การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
6478
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2553/10/21
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1878 รหัสสำเนา 10192
คำถามอย่างย่อ
ความรุ่งเรืองและความสมบูรณ์แบบของมนุษย์อยู่ในอะไร
คำถาม
ความรุ่งเรืองและความสมบูรณ์แบบของมนุษย์อยู่ในอะไร
คำตอบโดยสังเขป

คำตอบที่ครอบคลุมสำหรับคำถามนี้ขึ้นอยู่กับการตอบคำถาม 2 ข้ออันเป็นพื้นฐานสำคัญ

1) ความรุ่งเรืองคืออะไร ความรุ่งเรืองแยกออกจากความสมบูรณ์หรือไม่

2) มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตแบบไหน? มนุษย์เป็นวัตถุบริสุทธิ์ หรือ ... ?

ดูเหมือนว่าความเจริญรุ่งเรืองจะไม่แยกออกจากความสมบูรณ์แบบ มนุษย์ไม่ว่าเขาจะได้รับประโยชน์จากความสมบูรณ์มากเท่าใดเขาก็จะได้รับความรุ่งเรืองไปด้วย มนุษย์คือสรรพสิ่งที่ประกอบด้วยจิตวิญญาณและร่างกาย ซึ่งจิตวิญญาณนั้นเปรียบเสมือนหัวใจของมนุษย์ ความรุ่งเรื่องของจิตวิญญาณและร่างกาย ทั้งสองเป็นความสมบูรณ์แบบของมนุษย์ ความรุ่งเรืองของจิตวิญญาณคือบันไดที่โน้มนำไปสู่ความใกล้ชิดกับพระเจ้า ในกรณีนี้เองที่บ่งบอกว่ามนุษย์ได้บรรลุถึงความสมบูรณ์ขั้นสุดท้ายของตน แน่นอน การได้รับประโยชน์จากความสมบูรณ์แข็งแรงของร่างกาย และภารกิจทางโลกในรายงานของอิสลามถือว่า เป็นความรุ่งเรืองของมนุษย์ด้วยเช่นกัน

ในประเด็นนี้มีบางทัศนะมีความคิดเห็นว่า ความรุ่งเรืองนั้นแยกออกต่างหากจากความสมบูรณ์ หรือในเรื่องมนุษย์วิทยานั้นเขามีทัศนะอย่างอื่น ซึ่งแต่ละประเด็นนั้นได้รับการวิพากษ์วิเคราะห์ในที่ของมัน เช่น บางคนถือว่ามนุษย์คือการมีอยู่ในสภาพของวัตถุ แน่นอน ความรุ่งเรื่องของเขาคือการได้รับประโยชน์จากความสุขทางวัตถุ บางกลุ่มชนของนักปรัชญามีความเชื่อมั่นว่า สติปัญญาคือแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์ ส่วนนักปราชญ์ฝ่ายเอรฟาน เชื่อว่าความรักคือ หลักเกณฑ์ของความเป็นมนุษย์ และทั้งหมดเป็นเพราะไม่เคยเห็น ความจริง, พวกเขาจึงสร้างตำนานขึ้นมา

คำตอบเชิงรายละเอียด

คำตอบที่ถูกต้องและครอบคลุมสำหรับคำถามในแง่ของคำอธิบายที่ชัดเจน และความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับความรุ่งเรือง และการรู้จักที่ถูกต้องของมนุษย์และป้าหมายจึงจะประสบความสำเร็จ ขณะที่บางคน เช่น Kant เชื่อในเรื่องการแยกของความสมบูรณ์และความเจริญรุ่งเรือง และเขาได้กล่าวเช่นนี้ว่า โลกทั้งโลกมีความสมบูรณ์แบบและสิ่งที่ดีเพียงเหนึ่งเดียวเท่านั้น และสิ่งนั้นคือความประสงค์ดี ซึ่งความประสงค์ดีนั้นหมายถึงการเชื่อฟังปฏิบัติตาม เมื่อเปรียบเทียบกับคำสั่งที่เป็นมโนธรรม ซึ่งไม่ว่าการติดตามสิ่งนั้นจะมีความสุขหรือไม่ก็ตาม แต่ความรุ่งเรืองคือความสุขและความปิติ ที่ไม่มีความเจ็บปวดใด ๆ แอบแฝงอยู่เลย ขณะที่จริยธรรมนั้นขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ไม่ใช่ความรุ่งเรือง[1] แต่นักวิชาการ นักปรัชญา และจริยศาสตร์อิสลามต่างกล่าวว่า ไม่ว่ามนุษย์จะได้รับประโยชน์จากความสมบูรณ์แบบมากน้อยเพียงใด และมีบั้นปลายสุดท้ายทีดีเท่ากับเขาได้ไปถึงความสุขและความรุ่งเรืองแล้ว[2] บุคคลเหล่านี้มีความคิดเหมือนกับ Kant ในแง่ที่ว่าความเจริญรุ่งเรืองนั้นไม่แยกออกจากความสมบูรณ์แบบ แน่นอน พวกเขายอมรับว่าถ้าจุดประสงค์ของความรุ่งเรื่องหมายถึงความรุ่งเรืองทางประสาทสัมผัส (ความสุขทางโลกและวัตถุ) แน่นอน ความรุ่งเรืองเหล่านี้จะแยกออกจากความสมบูรณ์แบบตามธรรมชาติ[3] ในทางกลับกันทัศนคติของสำนักคิดต่างๆ เกี่ยวกับมนุษย์นั้นแตกต่างกัน จึงเป็นสาเหตุทำให้การพัฒนาด้านความรุ่งเรืองของพวกเขาแตกต่างกัน

สำนักคิดที่เชื่อว่า มนุษย์คือการมีอยู่ในแง่ของวัตถุ ดังนั้น ความรุ่งเรืองของเขาจัดอยู่ในกลุ่มอันเป็นความต้องการด้านวัตถุ ในกลุ่มเหล่านี้มีบางคนเชื่อว่า ความสมบูรณ์แบบของมนุษย์ขึ้นอยู่กับการเผชิญกับความสุขแห่งโลกวัตถุ (ไม่ว่าจะเป็นการเผชิญแบบปัจเจกบุคคลคือสังคมส่วนรวมก็ตาม) ในที่นั้นสติปัญญาคือมาตรฐานของความเป็นมนุษย์ ฉะนั้น ความรุ่งเรืองของเขาจึงขึ้นอยู่กับกับการเติบโตของสติปัญญา โดยผ่านวิชาการและสัจพจน์แห่งพระเจ้า พวกเขาเช่นพวกที่ล่วงรู้การเดินจิตด้านใน พวกเขาเชื่อว่ามนุษย์คือ สรรพสิ่งมีชีวิตหนึ่งที่ต้องเผชิญหน้ากับปัญญา และอยู่ในบริเวณจำกัดห่างไกลจากหลักของความสมดุลและบ้านเกิด ความรุ่งเรืองของเขาขึ้นอยู่กับการได้รับประโยชน์จากความรักมากน้อยเพียงใด และบางกลุ่มที่เป็นกลุ่ม Nietzsche ถือว่าฐานของอำนาจขึ้นกับการทำงาน, ดังนั้น มนุษย์ผู้มีความเจริญรุ่งเรืองคือ มนุษย์ผู้มีความสามารถมีอำนาจ แต่ถ้าพิจารณาตามทฤษฎีของศาสนาอิสลาม (โดยการยอมรับภูมิปัญญาและความรัก) ได้แนะนำมนุษย์ว่าเป็น สรรพสิ่งมีอยู่ที่มีศักยภาพและความสามารถที่แตกต่างกัน จากชีวิตและร่างกาย (จิตวิญญาณและร่างกาย) ถูกประกอบเข้าด้วยกัน ไม่ใช่วัตถุเพียงประการเดียว[4] ชีวิตที่แท้จริงนั้นอยู่ในอีกโลกหนึ่งซึ่งชีวิตได้ถูกสร้างขึ้นมาสำหรับโลกนั้น ความคิด การกระทำ และพฤติกรรมต่างๆของเขา คือปัจจัยสำคัญที่สร้างเนื้อและร่างกายใหม่สำหรับเขา

ด้วยความคิดทำนองนี้กับความรุ่งเรืองของมนุษย์ พร้อมกับการเปล่งบาน การร่วมมือและศักยภาพของมนุษย์ จะให้คำตอบที่เหมาะสมเป็นจริงกับความต้องการของจิตวิญญาณและร่างกาย ท่านอัลลามะฮฺเฎาะบาเฎาะบาอี กล่าวเกี่ยวกับประเด็นนี้ว่า : ความรุ่งเรืองของทุกสิ่งนั้นขึ้นอยู่กับ การไปถึงยังความดีงามของการมีอยู่ของเขา ความรุ่งเรืองของมนุษย์ในฐานะที่เป็นสรรพสิ่งที่มีอยู่ ซึ่งประกอบด้วยร่างกายและจิตวิญญาณคือการไปถึงยังความดีงามทั้งทางร่างกายและจิตวิญญาณ และการได้ครอบคลุมสิ่งเหล่านั้น[5]

จิตวิญญาณนั้นเป็นของพระเจ้า "และข้าได้เป่าจิตวิญญาณจากข้าไปบนเขา”[6] ความรุ่งเรืองของเขาอยู่ในความใกล้ชิดกับพระเจ้า หมายถึงการกลับไปสู่แหล่งเริ่มต้นเดิมที่ตนได้รับมาจากสิ่งนั้น อีกนัยหนึ่งคือ จิตวิญญาณคือแก่นแท้ของมนุษย์และมาจากพระเจ้าว่า "แท้จริงเราเป็นของอัลลอฮฺ" ด้วยการพัฒนาไปตามระดับขั้นในโลกแห่งธรรมชาติ ซึ่งได้อาศัยอยู่ในนั้น และความรุ่งเรืองของเขาผสมผสานอยู่ในความรักและความตายตามเจตนารมณ์เสรี[7] เขาได้อพยพจากไปจากโลกแห่งธรรมชาติ จนไปถึงยังสถานที่ซึ่งเขาต้องพำนักอยู่ในนั้น (แท้จริงเราต้องย้อนกลับไปหาพระองค์) มนุษย์เช่นนี้แม้จะมีร่างกายอยู่บนโลกนี้ แต่จิตใจของเขาผูกพันอยู่กับอีกโลกหนึ่ง[8] แน่นอนว่า สิ่งนี้มิได้หมายความว่า เป็นการปล่อยว่างภารกิจทางโลกทั้งหมด เพราะอะไร ก็เพราะว่าการมีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ถือเป็นหนึ่งในความรุ่งเรืองของมนุษย์ ซึ่งได้รับการแนะนำเอาไว้ว่า ถ้าหากมนุษย์เอาใจใส่เรื่องความสะอาด และมั่นรักษาร่างกายให้สะอาดเสมอ เนื่องจากร่างกายที่สะอาดและแข็งแรงนั้น เท่ากับเป็นการเตรียมพร้อมไว้สำหรับจิตวิญญาณที่สมบูรณ์[9] ทว่าจุดประสงค์หมายถึง จิตวิญญาณคือแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์ ซึ่งได้ก่อให้เกิดชีวิต ประกอบกับจุดประสงค์ของการสร้างมนุษย์ก็เพื่อความใกล้ชิดกับพระองค์ อัลกุรอานกล่าวว่า “โอ้ ดวงชีวิตที่สงบมั่นเอ๋ย จงกลับมายังพระผู้อภิบาลของเจ้า ขณะที่เจ้ามีความยินดี (ในพระองค์) และเป็นที่ปิติ (ของพระองค์) ฉะนั้น จงเข้ามาอยู่ในหมู่ปวงบ่าวของข้าเถิด และจงเข้ามาอยู่ในสรวงสวรรค์ของข้าเถิด[10]  บางโองการกล่าวว่า “โอ้ มนุษย์เอ๋ย แท้จริงเจ้าต้องพากเพียรไปสู่พระผู้อภิบาลของเจ้าอย่างทรหดอดทน แล้วเจ้าจะได้พบพระองค์”[11] บางโองการกล่าวว่า “ในสถานที่อันทรงเกียรติ ณ พระเจ้าผู้ทรงอานุภาพ”[12] บางโองการกล่าวว่า “ข้ามิได้สร้างญินและ มนุษย์เพื่อการใด นอกเสียจากเพื่อแสดงความเคารพภักดีต่อข้า”[13] ดังนั้น การอิบาดะฮฺคือหนึ่งในสื่อที่จะทำให้เราเข้าใกล้ชิดกับพระเจ้า อัลกุรอานกล่าวว่า “จงแสวงความช่วยเหลือด้วยการนมาซและความอดทน”[14] ด้วยเหตุนี้ สามารถกล่าวได้ว่า สิ่งที่สามารถช่วยเหลือมนุษย์ให้ใกล้ชิดกับพระเจ้าได้ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เขาพบกับความรุ่งเรืองได้เช่นกัน ตรงนี้เองที่จะเห็นว่า ไม่เพียงนมาซเท่านั้นที่จะเป็นสื่อสร้างให้มนุษย์ใกล้ชิดพระเจ้า ทว่าการรับใช้ปวงบ่าวของพระเจ้าก็ถือเป็นอิบาดะฮฺและเป็นสือหนึ่งที่จำนำมนุษย์เข้าใกล้ชิดกับพระเจ้า

อัลลามะฮฺ เฏาะบาเฏาะบาอี กล่าวว่า และนี่คือสิ่งที่นำพาความโปรดปรานมายังสูเจ้า แน่นอนว่าสรรพสิ่งเหล่านั้นได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าว และเป็นความช่วยเหลือจากพระเจ้าที่มีมายังมนุษย์ เพื่อให้เขาได้ไปถึงยังความรุ่งเรืองอันแท้จริง อันได้แก่ความใกล้ชิดต่อพระเจ้า ที่เกิดจากการอิบาดะฮฺ และความอ่อนน้อมถ่อมตน ณ เบื้องพระพักต์ของพระเจ้า ดังที่อัลกุรอานกล่าวว่า “เราไม่ได้สร้างมนุษย์และญินขึ้นมาเพื้อการใดยกเว้น เพื่ออิบาดะฮฺต่อข้า”



[1]  มุเฏาะฮะรี มุรตะฎอ, ฟัลสะฟะฮฺ อัคลาก หน้า 70-71

[2]  ความเข้าใจคำว่า คำรุ่งเรือง ในหนังสือจริยธรรมทั้งหลาย ซึ่งถือว่าเป็นหลักการของจริยธรรม ศึกษาเพิมเติมได้จากหนังสือ “มอ์รอจญ์สะอาดะฮฺ” หน้า 18 และ 23

[3] มุเฏาะฮะรี มุรตะฎอ, ฟัลสะฟะฮฺ อัคลาก หน้า 72

[4] อัล-กุรอาน บทฮิจญร์ 29,มุอ์มินูน 12-14

[5] เฎาะบาเฎาะบาอี มุฮัมมัด ฮุเซน, ตัฟซีรอัลมีซาน เล่ม 11 หน้า 28

[6] อัลกุรอานบทฮิจญร์ 29

[7] ความตายตามเจตนารมณ์เสรีคือ การต่อสู้กับอำนาจฝ่ายต่ำ ดังคำเรียกของท่านอิมามอะลี (อ.) ว่า แน่นอนเขาได้ฟื้นฟูสติปัญญาของเขา และคร่าอำนาจฝ่ายต่ำของเขา” (นะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ คำเทศนาที่ 220)

[8] ท่านอิมามอะลี (อ.) กล่าวแก่โกเมลบุตรของซิยาดว่า โลกคือสถานที่อยู่อาศัยของร่างกาย ส่วนจิตวิญญาณนั้นขึ้นอยู่กับสถานที่สูงส่งกว่า (นะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ จดหมายที่ 147)

[9]  อุซูลกาฟี เล่ม 2 หน้า 550

[10]  อัลกุรอาน บทอัลฟัจญฺร์ 27

[11]  อัลกุรอาน อิลชิก๊อก 6

[12] อัลกุรอาน บทอัลเกาะมัร 55

[13] อัลกุรอาน บทอัซซาริยาต 56

[14] อัลกุรอาน บทอัลบะเกาะเราะฮฺ 45

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • สามารถนมาซเต็มในนครกัรบะลาเหมือนกับการนมาซที่นครมักกะฮ์หรือไม่?
    6570 สิทธิและกฎหมาย 2555/06/23
    เกี่ยวกับประเด็นที่ว่าจะต้องนมาซเต็มหรือนมาซย่อในฮะรอมท่านอิมามฮุเซน (อ.) นั้น จะต้องกล่าวว่า ผู้เดินทางสามารถที่จะนมาซเต็มในมัสยิดุลฮะรอม มัสยิดุนนบี และมัสยิดกูฟะฮ์ แต่ถ้าหากต้องการนมาซในสถานที่ที่ตอนแรกไม่ได้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของมัสยิด แต่ภายหลังได้เติมให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของมัสยิดนั้น เป็นอิฮ์ติญาฏมุสตะฮับให้นมาซย่อ ถึงแม้ว่า... และผู้เดินทางก็สามารถที่จะนมาซเต็มในฮะรอม และในส่วนต่าง ๆ ของฮะรอมท่านซัยยิดุชชุฮาดาอ์ รวมไปถึงมัสยิดที่เชื่อมต่อกับตัวฮะรอมอีกด้วย[1] แต่ทว่าจะต้องกล่าวเพิ่มเติมใน 2 ประเด็น คือ สามารถเลือกได้ระหว่างการนมาซเต็มหรือนมาซย่อใน 4 สถานที่เหล่านี้ และผู้เดินทางสามารถเลือกระหว่างสองสิ่งนี้ได้ ฮุกุมนี้มีไว้สำหรับเฉพาะฮะรอมอิมามฮุเซน (อ.) ไม่ใช่สำหรับทั้งเมืองกัรบะลา[2]
  • แนวทางความคุ้นเคยกับอัลกุรอาน และความหลงใหลคืออะไร?
    8340 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/01/23
    ถ้าหากท่นได้อ่านอัลกุรอาน, เพียงแค่เนียตเพื่ออัลลอฮฺพร้อมกับใคร่ครวญและปฏิบัติตาม, เท่านี้ความรักในอัลกุรอานก็จะเกิดขึ้นโดยปริยายและจะทำให้มนุษย์มีความรักต่ออัลกุรอาน ...
  • เคยได้ยินฮะดีษที่ว่าท่านนบี(ซ.ล.)ได้บั่นศีรษะชัยฏอนไปแล้ว, ฮะดีษนี้เชื่อถือได้เพียงใด? แล้วการล่อลวงของชัยฏอนจะตีความอย่างไร?
    10094 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/21
    ฮะดีษที่ดังกล่าวมีอยู่จริงในขุมตำราฮะดีษของเรา อย่างไรก็ดี ฮะดีษดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่ออธิบายเกี่ยวกับ“เยามิล วักติล มะอ์ลูม”(วันเวลาที่กำหนดไว้)ดังคำบอกเล่าของกุรอาน อิบลีสถูกเนรเทศออกไปจาก ณ พระองค์ แต่มันได้ขอให้ทรงประวิงเวลา อัลลอฮ์ตัดสินคาดโทษอิบลีสจนถึง“เยามิล วักติล มะอ์ลูม” ฮะดีษที่ถามมาต้องการจะเฉลยปริศนาเกี่ยวกับวันเวลาดังกล่าว โดยเชื่อว่าจะเกิดขึ้นในยุคแห่งร็อจอะฮ์(ยุคต่อจากกาลสมัยของอิมามมะฮ์ดี ที่บรรดาอิมามในอดีตจะหวลกลับมาบริหารรัฐอิสลามโลก) หาไช่วันสิ้นโลกหรือวันกิยามะฮ์ไม่.
  • มีดุอาอฺขจัดความเกลียดคร้านและความเฉื่อยชาบ้างไหม?
    11894 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/05/17
    ภารกิจบางอย่างที่คำสอนศาสนาปฏิเสธไม่ยอมรับคือ ความเกลียดคร้านและความเฉื่อยชา, บรรดาอิมามมะอฺซูม (อ.) กล่าวตำหนิคุณสมบัติทั้งสองนี้ และขอความคุ้มครองจากพระเจ้าให้พ้นไปจากทั้งสอง ดังจะเห็นว่าบทดุอาอฺบางบทจากบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้ เช่น : 1. มุสอิดะฮฺ บุตรของ ซิดเกาะฮฺ กล่าวว่า : ฉันได้วอนขอให้ท่านอิมามซอดิก (อ.) ดุอาอฺต่ออัลลอฮฺเกี่ยวกับภารกิจการงานใหญ่ๆ ท่านอิมาม (อ.) กล่าวว่า ฉันจะสอนดุอาอฺของคุณปู่ของฉันท่านอิมามซัจญาด (อ.) แก่เธอ ซึ่งดุอาอฺของท่านอิมามซัจญาด (อ.) ได้วอนขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺ เพื่อให้พ้นไปจากความความเกลียดคร้าน กล่าวว่า : : "...وَ أَعُوذُ بِكَ مِنَ ...
  • ความสำคัญและความพิเศษ และคำวิจารณ์หนังสือบิฮารุลอันวาร?
    7649 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2554/12/21
    กลุ่มฮะดีซจากหนังสือบิฮารุลอันวาร,ถือได้ว่าเป็นผลงานที่สำคัญที่สุดของอัลลามะฮฺมัจญิลิซซียฺ, หรืออาจกล่าวได้ว่าหนังสือเล่มนี้เป็นดาอิเราะตุลมะอาริฟฉบับใหญ่ของชีอะฮฺซึ่งได้รวบรวมเอาปัญหาศาสนาเกือบทั้งหมด,เช่นตัฟซีรกุรอาน, ประวัติศาสตร์, ฟิกฮฺ, เทววิทยา, และปัญหาอื่นๆอีกบางส่วนที่สำคัญที่สุดและเป็นความพิเศษของหนังสือบิฮารุลอันวารคือ:เริ่มต้นบทใหม่ทุกบทจะกล่าวถึงโองการอัลกุรอาน
  • เพราะเหตุใด อัลลอฮฺทรงรังเกลียดการหย่าร้างอย่างรุนแรง?
    11800 ปรัชญาของศาสนา 2555/04/07
    ถ้าหากพิจารณาสิ่งตรงข้ามกันระหว่างการหย่าร้าง กับการแต่งงาน,เพื่อค้นคว้าปรัชญาของความน่ารังเกลียดในการหย่าร้าง, อันดับแรกจำเป็นต้องกล่าวถึงความสำคัญของการแต่งงานก่อน[1] อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายขึ้นมาเป็นคู่ มนุษย์ในฐานะที่เป็นเครื่องหมายและเป็นสัญลักษณ์ของพระเจ้า อันเป็นเหตุของความสงบและความสันติ[2] รายงานฮะดีวจากบรรดาอิมามมะอฺซูม (อ.) ได้กล่าวถึงความสำคัญของการแต่งงานไว้ว่า เป็นสิ่งที่ประเสริฐยิ่ง, ซึ่งท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้กล่าวถึงความสำคัญของการแต่งงานว่า : ไม่มีรากฐานอันใดได้ถูกวางไว้ในอิสลาม ซึ่งเป็นทีรักและมีเกียรติยิ่ง ณ พระองค์อัลลอฮฺ เหนือไปจากการแต่งงาน”[3] หนึ่งในประโยชน์อันสำคัญยิ่งของการแต่งงานคือ การขยายและดำรงเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ชาติ, ด้วยเหตุนี้เอง การหย่าร้างคือการทำลายการแต่งงาน ทำให้ครอบครัวต้องแตกแยก เด็กๆ ที่เกิดมาสมควรได้รับการดูแลจากมืออันอบอุ่นของบิดามารดา ร่มเงาของทั้งสองสมควรที่จะถอดเบียดบังพวกเขาให้ได้รับความปลอดภัย และมีความรู้สึกว่าได้รับความอบอุ่นเสมอ การปราศจากผู้ปกป้องดูแลคือ การขาดที่พำนักพักพิง ...
  • จะมีวิธีการอะไรสามารถพิสูจน์ได้ว่าอัล-กุรอาน ถูกประทานลงมาจากพระเจ้า
    9794 วิทยาการกุรอาน 2553/10/11
    คำถามนี้ไม่มีคำตอบแบบสั้น โปรดเลือกปุ่มคำตอบที่สมบูรณ์ ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39229 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ฮะดีษนี้น่าเชื่อถือหรือไม่? : "เราได้บันดาลให้อลี(อ.)ลูกเขยของเจ้า(นบี)ได้รับการบันทึกไว้ในซูเราะฮ์อินชิร้อห์"
    7579 การตีความ (ตัฟซีร) 2554/11/09
    เราไม่พบฮะดีษใดๆที่มีเนื้อหาเช่นนี้อย่างไรก็ดีในตำราตัฟซี้รเชิงฮะดีษมีฮะดีษหลายบทที่อรรถาธิบายโองการفإذا فرغت فأنصب وإلی ربک فارغب ว่า "เมื่อเจ้า(นบี)ปฏิบัติภารกิจศาสนทูตลุล่วงแล้วก็จงแต่งตั้งอลี(อ.)เป็นผู้นำเหนือปวงชน" หรือฮะดีษที่อธิบายโองการแรกของซูเราะฮ์นี้ที่รายงานจากอิมามศอดิก(

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60487 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58066 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42593 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39944 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39229 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34342 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28396 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28318 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28252 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26188 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...