้าและนี่คือความสมบูรณ์ที่พระเจ้าทรงประทานแก่พวกเขา ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะฝ่าฝืนคำสั่งของพระองค์ อัลลอฮฺ ตรัสว่า : พวกเขาจะไม่ชิงกล่าวคำพูดก่อนพระองค์ และพวกเขาปฏิบัติตามพระบัญชาของพระองค์[7] บางโองการตรัสว่า : ไฟนรกซึ่งเชื้อเพลิงของมันคือมนุษย์และก้อนหิน มีมลาอิกะฮฺผู้แข็งกร้าวคอยเฝ้ารักษามันอยู่ พวกเขาจะไม่ฝ่าฝืนอัลลอฮฺในสิ่งที่พระองค์ทรงบัญชาแก่พวกเขา และพวกเขาจะปฏิบัติตามที่ถูกบัญชาอย่างเคร่งครัด”[8]

พระเจ้าเนื่องจากพระองค์ทรงเป็นผู้มีความงดงาม  ซึ่งนอกจากมลาอิกะฮฺที่มีความสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว พระองค์ยังทรงประสงค์ที่จะสร้างความสมบูรณ์แบบที่เหนือกว่ามลาอิกะฮฺขึ้นไปอีก ซึ่งความสมบูรณ์แบบนั้นอยู่ในการเลือกสรรของมนุษย์ หมายถึง พระองค์จะทรงสร้างสรรพสิ่งหนึ่งซึ่งความสมบูรณ์ทั้งหมดเหล่านี้ เขาสามารถนำมาได้ด้วยการเลือกสรรและเจตนารมณ์เสรีของตน ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงสร้างมนุษย์ขึ้นมา มนุษย์ซึ่งนับตั้งแต่เริ่มต้นเขาไม่มีความสมบูรณ์นี้อยู่ในตัว แต่เนื่องจากสาเหตุบางประการเขาสามารถไปถึงยังความสมบูรณ์นั้นได้ เป็นที่ชัดเจนว่า ความสมบูรณ์ของมนุษย์ขึ้นอยู่กับเจตนารมณ์เสรีและการเลือกสรรอย่างเสรีของตน ซึ่งแน่นอนว่าความสมบูรณ์อันนั้นสูงส่งกว่าความสมบูรณ์ของมลาอิกะฮฺเสียอีก ท่านอิมามอะลี (อ.) กล่าวว่า : อัลลอฮฺผู้ทรงเกรียงไกรทรงสร้างมลาอิกะฮฺขึ้นจาก ภูมิปัญญา และไม่ได้ประทานความต้องการแก่มลาอิกะฮฺ พระองค์ทรงสร้างบรรดาสรรพสัตว์ขึ้นมาจากความต้องการ (ชะฮฺวัต) และไม่ได้มอบปัญญาแก่สรรพสัตว์ ขณะที่พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาจากสติปัญญาและความต้องการ ดังนั้น ใครก็ตามที่เอาสติปัญญาควบคุมต้องการได้ เขาจะสูงส่งกว่ามลาอิกะฮฺ แต่บุคคลใดก็ตามเอาความต้องการควบคุมสติปัญญา เขาจะเลวยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน[9] เมาลาได้เน้นย้ำประเด็นดังกล่าวไว้ว่า

ฮะดีซ กล่าวถึงการรังสรรค์อันสูงส่ง

พระองค์ทรงสร้างจักรวาลใน 3 ลักษณะ

กลุ่มหนึ่ง เปี่ยมด้วยสติปัญญาและความรอบรู้

นามว่ามลาอิกะฮฺ พวกเขาไม่รับรู้สิ่งใดนอกจากการกราบกราน

ความโลภ และโมหะไม่มีอยู่ในตัว

รัศมีสมบูรณ์แห่งชีวิตคือความรักต่อพระเจ้า

อีกกลุ่มหนึ่ง ไม่มีความรอบรู้

นามว่าสัตว์ ไม่รู้จักสิ่งใดนอกจากใบหญ้า

มันมองไม่เห็น เว้นแต่คอกและยอดหญ้า

มันไม่เห็นมีเกียรติและศักดิ์ศรี

กลุ่มที่สามนามว่ามนุษย์ผู้มีเนื้อหนัง

ครึ่งหนึ่งจากเทพแห่งฟากฟ้าและครึ่งหนึ่งจากลาผู้โง่เขลา

ครึ่งหนึ่งของลาคือความต่ำทราม

อีกครึ่งหนึ่งคือความสูงศักดิ์

สิ่งใดมีชัยเหนืออีกสิ่งในการต่อสู้

คือเครื่องประดับที่จะชนะคู่ต่อสู้

ดังนั้น จุดประสงค์ของผู้กระทำและสาเหตุสุดท้ายในการสร้างมนุษย์ คือความงดงามของพระเจ้า ซึ่งสิ่งจำเป็นสำหรับความงดงามของพระเจ้าคือ การสร้างความสมบูรณ์แบบที่เป็นไปได้ สมบูรณ์ซึ่งดีกว่าความสมบูรณ์นั้นคือ ความสมบูรณ์ยิ่งกว่า

ค.  ทำไมพระเจ้าจึงไม่สร้างมนุษย์ให้สมบูรณ์ :

ถ้าหากพิจารณาเรื่องราวที่ได้นำเสนอไป สามารถสรุปได้ว่า จุดประสงค์ในการสร้างมนุษย์จะมีความเป็นไปได้ก็ต่อเมือ มนุษย์มีศักยภาพที่จะไปถึงยังความสมบูรณ์ ซึ่งเขาจะบรรลุเป้าหมายนั้นได้ด้วยการกระทำและเจตนารมณ์เสรีของตนเอง ในขณะที่ถ้าเขามีความสมบูรณ์แบบนั้นตั้งแต่แรกแล้ว ความสมบูรณ์แบบนั้นก็จะไม่ได้เกิดจากเจตนารมณ์เสรีของตน และจุดประสงค์ในการสร้างมนุษย์ก็จะบกพร่อง

สิ่งที่ควรพิจารณาคือ แม้แต่การพัฒนาขั้นหนึ่งของบันไดแห่งความสมบูรณ์สำหรับมนุษย์, ก็จะถูกนับว่าเป็นความสมบูรณ์ที่เกิดจากเจตนารมณ์เสรี ซึ่งจะทำให้จุดประสงค์หลักของการสร้างนั้นสมบูรณ์ไปด้วย

ง. มนุษย์ผู้ปฏิเสธและมีความผิด :

ถ้าหากมนุษย์ไม่สามารถวิวัฒนาการความสมบูรณ์ของตนขึ้นไปสักขั้นหนึ่ง ตลอดอายุขัยของเขาก็จะจมปรักอยู่กับบาปกรรมและการปฏิเสธ ซึ่งเท่ากับเขาได้ออกจากจุดประสงค์ของการสร้าง เนื่องจากเขาได้ทำให้ศักยภาพของตนเป็นรูปธรรมขึ้นมา ทั้งที่ในตัวมนุษย์มีศักยภาพที่จะพัฒนาตนไปสู่ก้นบึ้งของความตกต่ำ อันเป็นชั้นที่ต่ำที่สุด พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์มาในลักษณะที่ว่าเขาสามารถเลือกหนทางสมบูรณ์หรือหนทางตกต่ำก็ได้ แม้คนผิดและผู้ปฏิเสธก็จะไม่ขับเคลื่อนไปในหนทางที่ขัดแย้งกับความประสงค์ที่ดีของพระเจ้า ทว่าพระเจ้าทรงทรงยอมรับความสูงส่งของมนุษย์ไปตามความสมบูรณ์แต่ไม่ทรงยอมรับความตกต่ำของเขา อีกนัยหนึ่ง ในการสร้างมนุษย์ของพระเจ้านั้นทรงมีจุดประสงค์ที่เป็นตักวียน์ และตัชรีอีย์ จุดประสงค์ที่เป็นตักวีนีย์คือ : มนุษย์ทุกคนสามารถทำให้ศักยภาพของตนเป็นรูปธรรมทั้งดีและไม่ดีได้ ส่วนความต้องการที่เป็นตัชรีอีคือ เฉพาะพัฒนาไปสู่ความสมบูรณ์เท่านั้น ที่มนุษย์สามารถเปลี่ยนศักยภาพให้เป็นรูปธรรม

จากคำอธิบายสามารถกล่าวได้ว่า ผู้ศรัทธาคือผู้ที่ทำให้จุดประสงค์ที่เป็นตัชรีอีย์ บรรลุผลและตนยังตั้งอยู่ในจุดประสงค์ที่ป็นตักวีนีย์อีกด้วย ส่วนผู้ปฏิเสธและคนบาป แม้ว่าจะไม่ทำให้เป้าหมายของตัชรีอีบรลุผล แต่ก็ยังอยู่ในเป้าหมายของตักวีนียะฮฺ

หมายเหตุ : เนื่องจากการให้ความสำคัญต่อประเด็นของการมีอยู่ มีเหตุผลอ้างอิงเป็นจำนวนมาก เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้สำหรับการศึกษาค้นคว้าต่อไป



[1] อัลกุรอานบทอัสรอ 20

[2] เฏาะบาเฏาะบาอี มุฮัมมัดฮุซัยนฺ อัลมีซาน เล่ม 8 หน้า 44, มิซบายัซดี มุฮัมมัดตะกี มะอาริฟกุรอาน เล่ม 1 หน้า 154

[3] อัลกุรอาน บทบะเกาะเราะฮฺ 210, อาลิอิมรอน 109, อินฟิอาล 144, ฮัจญ์ 76, ฟาฏิร 4, ฮะดีด 5

[4] อัลกุรอาน บทฮูด 123

[5]  อัลกุรอานบทซอฟาต 164-166

[6] นะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ คำเทศนา 1

[7] อัลกุรอาน บทอัลอันบิยาอ์ 27

[8] อัลกุรอาน บทอัตตะฮฺรีม 6

[9]  วะซาอิลุชชีอะฮฺ เล่ม 11 หน้า 164

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • เพราะเหตุใดอัลลอฮฺ (ซบ.) จึงทรงสร้างชัยฏอน?
    10122 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/04/21
    ประการแรก: บทบาทของชัยฏอนในการทำให้มนุษย์หลงผิดและหลงทางออกไปนั้นอยู่ในขอบข่ายของการเชิญชวนประการที่สอง : ความสมบูรณ์นั้นจะอยู่ท่ามกลางการต่อต้านและสิ่งตรงกันข้ามด้วยเหตุผลนี้เองการสร้างสรรพสิ่งเช่นนี้ขึ้นมาในระบบที่ดีงามมิได้เป็นสิ่งไร้สาระและไร้ความหมายแต่อย่างใดทว่าถูกนับว่าเป็นรูปโฉมหนึ่งจากความเมตตาและความดีของพระเจ้า ...
  • มีบทบัญญัติทางฟิกเกาะฮ์ในสวรรค์หรือไม่?
    7411 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    ก่อนอื่นต้องคำนึงเสมอว่าเราไม่สามารถล่วงรู้ถึงสภาวะของปรโลกและสวรรค์-นรกได้นอกจากจะศึกษาจากวะฮยู (กุรอาน)และคำบอกเล่าของเหล่าผู้นำศาสนาที่ได้รับการยืนยันความน่าเชื่อถือเสียก่อน.แม้ตำราทางศาสนาจะไม่ได้ระบุคำตอบที่ชัดเจนสำหรับคำถามดังกล่าวแต่จากการพิจารณาถึงข้อคิดที่ระบุไว้ในตำราทางศาสนาก็สามารถกล่าวได้ว่าในสวรรค์ไม่มีบทบัญญัติและกฏเกณฑ์จำเพาะใดๆอีกต่อไปหรือหากมีก็ย่อมแตกต่างจากข้อบังคับต่างๆในโลกนี้ทั้งนี้ก็เพราะการบังคับใช้บทบัญญัติของพระเจ้าในสังคมมนุษย์มีไว้เพื่อสร้างเสริมให้มนุษย์บรรลุถึงความเจริญและความสมบูรณ์สูงสุดซึ่งก็เป็นผลจากการปฏิบัติหน้าที่ทางศาสนาในโลกนี้นั่นเอง
  • ท่านอิมามศอดิก(อ.)เคยมีอาจารย์ชาวอะฮ์ลิสซุนนะฮ์บ้างหรือไม่?
    7331 تاريخ کلام 2555/02/18
    หนึ่ง. ประเด็นนี้เป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง เนื่องจากบรรดามะอ์ศูมีน(อ.)ล้วนมีความรู้ครอบคลุมทุกแขนงวิชาการอยู่แล้ว[1] ซึ่งไม่จำเป็นต้องศึกษาวิชาการอย่างวิชาฮะดีษจากผู้อื่น ในทางกลับกัน ผู้นำฝ่ายอะฮ์ลิสซุนนะฮ์บางท่านเคยเป็นลูกศิษย์ลูกหาของท่านทั้งทางตรงหรือทางอ้อม อาทิเช่น อบูฮะนีฟะฮ์ และมาลิก บิน อนัส[2]
  • จริงหรือไม่ที่กล่าวกันว่าหนังสืออัลกาฟีมีฮะดีษเศาะฮี้ห์เพียงไม่กี่บท?
    8102 ริญาลุลฮะดีซ 2555/01/01
    หลักเกณฑ์การเลือกฮะดีษที่ท่านกุลัยนีระบุไว้นั้นมีไว้เฉพาะกรณีฮะดีษที่ขัดแย้งกันเพราะหลักเกณฑ์พิสูจน์ความเศาะฮี้ห์ของฮะดีษมีมากกว่าสามวิธีที่ท่านระบุไว้อันได้แก่จะต้องสอดคล้องกับกุรอานตรงข้ามกับอามมะฮ์และแนวตัคยี้รส่วนการประพันธ์ตำราหลังยุคท่านกุลัยนีก็มิได้หมายความว่าหนังสืออัลกาฟีไม่น่าเชื่อถือเพราะผู้ประพันธ์ตำราเหล่านั้นก็ล้วนยอมรับความนิยมในหนังสืออัลกาฟี ...
  • การสักร่างกายถือว่าเป็นฮะรอมหรือไม่?
    6332 สิทธิและกฎหมาย 2555/02/09
     คำตอบของอายาตุลลอฮ์มะฮ์ดีฮาดาวีเตหะรานี“หากไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายและไม่ถือว่าเป็นที่น่ารังเกียจอีกทั้งไม่ทำให้ภาพพจน์ของบุคคลดังกล่าวตกต่ำลงถือว่าไม่เป็นไรคำถามนี้ไม่มีคำตอบเชิงรายละเอียด ...
  • เพราะเหตุใดกอบีลจึงสังหารฮาบีล?
    10865 วิทยาการกุรอาน 2554/06/22
    จากโองการอัลกุรอานเข้าใจได้ว่าสาเหตุที่กอบีลได้สังหารฮาบีลเนื่องจากมีความอิจฉาริษยาหรือไฟแห่งความอิจฉาได้ลุกโชติช่วงภายในจิตใจของกอบีลและในที่สุดเขาได้สังหารฮาบีลอย่างอธรรม ...
  • บทบัญญัติเกี่ยวกับปลาสเตอร์เจียน คืออะไร?
    10175 สิทธิและกฎหมาย 2555/05/20
    ปลาสเตอร์เจียน เป็นปลาที่มนุษย์ใช้เป็นอาหารมานานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งไข่ปลา ที่เรียกว่า คาเวียร์ ซึ่งนับเป็นอาหารราคาแพงที่สุดชนิดหนึ่งของโลก แต่ทั่วไปมักเรียกว่า ปลาคาเวียร์ บุคคลที่ตักลีดกับมัรญิอฺ เช่น ท่านอิมามโคมัยนี (รฎ.) ถ้าสงสัยว่าปลาคาเวียร์มีเกล็ดหรือไม่,เขาสามารถรับประทานได้ แต่ถ้าตักลีดกับมัรญิอฺ บางท่าน ซึ่งในกรณีนี้ไม่อนุญาตให้รับประทาน, แต่ถ้าใช้ประโยชน์อย่างอื่นนอกจากรับประทาน เช่น ซื้อขายถือว่าไม่เป็นไร, ด้วยเหตุนี้, ในกรณีนี้แต่ละคนต้องปฏิบัติตามทัศนะของมัรญิอฺที่ตนตักลีด ...
  • สตรีสามารถที่จะติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นในโลกไซเบอร์โดยไม่ขออนุญาตจากสามีหรือไม่?
    5758 สิทธิและกฎหมาย 2555/02/05
    คำตอบของบรรดามัรยิอ์เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวมีดังนี้อายาตุลลอฮ์คอเมเนอี “หากไม่จำเป็นที่จะต้องครอบครองทรัพย์สินของสามีก็ถือว่าไม่จำเป็นที่จะต้องขออนุญาตแต่จะต้องคำนึงว่าการติดต่อสื่อสารกับผู้ที่ไม่ใช่มะฮ์รอมส่วนใหญ่จะทำให้เกิด... หรืออาจจะทำให้ตกในการกระทำบาปซึ่งไม่อนุญาต”อายาตุลลอฮ์ซิซตานี “การติดต่อสื่อสารกับผู้ที่ไม่ใช่มะฮ์รอมถือว่าไม่อนุญาต”อายาตุลลอฮ์ศอฟีกุลฟัยกานี “โดยรวมแล้วการติดต่อสื่อสารในลักษณะนี้แม้ว่าสามีอนุญาติก็ไม่ถือว่าสามารถจะกระทำได้”ฮาดาวีเตหะรานี “หากการติดต่อสื่อสารในโลกไซเบอร์อยู่ในขอบเขตที่อนุญาตและไม่เกรงที่จะเกิดบาปเป็นที่อนุญาตและไม่จำเป็นที่จะต้องขออนุญาติจากสามี” ...
  • เพราะสาเหตุใดที่ ปรัชญาอันเป็นแบบฉบับของอิสลาม ไม่สามารถยกสถานภาพของตนให้กับ ปรัชญาใหม่แห่งตะวันตกได้ พร้อมกันนั้นปรัชญาอิสลาม ยังคงดำเนินต่อไปตามแบบอย่างของตน?
    9106 آراء شناسی 2557/05/20
    การยอมรับทุกทฤษฎีความรู้นั้นสิ่งจำเป็นคือ ต้องมีพื้นฐานของเหตุผลเป็นหลัก ดังนั้น บนพื้นฐานดังกล่าวนี้ ถ้าหากว่าสมมติฐานต่างๆ ในอดีตบางอย่าง ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ไม่ถูกต้องหรือเป็นโมฆะนั่นก็มิได้หมายความว่า ทฤษฎีความรู้ทั้งหมดเหล่านั้น จะโมฆะไปด้วย แต่ปรัชญาอิสลามนั้นแตกต่างไปจากทฤษฎีความรู้ดังกล่าวมา ตรงที่ว่าปรัชญาอิสลามมีความเชื่อ ที่วางอยู่บนเหตุผลในเชิงตรรกะ และสติปัญญา ดังนั้น เมื่อถูกปรัชญาตะวันตกเข้าโจมตี นอกจากจะไม่ยอมสิโรราบแล้ว ยังสามารถใช้เหตุผลโต้ตอบปรัชญาตะวันตกได้อย่างองอาจ นักปรัชญาอิสลามส่วนใหญ่มีการศึกษาปรัชญาตะวันตก และนักปรัชญาตะวันตก พร้อมกับมีการหักล้างอย่างจริงจัง ...
  • บุคคลย้ำคิดย้ำทำที่ได้รับการอนุโลม ถามว่าได้รับการอนุโลมข้อสงสัยทุกประเภทหรือไม่?
    10978 สิทธิและกฎหมาย 2555/02/18
    ตามหลัก “لاشکّلکثیرالشک”แล้ว ผู้ที่ชอบย้ำคิดย้ำทำ(ช่างสงสัย) ไม่ควรให้ความสำคัญแก่การสงสัยของตน อุละมาส่วนใหญ่เชื่อว่าหลักการนี้มิได้จำกัดเฉพาะกรณีการนมาซเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอะมั้ลที่กระทำก่อนนมาซ อาทิเช่น การอาบน้ำนมาซ, ฆุสุลและตะยัมมุม, อีกทั้งรวมไปถึงชุดอิบาดะฮ์อย่างเช่นการทำฮัจย์ และครอบคลุมถึงการทำธุรกรรม และประเด็นความศรัทธาด้วย อุละมายกหลักฐานสนับสนุนทัศนะของตนอันได้แก่ หลักการ لا

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60478 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58060 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42583 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39927 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39226 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34339 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28385 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28315 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28245 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26182 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...