การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
6567
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/10/22
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1008 รหัสสำเนา 17850
หมวดหมู่ เทววิทยาใหม่
คำถามอย่างย่อ
เพราะเหตุใดฉันต้องเป็นมุสลิมด้วย? โปรดตอบคำถามของฉันด้วยเหตุผลของวิทยปัญญา
คำถาม
เพราะเหตุใดฉันต้องเป็นมุสลิมด้วย? โปรดตอบคำถามของฉันด้วยเหตุผลของวิทยปัญญา
คำตอบโดยสังเขป

แม้ว่าความสัตย์จริงของศาสนาต่างๆ ในปัจจุบันบนโลกนี้ยังคงปรากฏให้เห็นอยู่บ้างก็ตาม, แต่รูปธรรมโดยสมบูรณ์และความจริงแท้แห่งความเป็นเอกะของพระเจ้า มีเฉพาะในศาสนาอิสลามเท่านั้น หรืออีกนัยหนึ่งท่านสามารถพบสิ่งนี้เฉพาะในคำสอนของอิสลาม, เหตุผลหลักสำหรับการพิสูจน์คำกล่าวอ้างข้างต้น,คือการไม่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้, ประกอบกับการสังคายนาและภาพความขัดแย้งกันทางสติปัญญาที่ปรากฏในคำสอนของศาสนาอื่น นอกเหนือไปจากอิสลาม ในทางตรงกันข้ามอัลกุรอานที่ไม่เคยถูกสังคายนา ไม่เคยถูกเปลี่ยนแปลง, การมีหลักฐานที่เชื่อถือได้ทั้งทางสติปัญญา การอ้างอิงจากตำรา และประวัติศาสตร์, ความสมบูรณ์ที่ครอบคลุมของอิสลาม,การเข้ากันได้เป็นอย่างดีระหว่างคำสอนอิสลาม กับสติปัญญาสมบูรณ์ของมนุษย์

อีกด้านหนึ่งศาสนาแห่งความจริงอันเป็นสัจจะในแต่ละยุคสมัยนั้น มีเพียงศาสนาเดียวเท่านั้น ส่วนศาสนาหรือสำนักคิดอื่นที่เหลือโดยพื้นฐานแล้วถือว่าโมฆะ ไม่มีรากที่มาที่ถูกต้อง หรือถูกยกเลิกไปแล้ว ซึ่งทุกวันนี้ศาสนาที่เที่ยงธรรมถูกต้องตรงกับความเป็นจริงมีเฉพาะ อิสลาม เท่านั้น และอิสลามตามอุดมการณ์ของศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ) อันเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริงก็ปรากฏอยู่ในคำสอนของ อะฮฺลุลบัยตฺ (ชีอะฮฺ) เท่านั้น อีกนัยหนึ่งเฉพาะคำสอนของชีอะฮฺเท่านั้นที่สามารถเผยรูปลักษณ์อิสลามมุฮัมมะดีได้อย่างแท้จริง

คำตอบเชิงรายละเอียด

สำหรับความชัดเจนในคำตอบของประเด็นดังกล่าวจำเป็นต้องพิจารณาประเด็นดังต่อไปนี้ เช่น : เหตุผลที่ไม่สมบูรณ์ของศาสนาอื่นที่มีอยู่บนโลกนี้, ประกอบกับเหตุผลที่ยืนยันถึงความดีกว่าของอิสลามและนิกายชีอะฮฺ :

) เหตุผลที่ไม่สมบูรณ์ของศาสนาอื่น (นอกจากอิสลาม)

ก่อนที่จะกล่าวถึงเหตุผลไม่สมบูรณ์ของศาสนาอื่นที่มีอยู่บนโลกนี้, มี 2 ประเด็นสำคัญที่ต้องกล่าวถึงก่อนเป็นอันดับแรก :

ประเด็นแรก : วัตถุประสงค์ของเรามิได้หมายถึงว่าทุกสิ่งอันเป็นคำสอนที่มีอยู่ในศาสนาทั้งหลาย ในทุกวันนี้เป็นโมฆะทั้งหมด ไม่อาจพบคำพูดหรือคำสอนใดในศาสนาเหล่านั้นที่เป็นความจริงสักประการเดียว ทว่าวัตถุประสงค์ของเราคือ คำสอนของศาสนาอื่นทุกวันนี้มีประเด็นต่างๆที่ไม่อาจยอมรับได้ ดังนั้น ศาสนาเหล่านั้นจึงไม่อาจเป็นผู้อธิบายรูปธรรมที่สมบูรณ์ได้

ประเด็นที่สอง : สิ่งที่จะร่วมกันพิจารณาตรงนี้ในความจำกัดจะขอหยิบยกเหตุผลไม่สมบูรณ์ของ 2 ศาสนาสำคัญทุกวันนี้ กล่าวคือศาสนาคริสต์ และศาสนายะฮูดีย์ ดังนั้น คุณค่าและความหน้าเชี่อถือของศาสนาอื่นในแง่ของการยอมรับที่ด้อยกว่าสองศาสนานี้ ก็จะรับรู้ได้เองโดยปริยาย

แต่เหตุผลที่พิสูจน์ให้เห็นว่าศาสนาคริสต์บนโลกในทุกวันนี้ ไม่อาจอธิบายแก่นแท้ความจริงอันสมบูรณ์ได้คือ :

1.คัมภีร์ไบเบิ้ล (อินญีล) ไม่อาจเชื่อถือได้ อีกทั้งไม่มีสายรายงานที่แน่นอนและเชื่อถือได้

ศาสดาอีซา (.) เป็นศาสดาแห่งวงศ์วานอิสราเอล ภาษาของท่านคือ อิบรู ท่านศาสดาได้ประกาศการเป็นศาสดาและเชิญชวนผู้คนไปสู่คำสอนของท่าน  บัยตุลมุก็อดดิสหรือเยลูซาเล็มในปัจจุบัน ซึ่งประชาชนทั้งหมดในที่นั้นที่เป็น อิบรู ก็มิได้เชื่อศรัทธาท่านทั้งหมด ยกเว้นกลุ่มชนเพียงน้อยนิดเท่านั้นเองแต่ไม่ทราบจำนวนที่แน่นอน, แต่มีประชาชนเพียงไม่กี่คนจากบัยตุลมุก็อดดิสที่รู้ภาษา กรีก ได้เดินทางไปสู่ประเทศอื่น เพื่อเชิญชวนประชาชนให้เชื่อฟังปฏิบัติตามศาสนาของอีซา (.) และยังได้เขียนคัมภีร์เป็นภาษายูนานอีกด้วย ซึ่งสาระในคัมภีร์ที่ได้เขียนเพื่อคนกรีกและอิตาลี กล่าวว่า : อีซาได้กล่าวเช่นนี้และเช่นนั้นว่า. สำหรับบุคคลที่เคยเห็นศาสดาอีซา และเห็นการกระทำหรือได้ยินคำพูดของท่าน และรู้ภาษาของท่านมีเฉพาะในปาเลสไตน์เท่านั้น แต่พวกเขาก็ไม่ยอมรับท่านอีซา (.) ว่าเป็นศาสดาแต่อย่างใด ส่วนเรื่องเล่าต่างๆ ที่เขียนเป็นภาษากรีกก็ถือว่า เป็นการประพันธ์ขึ้นมาซึ่งประชาชนที่ยอมรับคำพูดเหล่านั้นก็เป็นประชาชนที่อยู่ไกล มิใช่ประชาชนที่อยู่ในบัยตุลมุก็อดดิสแต่อย่างใด และพวกเขาก็ไม่เคยเห็นศาสดาอีซาด้วยและไม่เข้าใจภาษาของท่าน ถ้าหากว่ามีเรื่องราวถูกบันทึกอยู่ในคัมภีร์ไบเบิ้ล, ส่วนใหญ่เป็นเรื่องมุสาทั้งสิ้น เนื่องจากผู้เขียนคัมภีร์ขึ้นมาไม่มีผู้ใดท้วงติง หรือตรวจสอบ และผู้ฟังก็มิได้นำไปสู่การปฏิเสธและมุสาแต่อย่างใด เช่น ในคัมภีร์ไบเบิ้ล ฉบับมะทา กล่าวว่าเมื่อศาสดาอีซาได้ประสูติแล้ว ได้มีพวกบูชาไฟสองสามคนจากตะวันออกเข้ามาหาท่าน และถามท่านว่ากษัตริย์แห่งยะฮูดีที่เพิ่งประสูติอยู่  ที่ใด? เนื่องจากเราได้เห็นหมู่ดวงดาวของเขาปรากฏทางทิศตะวันออก แต่ดวงดาวเหล่านั้นมิได้แสดงสัญลักษณ์อันใด, ทันใดนั้นพวกเราได้เห็นดวงดาวเหล่านั้นขับเคลื่อนอีกในท้องฟ้า จนกระทั่งว่าได้มาหยุดนิ่งเหนือบ้านที่ อีซา (.) ได้ประสูติ พวกเราจึงรู้ว่าเป็นบ้านหลังนั้นเอง, แน่นอนเรื่องราวเหล่านี้ที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาไม่มีมูลความจริงแต่อย่างใด เนื่องจากเรื่องเดียวกันแต่ไม่ได้ถูกเขียนเป็นภาษาอิบรูสำหรับคนในบัยตุลมุก็อดดิสแต่อย่างใด, ทว่าสิ่งนั้นได้ถูกเขียนเพื่อคนแปลกหน้า จึงนับว่าเป็นความแปลกอย่างยิ่ง ซึ่งเรามั่นใจว่าไม่มีนักดาราศาสตร์คนใดเชื่อเช่นนั้นเหมือนกันว่า การถือกำเนิดของแต่ละคนต้องมีดวงดาวปรากฏ และขับเคลื่อนไปเหนือศีรษะของเขา, ทั้งพวกบูชาไฟก็ไม่เชื่อเรื่องนี้ และคนอื่นก็เช่นเดียวกัน. กล่าวกันว่าชาวคริสต์มีความเห็นขัดแย้งกันเรื่องการสังหารศาสดาอีซา (.) เนื่องจากคัมภีร์ไบเบิ้ลบางฉบับบันทึกว่า ศาสดาอีซามิได้ถูกสังหารแต่อย่างใด เนื่องจากถ้าหากมีคนหนึ่งถูกสังหารในเมืองแล้วละก็ ไม่อาจปกปิดสายตาของประชาชนส่วนใหญ่ที่ให้ความสนใจในเรื่องดังกล่าวได้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการแขวนประจารเช่นนั้น แต่เนื่องจากผู้เขียนไบเบิ้ลได้เขียนด้วยภาษาอื่น และเขียนเพื่อคนแปลกหน้าความแปลกเช่นนี้จึงไม่ถูกพบในบัยตุลมุก็อดดิสแต่อย่างใด เพื่อจะได้พิสูจน์ความจริงให้ปรากฏไปว่า ศาสดาอีซา (.) ถูกสังหารจริงหรือไม่?

ผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิ้ลได้เขียนด้วยความอิสระ ซึ่งทุกสิ่งที่ตนเห็นว่าสมควรก็ได้เขียนบันทึกไว้ในคัมภีร์นั้น โดยไม่มีผู้ใดท้วงติง ซึ่ง 300 ปี หลังจากศาสดาอีซา (.) ได้ประกาศศาสนา เพิ่งจะมีการจัดประชุมและบรรดานักปราชญ์ นัศรอนีได้ปรึกษาหารือกันว่า จะจัดการกับความขัดแย้งที่ปรากฏในคัมภีร์เหล่านั้นอย่างไร พวกเขาได้แสดงทัศนะโดยพร้อมเพียงกันว่า ให้เลือกคัมภีร์ไบเบิ้ลเพียงแค่ 4 เล่ม และปรับปรุงแก้ไขเนื้อหาสาระในคัมภีร์เหล่านั้น ส่วนเล่มอื่นๆ ให้ถือเป็นโมฆะไป ซึ่งเรื่องการไม่ถูกสังหารของศาสดาอีซาที่ปรากฏในคัมภีร์ต่างๆ ถือเป็นเรื่องมุสาและไม่เป็นทางการ[1]

2.เหตุผลที่สองที่บ่งบอกความไม่สมบูรณ์ของศาสนาคริสต์, มีประเด็นมากมายที่บกพร่องและมีการสังคายนาหลายครั้งในคัมภีร์ไบเบิ้ลฉบับปัจจุบัน ดังนั้น ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากหนังสือ เราะฮฺสะอาดะฮฺ เขียนโดยอัลลามะฮฺชะอฺรอนียฺ[2] และหนังสืออิซฮารุลฮัก.เขียนโดยฟาฎิล ฮินดี ฮับบะตุลลอฮฺ บิน เคาะลีลุลลอฮฺ อัรเราะฮฺมาน, กุรอานและคัมภีร์แห่งฟากฟ้าฉบับอื่น, เขียนโดยชะฮีด ฮาชิมี เนะฌอด.

3.เหตุผลที่สาม,การไม่เข้ากันของความเชื่องบางประการของคริสต์กับเหตุผลทางตรรก และสติปัญญา เช่น พวกเขาเชื่อว่า : พระเจ้าที่เป็นพระบุตร,มีรูปร่างเหมือนมนุษย์, พระเจ้าองค์นี้จะเก็บความผิดของปวงบ่าวเอาไว้,ด้วยการถูกตรึงบนไม้กางเขาเพื่อถ่ายบาปให้แก่ปวงบ่าว ขณะในคัมภีร์ไบเบิ้ล ฉบับวารสารของยอห์น...กล่าวว่า

เนื่องจากพระเจ้า,ทรงรักโลกนี้เป็นอย่างยิ่งพระองค์จึงทรงมอบพลีบุตรชายคนเดียวของพระองค์ให้ เพื่อว่าใครก็ตามที่เชื่อถือพระองค์จะได้ไม่พบกับความวิบัติ,ทว่าพวกเขาจะได้มีชีวิตอมตะนิรันดร์, เนื่องจากพระองค์มิได้ทรงส่งบุตรชายของพระองค์มายังโลกนี้เพื่อตัดสินมนุษย์, ทว่าส่งมาช่วยเหลือชาวโลกให้รอดพ้นความวิบัติ[3]

เกี่ยวกับศาสนาของยะฮูดีมี 3 ปัญหาสำคัญดังนี้ ..

1.ฉบับอิบรู ซึ่งอยู่  นักวิชาการชาวยิวและโปรเตสแตนต์ที่เชื่อถือได้

2.ฉบับซามาเรียของ ซึ่ง  ซามิเรียล (เป็นอีกเผ่าหนึ่งของอิสราเอล) ที่เชื่อถือได้

3.ฉบับภาษากรีกของนักวิชาการคริสเตียน ที่ไม่โปรเตสแตนต์ที่เชื่อถือได้

ฉบับซามาเรียนั้นครอบคลุมคัมภีร์อยู่เพียง 5 ฉบับของศาสดามูซา (.) คัมภีร์ของยูชะอ์ และดาวะรอน ส่วนคัมภีร์ฉบับอื่นของพระสัญญาฉบับเก่า ไม่ได้รับความเชื่อถือแต่อย่างใด. ในคัมภีร์ฉบับแรกกล่าวถึงช่วงเวลาที่ห่างกันระหว่างการสร้างอาดัม กับการเกิดน้ำท่วมโลกสมัยนูฮฺ ประมาณ 1656 ปี ส่วนฉบับที่สองกล่าวว่า 1307 ปี และฉบับที่สามกล่าวว่ 1362 ปี. ดังนั้น จะเห็นว่าคัมภีร์ทั้งสามฉบับไม่อาจถูกต้องได้, ทว่าหนึ่งเดียวเท่านั้นคือ ฉบับที่ถูกต้องและเชื่อถือได้แต่ก็ไม่ทราบว่าฉบับใด[4]

2. ในคัมภีร์เตารอตมีบางประเด็นที่สติปัญญาไม่อาจรับได้ เช่น ในคัมภีร์เตารอตกล่าวว่า พระเจ้าทรงมีมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับมนุษย์และทรงท่องเดินไป, ทรงส่งเสียงร้อง, ทรงมุสา, และทรงเจ้าเล่ห์เพทุบายอีกด้วย, เนื่องจากพระเจ้าทรงกล่าวแก่อาดัมว่า ถ้าเจ้าบริโภคผลไม้แห่งความดีและเลวเจ้าจะต้องตาย, แต่ทั้งอาดัมและฮะวาได้บริโภคผลไม้จากต้นไม้ดังกล่าว ไม่เพียงแต่ทั้งสองจะไม่ตายเท่านั้นทว่าเขาทั้งสองยังได้รู้จักความดีและความเลวว่าเป็นอย่างไรอีกด้วย.[5]

หรือเรื่องราวการเล่นมวลปล้ำของพระเจ้ากับศาสดายะอฺกูบ ซึ่งถูกบันทึกอยู่ในคัมภีร์เตารอตเช่นกัน[6]

. เหตุผลที่บ่งบอกว่าอิสลามคือศาสนาแห่งความจริงและดีกว่าคือ

1.ความเป็นอมตะของปาฏิหาริย์ในศาสนาอิสลาม, เนื่องจากปาฏิหาริย์หลักของศาสนานี้คืออัลกุรอานซึ่งถือว่าเป็นพระคัมภีร์แห่งวิชาการและตรรกะ แตกต่างไปจากปาฏิหาริย์ของศาสดาท่านอื่น ซึ่งเป็นภารกิจที่เกิดจากการสัมผัสทางความรู้สึกเสียเป็นส่วนใหญ่ ด้วยเหตุนี้เองอัลกุรอานจึงมีชีวิตเป็นอมตะ นิรันดร์ และพึ่งพาตัวเองไม่ได้ขึ้นอยู่กับชีวิตอันสั้นเพียงเล็กน้อยของท่านศาสดา (ซ็อล ) เท่านั้น ทว่าเป็นปาฏิหาริย์ที่มีความเป็นอมตะนิรันดร์เสมอ

นอกจากนั้นแล้วอัลกุรอานยังได้ท้าทายมนุษย์ทั้งโลกให้ต่อสู้กับอัลกุรอาน ชนิดตาต่อตา ฟันต่อฟัน หรือประกาศความเป็นนิรันดร์ของตัวเองเฉกเช่นอัลกุรอาน โองการกล่าวว่า :และถ้าหากสูเจ้ายังแคลงใจในสิ่งที่เราได้ประทานมาแก่บ่าวของเรา สูเจ้าก็จงนำมาสักบทหนึ่งเยี่ยงนั้น และจงเรียกบรรดาผู้ช่วยเหลือของสูเจ้ามา 

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตอยู่บนดาวเคราะห์ดวงอื่น,อิสลามมีทัศนะอย่างไรบ้าง?
    11330 การตีความ (ตัฟซีร) 2554/06/22
    แนวคิดที่ว่ามีสิ่งมีชีวิตอยู่บนเส้นทางช้างเผือกหรือดาวเคราะห์ดวงอื่นหรือมีสิ่งมีสติปัญญาอื่นอยู่อีกหรือไม่, เป็นหนึ่งในคำถามที่มนุษย์เฝ้าติดตามค้นหาคำตอบอยู่จนถึงปัจจุบันนี้, แต่ตราบจนถึงเดี๋ยวนี้ยังไม่ได้รับคำตอบที่แน่นอน. อัลกุรอานบางโองการได้กล่าวถึงสิ่งมีชีวิตอื่นในชั้นฟ้าเอาไว้อาทิเช่น1. ในการตีความของคำว่า “มินดาบะติน” ในโองการที่กล่าวว่า :”และหนึ่งจากบรรดาสัญญาณ (อำนาจ) ของพระองค์คือการสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินและสิ่งที่ (ประเภท) มีชีวิตทั้งหลายพระองค์ทรงแพร่กระจายไปทั่วในระหว่างทั้งสองและพระองค์เป็นผู้ทรงอานุภาพที่จะรวบรวมพวกเขาเมื่อพระองค์ทรงประสงค์”
  • สายรายงานของฮะดีษที่ท่านอิมามอลี(อ.)กล่าวแก่ชาวอรับเกี่ยวกับชาวเปอร์เซียว่า“พวกท่าน(อรับ)รบกับพวกเขา(เปอร์เซีย)เพื่อให้ยอมรับการประทานกุรอาน แต่ก่อนโลกนี้จะพินาศ พวกเขาจะรบกับพวกท่านเพื่อการตีความกุรอาน”เชื่อถือได้เพียงใด?
    6811 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2554/09/11
    ในตำราฮะดีษมีฮะดีษชุดหนึ่งที่มีนัยยะถึงการที่ท่านอิมามอลี(อ.)กล่าวกับชาวอรับเกี่ยวกับชาวเปอร์เซียว่า “พวกท่าน(อรับ)รบกับพวกเขา(เปอร์เซีย)เนื่องด้วยการประทานกุรอานแต่ก่อนโลกนี้จะพินาศพวกเขาก็จะรบกับพวกท่านเนื่องด้วยการตีความกุรอาน”สายรายงานของฮะดีษบทนี้เชื่อถือได้ ...
  • ชีอะฮ์มีสำนักตะศ็อววุฟหรืออิรฟานเหมือนซุนหนี่หรือไม่? เป็นไปได้หรือไม่ที่จะจาริกอย่างชีอะฮ์ในสังคมปัจจุบัน และหากเป็นไปได้ เราควรเริ่มจากจุดใด? สามารถจะจาริกในหนทางนี้โดยปราศจากครูบาอาจารย์ได้หรือไม่? ฯลฯ
    5268 รหัสยทฤษฎี 2555/03/12
    มีอาริฟ(นักจาริก)ในโลกชีอะฮ์มากมายที่ค้นหาสารธรรมโดยอิงคำสอนอันบริสุทธิ์ของบรรดาอิมาม หรืออาจกล่าวได้ว่าวิถีชีอะฮ์ก็คือการจำแลงอิรฟานและการรู้จักพระเจ้าในรูปคำสอนของอิมามนั่นเอง ในยุคปัจจุบัน ไม่เพียงแต่สามารถจะขัดเกลาจิตใจและจาริกทางอิรฟานได้ หากแต่ต้องถือเป็นวาระจำเป็นเร่งด่วน เหตุเพราะการจะบรรลุถึงตักวาในยุคที่โลกเต็มไปด้วยเทคโนโลยีแห่งโลกิยะนั้น จะกระทำได้ต่อเมื่อเข้าถึงแก่นธรรมแห่งอิรฟานแล้วเท่านั้น ซึ่งจะสามารถพบแหล่งกำเนิดอิรฟานที่ถูกต้องและสูงส่งที่สุดได้ ณ แนวทางอิมามียะฮ์ ...
  • สวรรค์นั้นมีประตูต่างๆ จำนวนมากมาย และประตูแต่ละที่มีชื่อกำกับเฉพาะด้วย
    16282 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/21
    สวรรค์นั้นมีประตูต่างๆจำนวนมากมายซึ่งมีถึง 8 ประตูด้วยกัน, ส่วนนามชื่อเฉพาะของประตูเหล่านั้นหรือประตูบานนั้นจะกลุ่มชนใดได้ผ่านเข้าไปบ้างรายงานฮะดีซมีความขัดแย้งกันอยู่บ้างและชื่อเฉพาะประตูมีรายงานที่กระจัดกระจายแจ้งเอาไว้
  • อัคล้ากกับเชาวน์ปัญญามีความเกี่ยวพันกันอย่างไร?
    5660 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/02/18
    อัคล้าก (จริยธรรม) แบ่งออกเป็นสองประเภทเสมือนศาสตร์แขนงอื่นๆดังนี้ก. จริยธรรมภาคทฤษฎีข. จริยธรรมภาคปฏิบัติการเรียนรู้หลักจริยธรรมภาคทฤษฎีมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับเชาวน์ปัญญา กล่าวคือ ยิ่งมีความเฉลียวฉลาดเท่าใด ก็ยิ่งเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น แต่หากมีเชาวน์ปัญญาน้อย ก็จะทำให้เรียนรู้จริยศาสตร์ได้น้อยตามไปด้วยทว่าในส่วนของภาคปฏิบัติ (ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นจุดประสงค์หลักของผู้ถาม) จำเป็นต้องชี้แจงในรายละเอียดดังต่อไปนี้มีการนิยามคำว่าอัคล้ากว่า เป็นพหูพจน์ของ “คุ้ลก์” อันหมายถึง “ทักษะทางจิตใจของมนุษย์ที่ส่งผลให้กระทำการใดๆโดยอัตโนมัติ”ฉะนั้น อัคล้าก (จริยธรรม) ก็คือนิสัยและความเคยชินที่หยั่งรากลึกในจิตใจมนุษย์ ส่งผลให้ปฏิบัติกิจกรรมโดยไม่ต้องข่มใจ นั่นหมายความว่า การทำดีในลักษณะที่เกิดจากการไตร่ตรองไว้ก่อนนั้น แม้จะถือเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม แต่ไม่ถือเป็นความประเสริฐทางอัคล้าก ผู้ที่มีอัคล้ากดีก็คือผู้ที่กระทำความดีจนกลายเป็นอุปนิสัย ...
  • ถ้าหากชาวสวรรค์มีการแบ่งชั้นอยู่ ดังนั้นสำหรับชาวนรกแล้วเป็นเช่นนี้ด้วยหรือไม่?
    10937 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/04/07
    สิ่งที่อัลกุรอานและรายงานฮะดีซ กล่าวไว้เกี่ยวกับชั้นต่างๆ ของนรก,ก็คือนรกนั้นมีชั้นเหมือนกับสวรรค์[1]ที่แบ่งออกเป็นชั้นต่างๆ ซึ่งชาวนรกทั้งหลายจะถูกพิพากษาไปตามความผิดที่ตนได้กระทำไว้หนักเบาต่างกันไป, ซึ่งเขาจะถูกนำไปพักอยู่ในชั้นนรกเหล่านั้นเพื่อลงโทษในความผิดที่ก่อขึ้น รายงานบทหนึ่งจากท่านอิมามบากิร (อ.) กล่าวเกี่ยวกับโองการที่ว่า «لَها سَبْعَةُ أَبْوابٍ لِكُلِّ بابٍ مِنْهُمْ جُزْءٌ مَقْسُوم»[2] สำหรับนรกมีเจ็ดประตู และทุกประตูมีสัดส่วนที่ถูกจัดไว้แล้ว (สำหรับผู้หลงทาง) ท่านอิมาม (อ.) กล่าวว่า ได้มีรายงานมาถึงฉันว่า อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงแบ่งนรกออกเป็น 7 ชั้น 1.ชั้นที่หนึ่ง : เป็นชั้นที่สูงที่สุดเรียกว่า “ญะฮีม” ชาวนรกในชั้นนี้จะถูกให้ยืนอยู่บนโขดหินที่ร้อนระอุด้วยความยากลำบาก กระดูกและสมองของเขาจะเดือดพล่านเนื่องจากความร้อนนั้น
  • ในอายะฮ์ที่ได้กล่าวว่า "فَمَنِ اعْتَدَى بَعْدَ ذَلِکَ فَلَهُ عَذَابٌ أَلِیمٌ"، คำว่า “ฟะมะนิอ์ตะดา” หมายถึงอะไร และสาเหตุใดจึงมีการเตือนว่าจะลงโทษ?
    8132 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/18
    ข้อบังคับประการหนึ่งในพิธีฮัจญ์และอุมเราะฮ์ก็คือห้ามล่าสัตว์ในขณะที่ครองอิฮ์รอมซึ่งอายะฮ์ที่ 94-96 ซูเราะฮ์อัลมาอิดะฮ์ก็ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้กล่าวคือห้ามมิให้ล่าสัตว์ทะเลทรายและสัตว์น้ำในขณะที่ยังครองอิฮ์รอมก่อนที่จะกล่าวถึงความหมายของคำว่า “ตะอัดดี” (การรุกราน) จำเป็นที่จะต้องอธิบายว่าเหตุผลหนึ่งของการห้ามล่าสัตว์ในขณะครองอิฮ์รอมก็คือการที่พิธีฮัจญ์และอุมเราะฮ์เป็นอิบาดะฮ์ที่จะแยกมนุษย์ออกจากโลกิยะและจะนำพามนุษย์สู่โลกที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณอันสูงส่งส่วนสิ่งที่เป็นวัตถุ, การรบราฆ่าฟัน, ความอาฆาต, ความต้องการทางเพศ, ความสุขทางด้านวัตถุล้วนเป็นสิ่งที่พึงละเว้นในพิธีฮัจญ์และอุมเราะฮ์ซึ่งถือเป็นวิธีฝึกฝนที่ได้รับการอนุมัติจากพระองค์ฉะนั้นการห้ามล่าสัตว์ในขณะครองอิฮ์รอมก็อาจจะเนื่องด้วยสาเหตุเหล่านี้[1]ศาสนบัญญัติข้อนี้ได้รับการกำหนดไว้อย่างละเอียดโดยมิได้เจาะจงห้ามล่าสัตว์เพียงอย่างเดียวแต่รวมไปถึงการช่วยชี้เป้าหรือการหาเหยื่อให้ผู้ล่าก็เป็นสิ่งต้องห้ามด้วยเช่นกันดังที่ในฮะดีษได้กล่าวไว้ว่าอิมามศอดิก (อ.) กล่าวกับสหายของท่านว่า “จงอย่าถือว่าการล่าสัตว์ในขณะที่ยังครองอิฮ์รอมเป็นสิ่งอนุมัติไม่ว่าจะอยู่ในเขตฮะร็อมหรือนอกเขตฮะร็อมก็ตามและถึงแม้ว่าพวกท่านจะไม่ได้ครองอิฮ์รอมก็ไม่สามารถล่าสัตว์ได้และจงอย่าชี้เป้าแก่บุคคลที่กำลังครองอิฮ์รอมหรือผู้ที่มิได้ครองอิฮ์รอมเพื่อให้เขาล่าสัตว์และจงอย่าสนับสนุน (และสั่ง) แต่อย่างใดเพื่อที่จะได้ทำให้การล่าสัตว์นั้นๆเป็นฮะลาลเนื่องจากจะทำให้ผู้ละเมิดโดยตั้งใจต้องจ่ายกัฟฟาเราะฮ์”[2]ดังนั้น “มะนิอ์ตะดา”ในที่นี้หมายถึงบุคลลใดก็ตามที่ได้ฝ่าฝืนกฏดังกล่าว (การห้ามล่าสัตว์) ซึ่งเป็นคำสั่งของอัลลอฮ์ (ซ.บ.) เขาจะต้องทนทุกข์ทรมานกับการลงโทษที่หนักหน่วงดังนั้นสาเหตุของการลงโทษคือการฝ่าฝืนกฏและคำสั่งของอัลลอฮ์ (ซ.บ.) นั่นเองและการลงโทษดังกล่าวหมายถึงการลงโทษด้วยไฟนรกในโลกหน้า “หรืออาจจะหมายถึงการประสบอุปสรรคในโลกนี้ด้วยก็เป็นได้”[3] ดังนั้นการดื้อแพ่งกระทำบาปครั้งแล้วครั้งเล่าจะนำมาซึ่งภยันตรายและการลงทัณฑ์อันเจ็บปวดคำถามดังกล่าวไม่มีคำตอบเชิงอธิบาย
  • มีดุอาอฺขจัดความเกลียดคร้านและความเฉื่อยชาบ้างไหม?
    10734 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/05/17
    ภารกิจบางอย่างที่คำสอนศาสนาปฏิเสธไม่ยอมรับคือ ความเกลียดคร้านและความเฉื่อยชา, บรรดาอิมามมะอฺซูม (อ.) กล่าวตำหนิคุณสมบัติทั้งสองนี้ และขอความคุ้มครองจากพระเจ้าให้พ้นไปจากทั้งสอง ดังจะเห็นว่าบทดุอาอฺบางบทจากบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้ เช่น : 1. มุสอิดะฮฺ บุตรของ ซิดเกาะฮฺ กล่าวว่า : ฉันได้วอนขอให้ท่านอิมามซอดิก (อ.) ดุอาอฺต่ออัลลอฮฺเกี่ยวกับภารกิจการงานใหญ่ๆ ท่านอิมาม (อ.) กล่าวว่า ฉันจะสอนดุอาอฺของคุณปู่ของฉันท่านอิมามซัจญาด (อ.) แก่เธอ ซึ่งดุอาอฺของท่านอิมามซัจญาด (อ.) ได้วอนขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺ เพื่อให้พ้นไปจากความความเกลียดคร้าน กล่าวว่า : : "...وَ أَعُوذُ بِكَ مِنَ ...
  • เหตุใดท่านอิมามอลี(อ.)จึงวางเฉยต่อการหมิ่นประมาทท่านหญิงฟาฏิมะฮ์?
    6518 ประวัติหลักกฎหมาย 2554/10/09
    การที่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ถูกทุบตีมิได้ขัดต่อความกล้าหาญของท่านอิมามอลี(อ.) เพราะในสถานการณ์นั้นท่านต้องเลือกระหว่างการจับดาบขึ้นสู้เพื่อทวงสิทธิของครอบครัวที่ถูกละเมิดหรือจะอดทนสงวนท่าทีแล้วหาทางช่วยเหลืออิสลามด้วยวิธีอื่นจากการที่การจับดาบขึ้นสู้ในเวลานั้นเท่ากับการต่อต้านและสร้างความแตกแยกในหมู่มุสลิมอันจะทำให้สังคมมุสลิมยุคแรกอ่อนเปลี้ยส่งผลให้กองทัพโรมันเหล่าศาสดาจอมปลอมและผู้ตกศาสนาจ้องตะครุบให้สิ้นซากท่านอิมามอลี(อ.)ยอมสละความสุขของตนและครอบครัวเพื่อผดุงไว้ซึ่งอิสลามศาสนาที่เป็นผลงานคำสอนทั้งชีวิตของท่านนบี(ซ.ล.)และการเสียสละของเหล่าชะฮีดในสมรภูมิต่างๆ ...
  • กรุณาไขเคล็ดลับวิธีบำรุงสมองทั้งในแง่รูปธรรมและนามธรรมตามที่ปรากฏในฮะดีษ
    6573 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/28
    ปัจจัยที่มีส่วนช่วยบำรุงสมองและเสริมความจำมีอยู่หลายประเภทอาทิเช่น1. ปัจจัยด้านจิตวิญญาณก. การรำลึกถึงอัลลอฮ์(ด้วยการปฏิบัติศาสนกิจโดยเฉพาะอย่างยิ่งการนมาซตรงเวลา)ข. อ่านบทดุอาที่มีผลต่อการเสริมความจำอย่างเช่นดุอาที่นบี(ซ.ล.)สอนแก่ท่านอิมามอลี(อ.)[i]سبحان من لایعتدى على اهل مملکته، سبحان من لایأخذ اهل الارض بالوان العذاب، سبحان الرؤوف الرحیم، اللهم اجعل لى فى قلبى نورا و بصرا و فهما و علما انک على کل ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    57983 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    55458 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    40702 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    37611 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    36594 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    32664 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    26857 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    26428 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    26207 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    24320 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...