การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
10148
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/06/21
 
รหัสในเว็บไซต์ fa73 รหัสสำเนา 14712
หมวดหมู่ เทววิทยาใหม่
คำถามอย่างย่อ
ตามคำสอนของศาสนาอื่น นอกจากอิสลาม, สามารถไปถึงความสมบูรณ์ได้หรือไม่? การไปถึงเตาฮีดเป็นอย่างไร?
คำถาม
ตามคำสอนของศาสนาอื่น นอกจากอิสลาม, สามารถไปถึงความสมบูรณ์ได้หรือไม่? การไปถึงเตาฮีดเป็นอย่างไร?
คำตอบโดยสังเขป

แม้ว่าปัจจุบันนี้จะมีความถูกต้องอยู่บ้างในบางศาสนาดั่งที่เราได้เห็นประจักษ์กับสายตาตัวเอง, แต่รูปลักษณ์ที่สมบูรณ์ของความจริง ซึ่งได้แก่เตาฮีด, มีความประจักษ์ชัดเฉพาะในศาสนาอิสลามเท่านั้น, เหตุผลหลักสำหรับการพิสูจน์คำพูดดังกล่าว,คือการไม่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้ การถูกบิดเบือน และความบกพร่องต่างๆ ทางปัญญาในศาสนาต่างๆ ขณะที่ด้านตรงข้าม, การไม่ถูกเปลี่ยนแปลงและไม่ถูกสังคายนาของอัลกุรอาน, มีหลักฐานและประวัติที่เชื่อถือได้, คำสอนที่ครอบคลุมของอิสลาม, การเข้ากันได้อย่างเป็นธรรมชาติของคำสอนอิสลามกับสติปัญญาสมบูรณ์

คำตอบเชิงรายละเอียด

สำหรับความกระจ่างชัดในคำตอบ จำเป็นต้องกล่าวถึงประเด็นต่างๆ เช่น : เหตุผลที่ไม่กระจ่างชัดของศาสนาอื่นบนโลกนี้ กับเหตุผลประจักษ์ของศาสนาอิสลาม ... เป็นประเด็นที่ต้องนำมาวิเคราะห์ :

) เหตุผลในความล้มเหลวของศาสนาอื่นบนโลก (ยกเว้นอิสลาม)

ก่อนที่จะอธิบายถึงหลักฐานในความล้มเหลวของศาสนาอื่น  ในโลก, จำเป็นต้องกล่าวถึงสองประเด็นดังนี้ :

ประเด็นแรก : จุดประสงค์ของเราไม่ได้หมายความว่าทุกสิ่งที่มีอยู่ในศาสนาที่มีอยู่ทุกวันนี้ จะถือเป็นโมฆะ, โดยไม่อาจพบคำพูดที่เป็นจริงได้เลย, แต่ทว่าวัตถุประสงค์คือมีประเด็นในศาสนาที่มีอยู่ทุกวันนี้เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ ซึ่งศาสนาเหล่านั้นไม่อาจอธิบายรูปลักษณ์ที่สมบูรณ์แท้จริงได้

ประเด็นที่สอง : ในการวิเคราะห์สั้นๆ จะกล่าวถึงความล้มเหลวในมุมหนึ่งของ 2 ศาสนาสำคัญบนโลกนี้, กล่าวคือศาสนาคริสต์และศาสนายะฮูดียฺ คุณค่าและความถูกต้องในส่วนที่เหลือของศาสนา ในแง่ความชอบธรรมทางศาสนา ความน่าเชื่อถือและการยอมรับของทั้งสองลดลงไปจนต่ำกว่ามาตรฐาน

หลักฐานได้พิสูจน์ความจริงแล้วว่า ศาสนาคริสต์ในทุกวันนี้ไม่สามารถแสดงรูปลักษณ์ที่สมบูรณ์ของความจริงได้, เหล่านี้คือ :

1 พระคัมภีร์อิลญีล (ไบเบิล) เชื่อถือไม่ได้ ไม่มีหลักฐานเด่นชัดแน่นอน

ศาสดาอีซา (.) หรือเยซูมาจากวงศ์วาอิสราเอล ภาษาของท่านคือฮิบรู ท่านได้ประกาศเชิญชวนอยู่ในเยลูซาเล็ม ทั้งที่ประชาชนในที่นั้นเป็นชนชาติ ฮิบรู แต่ไม่มีผู้ใดศรัทธาในตัวท่าน, เว้นเสียแต่ว่ามีจำนวนน้อยนิดซึ่งเราไม่รู้ถึงสภาพที่แท้จริงของพวกเขา,แต่มีประชาชนสองสามคนจากเยลูซาเล็ม ซึ่งใช้ภาษากรีก พวกเขารู้ว่าจะถูกกระจายไปในเมืองของเอเชียไมเนอร์ เพื่อเชิญชวนประชาชนไปสู่ศาสนาของอีซา และจะเขียนหนังสือเป็นภาษากรีกขึ้นมา, ในเรื่องราวเหล่านั้นคนกรีกและโรมันพูดว่า : อีซาได้กล่าวไว้เช่นนี้และเช่นนั้น ประชาชนที่เคยเห็นศาสดาอีซา และเห็นการกระทำคำพูด อีกทั้งเข้าใจภาษาของท่าน พวกเขาอยู่ในปาเลสไตน์แต่ไม่ยอมรับศาสดาอีซา (.) ส่วนเรื่องราวต่างๆ ที่ได้ถูกเขียนขึ้นเป็นภาษากรีกถือว่าคลุมเครือเป็นเท็จ ส่วนผู้คนที่ยอมรับหนังสือและเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ เป็นประชาชนที่อยู่ไกลโพ้น ซึ่งพวกเขาไม่เคยเห็นเมืองเยลูซาเล็มเสียด้วยซ้ำไป และไม่เคยเห็นศาสดาอีซา อีกทั้งไม่เข้าใจภาษาของท่านด้วย, ดังนั้น ถ้าเรื่องราวต่างๆ ที่เขียนไว้ในคัมภีร์ อินญีล, เป็นการกุการมุสาขึ้นมาก็จะไม่มีใครห้ามปรามผู้เขียน หรือผู้ได้ยินจะมีหนทางปฏิเสธการกุมุสา

เช่นในคัมภีร์อินญีล แมทธิว เขียนว่าเมื่อท่านศาสดาอีซาประสูติ, พวกกราบไหว้ดวงดาวหลายคนจากภาคตะวันออกได้มาและถามว่ากษัตริย์ของชาวยะฮูดีย์ที่เกิดมาอยู่ที่ไหน? พวกเราได้เห็นดาวของเขาในทางตะวันออก แต่พวกเขาไม่ได้แสดงให้ดู, ทันใดนั้นเองพวกเขาได้เห็นดวงดาวในท้องฟ้าเคลื่อนไป และหยุดอยู่เหนือบ้านที่พระเยซู (.) ได้ประสูติในนั้น แน่นอน เรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่องกุขึ้นมาไม่มีมูลความจริง, เราเชื่อว่าไม่มีนักดาราศาสตร์คนใดเชื่อว่า การถือกำเนิดของใครบางคน จะมีดวงดาวเกิดในท้องฟ้า, และเคลื่อนเหนือศีรษะของเขา, บรรดาผู้กราบไหว้ดวงดาวและไม่ได้กราบไหว้ต่างไม่ได้เชื่อเช่นนั้น เช่นกันกล่าวว่าบรรดาชาวตริสต์โบราณมีความขัดแย้งกันในเรื่อง เยซูถูกสังหาร. อินญีลบางเล่มยืนยันว่าศาสดาอีซาไม่ได้ถูกสังหาร, ทั้งที่ถ้าหากมีคนคล้ายศาสดาอีซาถูกสังหารแทน ก็จะไม่มีสิ่งใดปกปิดคนส่วนใหญ่ได้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการถูกตรึงบนไม้กางเขน แต่นักเขียนอีลญีลเป็นชาวตะวันตก และชาวตะวันตกก็ไม่ได้อยู่ในเยลูซาเล็ม เพื่อว่าจะได้รู้ความจริงเรื่องการถูกสังหารของอีซา หรือว่าไม่ได้ถูกสังหาร, นักเขียนอินญีลได้เขียนด้วยความอิสระเรื่องใดคิดว่ามีความเหมาะสมก็ได้เขียนลงไป 300 ปีหลังอีซาได้จากไปจึงมีการจัดประชุม และผู้รู้นัซรอนีได้ให้คำปรึกษาว่า จะแก้ไขข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้นนี้อย่างไร, ความคิดเห็นของพวกเขาคือ ในหมู่คัมภีร์อินญีลทั้งหลายให้เลือกเอาอินญีลเพียง 4 เล่ม และสังคายนาเนื้อหาใหม่ทั้ง 4 เล่ม ส่วนคัมภีร์เล่มอื่นที่เหลืออยู่ถือเป็นโมฆะไป ส่วนการไม่ถูกสังหารของอีซาให้ลบออกไป และไม่ถือเป็นทางการ[1]

2. เหตุผลที่สองของความล้มเหลวในศาสนาคริสต์, คือมีหลายประเด็นบ่งบอกถึงความไม่สมบูรณ์และการถูกเปลี่ยนแปลง ในคัมภีร์อินญิลฉบับปัจจุบัน.ดังนั้น เพื่อศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมให้ศึกษาจากหนังสือต่างๆ ดังนี้เราะฮฺสะอาดะฮฺเขียนโดยอัลลามะฮฺ ชะอฺรอนนียฺ[2] และอิซฮารุลฮักเขียนโดยฟาฎอล ฮินดี, และกุรอานวะกิตาบฮอเยะออเซมอนนีดีฆัรเขียนโดย ชะฮีดฮาชิมมี เนะฌอซ

3. เหตุผลที่สาม, ความล้มเหลวของศาสนาคริสต์คือ หลักความเชื่อของศาสนาคริสต์บางอย่าง ไม่เข้ากับเหตุและผลหรือสติปัญญาแต่อย่างใด, เช่น เชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นเด็ก, และทรงปรากฏมาในร่างของมนุษย์, เพื่อเผชิญกับบาปของมนุษย์และจะอดทนอยู่บนไม้กางเขา, จะไถ่บาปของมนุษย์, ในอินญีลยอห์น เขียนว่า : เนื่องจากพระเจ้าทรงรักโลกนี้มาก จีงประทานบุตรชายเพียงคนเดียวของพระองค์ลงมา, และใครที่ศรัทธาในตัวเขาจะไม่พบกับความพินาศ, ทว่าจะมีชีวิตเป็นอัมตะ, เนื่องจากพระเจ้าไม่ได้ส่งพระบุตรลงมาเพื่อตัดสินโลก, แต่เพื่อให้เขาได้มาช่วยเหลือโลก[3]

เกี่ยวกับศาสนายะฮูดียฺ เช่นเดียวกันมีปัญหาคล้ายคลึงกัน, เนื่องจากอันดับแรก : คัมภีร์เตารอตมี 3 ฉบับด้วยกัน

1 . ฉบับภาษาฮิบรู ซึ่งอยู่กับพวกยะฮูดและนักวิชาการโปรเตสแตนต์ถูกต้อง

2. ฉบับซามาเรีย ซึ่งอยู่กับซามาเรีย (อีกเผ่าหนึ่งของอิสราเอล) ที่ถูกต้อง

3. รุ่นภาษากรีก ซึ่งผู้รู้ชาวคริสต์ที่มิใช่โปรแตสแตนต์ ถือว่าถูกต้อง

รุ่น ซามาเรีย ครอบคลุมเฉพาะคัมภีร์ห้าเล่มของโมเสส (.) และหนังสืออื่น  พระคัมภีร์เดิมของโยชูวาและผู้พิพากษา ส่วนคัมภีร์อื่น พันธสัญญาเก่าถือว่าเชื่อถือไม่ได้ ช่วงเวลาและระยะห่างระหว่างการสร้างศาสดาอาดัม จนถึงพายุของศาสดานูฮฺ คัมภีร์ฉบับแรกกล่าวว่าประมาณ 1656 ปี ส่วนในฉบับที่สิง กล่าว่าประมาณ 1307 ปี ฉบับที่สามกล่าวว่าประมาณ 1362 ปี ดังนั้นคัมภีร์ทั้งสามฉบับไม่อาจถูกต้องทั้งหมด, ทว่าหนึ่งในนั้นต้องเชื่อถือได้และถูกต้อง แต่ก็ยังไม่รู้อีกว่าเป็นฉบับใด[4]

ประการที่สอง : ในคัมภีร์เตารอตมีเรื่องราวบางเรื่องที่สติปัญญาของมนุษย์ไม่อาจรับได้.

เช่น ในคัมภีร์เตารอตพระเจ้าได้ถูกแนะนำในรูปร่างของมนุษย์ เดินไปมา, ร้องเพลง มุสา และเจ้าเล่ห์เพทุบาย, เนื่องจากพระเจ้าได้กล่าวแก่อาดัมว่า ถ้าเจ้ากินต้นไม้ดีและไม่ดีเจ้าจะตาย, แต่อาดัมและฮะวาได้กินผลไม้จากต้นไม้นั้น ซึ่งไม่ใช่ว่าทั้งจะไม่ตายเพียงอย่างเดียว, ทว่ายังได้รู้จักทั้งดีและเลวว่าเป็นอย่างไร[5]

หรือเรืองราวการเล่นมวยปล้ำของพระเจ้ากับศาสดายะอฺกูบ ซึ่งมีบันทึกอยู่ในคัมภีร์เตารอตด้วย[6]

) เหตุผลความจริงที่ดีกว่าของอิสลาม

1.มีชีวิตและเป็นนิรันดร์ปาฏิหาริย์ของศาสนาอิสลาม, เนื่องจากปาฏิหาริย์หลักของอิสลามคืออัลกุรอานซึ่งเป็นชนิดของคัมภีร์ ตรรกะ และวิชาการต่างไปจากปาฏิหาริย์ของบรรดาศาสดาอื่นในอดีต ซึ่งเป็นภารกิจแห่งความรู้สึกด้วยเหตุนี้เอง อัลกุรอานจึงมีชีวิตตลอดเวลา และพึ่งตนเอง และไม่ขึ้นอยู่กับสถานะและการมีชีวิตของพระศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ) แต่อย่างใด ด้วยสาเหตุนี้เอง อัลกุรอานจึงเป็นปาฏิหาริย์ของอิสลามที่เป็นอมตะนิรันดร์

นอกจากนี้ อัลกุรอานยังได้ประกาศท้าทาย ชาวโลกให้นำสิ่งคล้ายเหมือนมา, และประกาศการมีชีวิตและเป็นอมตะไปของตนว่า : และถ้าหากพวกเจ้ายังแคลงใจในสิ่งที่เราได้ประทานมาแก่บ่าวของเรา พวกเจ้าก็จงนำมาสักบทหนึ่งเยี่ยงนั้น[7]

2. การไม่ถูกสังคายนาของอัลกุรอาน, กล่าวคือไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้นเกิดขึ้นในอัลกุรอาน

ซึ่งนอกเหนือจากคำสัญญาของพระเจ้าที่ว่าแท้จริงเราเป็นผู้รักษามันอย่างแน่นอน[8] ท่านศาสดา (ซ็อล ) มีความสนใจเป็นพิเศษที่จะปกป้องความถูกต้องไว้ ประการแรก : ท่านได้สั่งให้สหายกลุ่มหนึ่งรู้จักกันในนามผู้บันทึกวะฮฺยูให้บันทึกทุกสิ่งเอาไว้ เพื่อว่าโองการและบทต่างๆ จะได้ถูกบันทึกเอาไว้, ประการที่สอง : มีการสนับสนุนอย่างมากมายเพื่อให้เหล่าสหายและหมู่มิตรท่องจำอัลกุรอาน, ด้วยเหตุนี้เองมีสหายจำนวนมากในสมัยท่านศาสดา (ซ็อล ) เป็นนักท่องจำอัลกุรอาน ประการที่สาม : ส่งเสริมการอ่าน, กล่าวคือควรจะอ่านตรงคำพูดด้วยลักษณะของวาจาและถูกหลักการอ่าน, มิใช่เป็นเพียงการศึกษาหาความรู้และความเข้าใจเพียงอย่างเดียว[9]

เหล่านี้คือตัวการสำคัญที่ช่วยปกป้องอัลกุรอานจากความเสียหายและการบิดเบือน

3. แนวทางในการพิสูจน์ความจริงของอิสลาม, คือการให้ความสำคัญต่อปัญหาการเป็นศาสดาท่านสุดท้ายของนบีมุฮัมมัด (ซ็อล ), เนื่องจากตำราศาสนาอิสลาม[10]เน้นย้ำว่า ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ) คือศาสดาสุดท้ายแห่งพระเจ้าและหลังจากท่านจะไม่มีศาสดาใดถูกประทานลงมาอีก

ในสังคมมนุษย์จะยึดถือเอาคำแนะนำครั้งสุดท้าย ของผู้บริหารและหัวหน้าเป็นเกณฑ์ในการปฏิบัติ, และถือว่าจำเป็นต้องปฏิบัติตาม , ด้วยการมาของคำสั่งใหม่ คำสั่งเก่าจะสิ้นสุดวาระไปโดยปริยาย

ตามคำสอนของศาสนาอื่นมิได้ระบุถึงศาสดาสุดท้ายของพวกเขาเลย, ทว่าเป็นการแนะนำให้ทราบถึงการปรากฏของศาสดาแห่งอิสลามโดยแนะนำแก่ศาสนิกของตน[11]หมายถึงได้แสดงออกชั่วคราวของพวกเขาให้เห็น

4. ประเด็นที่สี่ที่ต้องพิจารณาอย่างยิ่งคือ ปัญหาความครอบคลุมของอิสลาม ศาสนาอิสลามในมิติต่างๆ มากมายได้สอนเรื่องของชีวิตส่วนตัวและสังคม วัตถุ และสอนเรื่องทางจิตวิญญาณเอาไว้. เพื่อการรู้จักสังคมที่ดีกว่า และวิชาการที่ยิ่งใหญ่กว่าของศาสนาอิสลาม ต้องมีการศึกษาเปรียบเทียบเนื้อหาข้อความศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาอิสลาม กับศาสนาอื่น  ในนั้นจะเห็นความเป็นเลิศและความครอบคลุมในด้านการสอนของศาสนาอิสลาม ในด้านความเชื่อ, พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวและคุณลักษณะของพระเจ้า, จริยธรรมของแต่ละบุคคลและสังคม, กฎหมาย, เศรษฐศาสตร์ การเมือง และการปกครองและ ... ซึ่งจะเห็นได้ชัด

5. ประเด็นที่ห้า, ในประวัติศาสตร์ของศาสนาที่มีอยู่ในโลกปัจจุบัน ศาสนาเดียวเท่านั้นที่มีประวัติ มีชีวิต และน่าเชื่อถือ, คืออิสลาม ซึ่งนักประวัติศาสตร์ได้บันทึกรายละเอียดในวัยเด็กของพระศาสดาไว้ด้วย ในขณะที่ศาสนาอื่น  ไม่ได้มีเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่เชื่อถือได้แต่อย่างใด ดังนั้น นักคิดตะวันตกบางคนจึงมีความสงสัย แม้ในการมีอยู่ของพระเยซู (.) ถ้ากุรอานของเราชาวมุสลิม ไม่พูดถึงเรื่องราวของพระเยซูและศาสดาคนอื่น , บางทีศาสนาคริสต์ ศาสนายิว และศาสดาของพวกเขาอาจจะไม่ได้ถูกรู้จักหรือถูกตระหนักถึงเลยในสังคมมนุษย์ก็ว่าได้[12]



[1] ชะอฺรอนนียฺ,อบุลฮะซัน, เราะฮฺสะอาดะฮฺ,หน้า 187-188,197-221, สำนักพิมพ์ กิตาบคอเนะฮฺ ซะดูก,พิมพ์ครั้งที่ 3, บะฮาร 1363

[2] อ้างแล้วเล่มเดิม

[3]  พระวารสารนักบุญยอห์น, 3, 16-17

[4] เราะฮฺสะอาดะฮฺ,หน้า 206,207

[5] โตราห์, ปฐมกาลบทที่สองและสาม

[6] อ้างแล้ว,บท 32, โองการ 25

[7] อัลกุรอาน บทอัลบะเกาะเราะฮฺ,23

[8] อัลกุรอาน บทอัลฮิจญฺร์,9

[9] เราะฮฺสะอาดะฮฺ,หน้า 22, 215, 24, 25

[10] อะฮฺซาน,40, เซาะฮียฺบุคอรียฺ, เล่ม 4, หน้า 250

[11] เราะฮฺสะอาดะฮฺ,หน้า 226-241,พระวารสารนักบุญยอห์น, 14 : 17,ฉันจะขอต่อพระบิดา และเขาจะให้คุณอีกครั้งเพื่อจะอยู่กับคุณตลอดไป (ซึ่งบัญญัติของเขาเป็นสิ่งยกเลิกได้)

[12] มัจญฺมูอฺ ออซอร, เล่ม 16, หน้า 44

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • จงอธิบายเหตุผลที่บ่งบอกว่าดนตรีฮะรอม
    9868 สิทธิและกฎหมาย 2554/10/22
    ดนตรีและเครื่องเล่นดนตรีตามความหมายของ ฟิกฮฺ มีความแตกต่างกัน. คำว่า ฆินา หมายถึง การส่งเสียงร้องจากลำคอออกมาข้างนอก โดยมีการเล่นลูกคอไปตามจังหวะ, ซึ่งทำให้ผู้ฟังเกิดประเทืองอารมณ์และมีความสุข ซึ่งมีความเหมาะสมกับงานประชุมที่ไร้สาระ หรืองานประชุมที่คร่าเวลาให้หมดไปโดยเปล่าประโยชน์ส่วนเสียงดนตรี หมายถึงเสียงที่เกิดจากการเล่นเครื่องตรี หรือการดีดสีตีเป่าต่างๆเมื่อพิจารณาอัลกุรอานบางโองการและรายงานฮะดีซ ประกอบกับคำพูดของนักจิตวิทยาบางคน, กล่าวว่าการที่บางคนนิยมกระทำความผิดอนาจาร, หลงลืมการรำลึกถึงอัลลอฮฺ, ล้วนเป็นผลในทางไม่ดีที่เกิดจากเสียงดนตรีและการขับร้อง ซึ่งเสียงเหล่านี้จะครอบงำประสาทของมนุษย์ ประกอบกับพวกทุนนิยมได้ใช้เสียงดนตรีไปในทางไม่ดี ดังนั้น สิ่งเหล่านี้อาจเป็นเหตุผลหนึ่งในเชิงปรัชญาที่ทำให้เสียงดนตรีฮะรอมเหตุผลหลักที่ชี้ว่าดนตรีฮะรอม (หรือเสียงดนตรีบางอย่างฮะลาล) คือโองการอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซจากท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ...
  • การจ่ายคุมซ์เป็นทรัพย์สินเพียงครั้งเดียว แล้วต่อไปไม่วาญิบต้องจ่ายคุมซ์อีกใช่หรือไม่?
    5775 สิทธิและกฎหมาย 2554/06/22
    ดั่งเป็นที่ทราบกันดีว่าคุมซ์คือหนึ่งในการบริจาคทรัพย์อันเป็นวาญิบสำคัญในอิสลามเป็นหนึ่งในหลักการอิสลามและเป็นอิบาดะฮฺด้วยด้วยสาเหตุนี้เองจำเป็นต้องเนียต (ตั้งเจตคติ) เพื่อแสวงความใกล้ชิดต่ออัลลอฮฺ (ซบ.)ทรัพย์สินและเงินทุนต่างๆที่ต้องจ่ายคุมซ์ถ้าหากจ่ายคุมซ์ไปแล้วเพียงครั้งเดียวไม่วาญิบต้องจ่ายคุมซ์อีกแม้ว่ากาลเวลาจะผ่านพ้นไปนานหลายปีก็ตามแต่ถ้าเป็นทรัพย์ที่เติบโตหรือมีราคาสูงขึ้นกว่าเดิมทุนเดิมไม่ต้องจ่ายคุมซ์แต่ส่วนที่เป็นผลกำไรงอกเงยอออกมาวาญิบต้องจ่ายคุมซ์[1][1]  เตาฏีฮุลมะซาอิลมะริญิอฺ
  • จะเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างศาสนาและวิทยาศาสตร์ได้อย่างไร?
    9341 ปรัชญาของศาสนา 2554/07/16
    ผู้ที่คิดว่าศาสนาและวิทยาศาสตร์ไม่อาจจะปรับเข้าหากันได้แสดงว่าไม่เข้าใจธรรมชาติของศาสนาเทวนิยมโดยเฉพาะศาสนาอิสลามอีกทั้งไม่เข้าใจว่าพื้นที่คำสอนของศาสนาและพื้นที่ความรู้ของวิทยาศาสตร์ก็แยกออกเป็นเอกเทศ เมื่อพื้นที่ต่างกันก็ย่อมไม่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นคำสอนของศาสนามีอิทธิพลต่อมนุษย์ในสามพื้นที่ด้วยกันนั่นคือความสัมพันธ์กับตนเองความสัมพันธ์กับผู้อื่น(สังคมและสิ่งแวดล้อม) และความสัมพันธ์กับพระเจ้า และในฐานะที่อิสลามถือเป็นศาสนาที่ครบถ้วนสมบูรณ์มากที่สุดได้สนองตอบความต้องการของมนุษย์ทุกยุคสมัยด้วยกระบวนการที่เรียกว่า “อิจญ์ติฮาด”ซึ่งได้รับการวางรากฐานโดยวงศ์วานศาสดามุฮัมมัดส่วนเทคโนโลยีนั้นมีอิทธิพลเพียงในพื้นที่แห่งประสาทสัมผัสและมีไว้เพื่อค้นพบศักยภาพของโลกและจักรวาลที่ซ่อนอยู่ตลอดจนเพื่อประดิษฐ์เครื่องมือในการใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่าจากเนียะอฺมัตของอัลลอฮ์เท่านั้น จึงกล่าวได้ว่านวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ช่วยแผ่ขยายพื้นที่ในการตรากฏเกณฑ์ศาสนาให้กว้างยิ่งขึ้นเพราะในทัศนะอิสลามแล้วสามารถจะวินิจฉัยปัญหาใหม่ๆได้โดยใช้กระบวนการอิจญ์ติฮาดและอ้างอิงขุมความรู้ทางฟิกเกาะฮ์. ...
  • อิสลามมีกฏเกณฑ์อย่างไรเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มสาว?
    22354 สิทธิและกฎหมาย 2554/08/09
    อิสลามถือว่าอัลลอฮ์ทรงสร้างชายและหญิงให้มีบทบาทเกื้อกูลกันและกันหนึ่งในปัจจัยที่ทั้งสองเพศต้องพึ่งพากันและกันก็คือความต้องการทางเพศทว่าการบำบัดความต้องการดังกล่าวจะต้องอยู่ในเขตคำสอนของอิสลามเท่านั้นจึงจะสามารถรักษาศีลธรรมจรรยาของทั้งสองฝ่ายได้อิสลามถือว่าความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มสาวก่อนแต่งงานไม่ว่าโดยตรงหรือผ่านสื่อหากเป็นไปด้วยความไคร่หรือเกรงว่าจะเกิดความไคร่ถือว่าไม่อนุมัติแต่สำหรับความสัมพันธ์ในการทำงานวิชาการและการศึกษาถือเป็นที่อนุมัติเฉพาะในกรณีที่ไม่โน้มนำไปสู่ความเสื่อมเสีย ...
  • ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์กฎการขวางด้วยหิน (ขวางให้ตาย) คืออะไร? การถือปฏิบัติกฎระเบียบดังกล่าว ตามหลักการอิสลามในยุคสมัยนี้ ไม่สร้างความเสื่อมเสียแก่อิสลามหรือ?
    9186 สิทธิและกฎหมาย 2555/08/22
    การลงโทษ โดยการขว้างด้วยก้อนหิน หรือเรียกว่า “รัจม์” เป็นที่ยอมรับในหมู่ประชาชาติ หมู่ชน และศาสนาต่างๆ ก่อนหน้าอิสลาม ซึ่งในอิสลามถือว่า การลงโทษดังกล่าวเป็นข้อกำหนดประเภทหนึ่งตามหลักชัรอียฺ แน่นอนและตายตัว ซึ่งจะใช้ลงโทษสำหรับการกระทำผิดที่หนักมาก ซึ่งมีรายงานจำนวนมากจากท่านศาสดา (ซ็อลฯ) กล่าวถึงประเด็นดังกล่าวไว้ เป้าหมายของอิสลามจากการลงโทษดังกล่าวคือ การปรับปรุงแก้ไขสังคม, อันเกิดจากความผิดปรกติด้านการก่ออาชญากรรม, เป็นการชำระผู้กระทำผิดอีกทั้งเป็นการลบล้างความผิดบาป ที่เกิดจากผลของความผิดนั้น, ดำเนินความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม,ป้องกันความหันเห ความหลงผิดต่างๆ อันเกิดจากการทำลายความบริสุทธิ์ของสังคม กลับคืนสู่สังคมอีกครั้ง ตามทัศนะของอิสลามการลงโทษ การทำชู้ (หญิงที่มีสามี หรือชายที่มีภรรยา) จะถูกลงโทษด้วยเงื่อนไขอันเฉพาะด้วยการขว้างด้วยก้อนหินจนกระทั่งเสียชีวิต ถ้าหากการดำเนินกฎเกณฑ์ดังกล่าว หรือกฎเกณฑ์ข้ออื่นๆ นำไปสู่การดูถูกเหยียดหยามอิสลามแล้วละก็ วะลียุลฟะกีฮฺ หรือฮากิมชัรอียฺ สามารถเปลี่ยนแปลงวิธีการลงโทษได้ตามความเหมาะสม และต้องสอดคล้องกับกฎหมายอิสลาม ...
  • เป็นไปได้หรือไม่ที่จะรู้จักบุคคลสำคัญในสวรรค์และนรก?
    6849 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/03/07
    มีหลายโองการในกุรอานที่กล่าวถึงบทสนทนาระหว่างชาวสวรรค์และชาวนรก ซึ่งทำให้พอจะทราบคร่าวๆได้ว่าชาวสวรรค์สามารถที่จะรับรู้สภาพและชะตากรรมของบุคคลต่างๆในนรกได้ นอกจากนี้ เหล่าบุรุษชาวอะอ์ร้อฟรู้จักสีหน้าของชาวสวรรค์และชาวนรกเป็นอย่างดี มีฮะดีษมากมายที่ระบุว่าเหล่าบุรุษแห่งอะอ์ร้อฟนั้น ตามนัยยะเชิงแคบก็คือบรรดาอิมามมะอ์ศูม(อ.) ส่วนนัยยะเชิงกว้างก็หมายถึงบรรดามนุษย์ที่ได้รับการเลือกสรร ซึ่งจะอยู่ในลำดับถัดจากบรรดาอิมาม โดยบุคคลเหล่านี้อยู่เหนือชาวสวรรค์และชาวนรกทั้งมวล เราขอนำเสนอความหมายของโองการเหล่านี้ดังต่อไปนี้ 1. โองการที่ 50-57 ซูเราะฮ์ อัศศ้อฟฟ้าต “ในสรวงสวรรค์ ผู้คนต่างหันหน้าเข้าหากันแล้วถามไถ่กันและกัน โดยหนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นว่า แท้จริงฉันมีสหายคนหนึ่งที่ถามฉันว่า เธอเชื่อได้อย่างไรที่ว่าหลังจากที่เราตายและกลายเป็นธุลีดินแล้ว จะถูกนำไปพิพากษา (ชาวสวรรค์กล่าวว่า) ท่านรับรู้สภาพปัจจุบันของเขาหรือไม่? เมื่อนั้นก็ได้ทราบว่าเขาอยู่ ณ ใจกลางไฟนรก (ชาวสวรรค์)กล่าวแก่เขาว่า ขอสาบานต่อพระองค์ เจ้าเกือบจะทำให้ฉันหลงทางแล้ว หากปราศจากซึ่งพระเมตตาของพระองค์ ฉันคงจะอยู่(ในไฟนรก)เช่นกัน”[1] 2. โองการที่ 50-57 ซูเราะฮ์ มุดดัษษิร “ทุกคนย่อมค้ำประกันความประพฤติของตนเอง นอกจากสหายแห่งทิศขวาซึ่งจะถามไถ่กันในสรวงสวรรค์ ...
  • มีฮะดีษจากอิมามศอดิก(อ.)ระบุว่า “การก่อสงครามกับรัฐทุกครั้งที่เกิดขึ้นก่อนการปรากฏกายของอิมามมะฮ์ดี จะเป็นเหตุให้บรรดาอิมามและชีอะฮ์ต้องเดือดร้อนและเศร้าใจ” เราจะชี้แจงการปฏิวัติอิสลามในอิหร่านอย่างไร?
    7781 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/01/19
    ต้องเรียนชี้แจงดังต่อไปนี้:หนึ่ง: เป็นไปได้ว่าฮะดีษประเภทนี้อาจจะเกิดจากการตะกียะฮ์หรือเกิดจากสถานการณ์ล่อแหลมในยุคที่การจับดาบขึ้นสู้มิได้มีผลดีใดๆอนึ่งยังมีฮะดีษหลายบทที่อิมามให้การสนับสนุนการต่อสู้บางกรณีสอง: ฮะดีษที่คุณยกมานั้นกล่าวถึงกรณีการปฏิวัติโค่นอำนาจด้วยการนองเลือดแต่ไม่ได้ห้ามมิให้เคลื่อนไหวปรับปรุงสังคมเพราะหากศึกษาประวัติศาสตร์ก็จะพบว่าบรรดาอิมามเองก็ปฏิบัติตามแนววิธีดังกล่าวเช่นกันหากพิจารณาถึงแนววิธีในการปฏิวัติอิสลามในอิหร่านกอปรกับแนวคิดของผู้นำการปฏิวัติก็จะทราบทันทีว่าการปฏิวัติดังกล่าวมิไช่การปฏิวัติด้วยการนองเลือดและผู้นำปฏิวัติก็ไม่สนับสนุนแนวคิดดังกล่าว สรุปได้ว่าการปฏิวัติอิสลามมิได้ขัดต่อเนื้อหาของฮะดีษประเภทดังกล่าวแต่อย่างใด ...
  • จริงหรือไม่ที่บางคนเชื่อว่าพระเจ้าเป็นเพียงแค่พลังงานเท่านั้น?
    6724 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/08/23
    อัลลอฮ์ทรงดำรงอยู่โดยไม่พึ่งพาสิ่งใดทรงปรีชาญาณทรงมีเจตน์จำนงและปราศจากข้อจำกัดและความบกพร่องทุกประการแต่พลังงานยังมีข้อบกพร่องและข้อจำกัดมากมายอีกทั้งยังปราศจากความรู้และการตัดสินใจเมื่อเทียบคุณสมบัติของพลังงานกับคุณลักษณะของพระเจ้าก็จะทราบว่าพระเจ้ามิไช่พลังงานอย่างแน่นอนเนื่องจาก: พลังงานคือสิ่งที่ขับเคลื่อนให้เกิดกริยาและปฏิกริยาต่างๆโดยพลังงานมีลักษณะที่หลากหลายไม่ตายตัวและสามารถผันแปรได้หลายรูปแบบพลังงานมีคุณสมบัติเด่นดังนี้1. พลังงานมีสถานะตามวัตถุที่บรรจุ2. พลังงานมีแหล่งกำเนิด3. พลังงานมีข้อจำกัดบางประการ4. พลังงานเปลี่ยนรูปได้แต่อัลลอฮ์มิได้ถูกกำกับไว้โดยวัตถุใดๆ
  • มะลาอิกะฮ์และญินรุดมาช่วยอิมามฮุเซน(อ.)จริงหรือไม่ และเหตุใดท่านจึงปฏิเสธ?
    8498 تاريخ بزرگان 2554/12/03
    คำถามนี้ไม่มีคำตอบแบบสั้น ปรดเลือกปุ่มคำตอบที่สมบูรณ์ ...
  • อนุญาตให้แขวนภาพเขียนมนุษย์และสัตว์ภายในมัสญิดหรือไม่?
    7927 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/03
    ก่อนที่จะตอบ เราขอเกริ่นนำเบื้องต้นดังนี้1. บรรดาอุละมาอ์ให้ทัศนะไว้ว่า สถานที่แห่งหนึ่งที่ถือเป็นมักรู้ฮ์(ไม่บังควร)สำหรับนมาซก็คือ สถานที่ๆมีรูปภาพหรือรูปปั้นสิ่งที่มีชีวิต เว้นแต่จะขึงผ้าปิดรูปเสียก่อน ฉะนั้น การนมาซในสถานที่ๆมีรูปภาพคนหรือสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นมัสญิดหรือสถานที่อื่น ไม่ว่ารูปภาพจะแขวนอยู่ต่อหน้าผู้นมาซหรือไม่ก็ตาม[1] ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60389 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57946 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42483 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39769 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39139 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34246 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28287 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28216 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28155 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26094 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...