การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
7197
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/09/25
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1078 รหัสสำเนา 16990
คำถามอย่างย่อ
เพราะเหตุใดจึงวาญิบต้องตักลีดกับมัรญิอฺ ?
คำถาม
จะพิสูจน์ได้อย่างไรว่า เพราะเหตุใดวาญิบต้องตักลีดกับมัรญิอฺ?
คำตอบโดยสังเขป

จุดประสงค์ของการตักลีดคือการย้อนไปสู่ภารกิจที่ตนไม่มีความเชี่ยวชาญ ในคำสั่งอันเฉพาะซึ่งต้องอาศัยความความเชี่ยวชาญพิเศษ ซึ่งเหตุผลที่สำคัญที่สุดสำหรับเรื่องการตักลีดเกี่ยวกับปัญหาศาสนาคือ เหตุผลทางสติปัญญา ที่ว่าผู้ไม่มีความรู้และไม่มีความเชี่ยวชาญปัญหา ต้องปฏิบัติตามผู้มีความรู้และเชี่ยวชาญในปัญหานั้น แน่นอนทั้งอัลกุรอาน และรายงานจำนวนมากมายได้เน้นย้ำถึงเรื่องการตักลีดเอาไว้ โดยเฉพาะอัลกุรอานโองการที่กล่าวว่า :

"فاسئلوا أهل الذکر إن کنتم لا تعلمون"

ดังนั้น จงถามผู้รู้ถ้าหากสูเจ้าไม่รู้

สิ่งที่ต้องพิจารณาก็คือเหตุผลทั้งหมดทางคำพูดเกี่ยวกับการตักลีด ก็คือสิ่งอันเป็นที่ยอมรับของบรรดานักปราชญ์ทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ มัรญิอฺตักลีดคือ ผู้มีความเชี่ยวชาญพิเศษด้านฟิกฮฺ มีความสามารถในการพิสูจน์บทบัญญัติของพระเจ้าจากแหล่งที่มาของบทบัญญัติ ฉะนั้น จำเป็นสำหรับบุคคลอื่นเกี่ยวกับปัญหาศาสนาต้องปฏิบัติตามพวกเขา

คำตอบเชิงรายละเอียด

ศาสนาอิสลามได้วางกฎเกณฑ์เอาไว้แก่มนุษย์ เพื่อสนองตอบต่อความต้องการของพวกเขาทั้งในแง่ของวัตถุ ศีลธรรมจรรยา เรื่องส่วนตัว สังคมส่วนรวม ตลดจนการเมืองการปกครอง และเศรษฐศาสตร์ อิสลามได้วางกฎเกณฑ์เหล่านั้นไว้ในรูปแบบของบทบัญญัติทางฟิกฮฺที่แตกต่างกัน มีการแต่งและประพันธ์เอาไว้อันก่อให้เกิดวิชาการด้านฟิกฮฺ ซึ่งความรู้ด้านฟิกฮฺตามความเป็นจริงแล้วก็คือ แบบอย่างหลักในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ วิธีการอันถูกต้องของความเป็นมนุษย์ ความสัมพันธ์ทางสังคม และเป็นระบบอันสูงส่งสำหรับชีวิต เนื่องจากได้ครอบคลุมทุกแง่มุมในชีวิตมนุษย์ ดังคำกล่าวของอิมามโคมัยนีที่ว่า ฟิกฮฺ คือทฤษฎีที่แท้จริง มีความสมบูรณ์เพื่อควบคลุมวิถึชีวิตมุสลิม และสังคมนับตั้งแต่เปลจนถึงหลุมฝังศพ[1]

เนื่องจากการให้ความสำคัญเป็นพิเศษด้านฟิกฮฺและบทบัญญัติทางศาสนา หมู่มวลมิตรแห่งอัลลอฮฺได้เชิญชวนเหล่าผู้ปฏิบัติตามตนไปสู่การเชื่อฟังปฏิบัติตาม และจงอย่าเพิกเฉยหรือไม่ใส่ใจต่อการเรียนรู้หลักบัญญัติของอิสลาม เพราะจะเป็นสาเหตุนำไปสู่การลงโทษ

อิมามบากิร (.) กล่าวว่าถ้าหากมีชายหนุ่มจากชีอะฮฺมาหาฉัน แต่ไม่ใคร่ครวญเรื่องฟิกฮฺ ฉันจะลงโทษเขา[2]

บทบัญญัติของอิสลามนั้นมีทั้งสิ่งที่เป็นข้อบังคับ และสิ่งต้องห้ามเนื่องจากอัลลอฮ่ทรงวางกำหนดสิ่งเหล่านี้เอาไว้ เพื่อความจำเริญผาสุกของประชาชนทั้งโลกนี้และโลกหน้า ถ้าหากมนุษย์ไม่เชื่อฟังปฏิบัติตาม เขาจะไม่ไปถึงยังความผาสุกอันเป็นเป้าหมาย และจะไม่รอดพ้นการลงโทษของอัลลอฮฺ สำหรับการรู้จักบทบัญญัติอิสลามจำเป็นต้องรอบรู้สิ่งต่างๆมากมาย เช่น ความเข้าใจเกี่ยวกับโองการอัลกุรอาน รายงาน การรู้จักฮะดีซเชื่อถือได้ และเชื่อถือไม่ได้ วิธีการรวมฮะดีซหรือโองการเข้าด้วยกัน หรือการแยกแยะฮะดีซฮะดีซเหล่านั้น และหลีกหลายปัญหาที่จำเป็น ซึ่งการเรียนรู้จกปัญหาเหล่านั้น ต้องใช้เวลาร่ำเรียนและความพยายามอย่างสูงหลายปีด้วยกัน

ดังนั้น บนปัญหาดังกล่าวนี้ผู้ปฏิบัติตามจึงมีหน้าที่ 3 ประการด้วยกัน

ประการแรก เข้าสู่แนวทางศึกษาหาความรู้จนถึงระดับการอิจญฺติฮาด

ประการที่สอง ศึกษาค้นคว้าทัศนะต่างๆ ที่มีอยู่แล้ว และถือปฏิบัติในลักษณะที่ว่าตรงหรือไม่ขัดแย้งกับคำฟัตวาเหล่านั้น ถือว่าการปฏิบัติของเขาถูกต้อง (อิฮฺติยาฏ)

ประการที่สาม ทัศนะของบุคคลที่ได้ศึกษาค้นคว้าวิชาการด้านนี้โดยสมบูรณ์ เป็นผู้เชี่ยวชาญบทบัญญัติ สามารถออกทัศนะได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ถ้าเขาอยู่ในวิถีทางที่หนึ่งเขาต้องไปถึงระดับของการวินิจฉัยแน่นอน เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านบทบัญญัติ ดังนั้น สองทางที่เหลื่อไม่จำเป็นสำหรับเขาอีกต่อไป แต่จนกว่าจะไปถึงระดับดังกล่าว เขาจำเป็นต้องท่องไปตามวิถีทางทั้งสองด้วย

แนวทางที่สองต้องอาศัยข้อมูลที่เพียงพอต่อการศึกษาทัศนะต่างๆ ในทุกปัญหาโดยต้องยึดแนวทางอิฮฺติยาฏเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของตน ซึ่งการอิฮฺติยาฏนั้นจะทำให้การดำเนินชีวิตของเขาล่าช้า ดังนั้น การเลือกแนวทางตักลีดเป็นวิธีการที่ง่ายดายที่สุด สะดวกสบายต่อการปฏิบัติอันเป็นหน้าที่ของประชาชนโดยทั่วไปที่จะต้องกระทำเช่นนั้น และนี่คือแนวทางทั้งสามแต่มิได้เป็นแนวทางอันจำกัดในการปฏิบัติตัวตามบทบัญญัติ เนื่องจากทุกสาขานั้นย่อมต้องการผู้เชี่ยวชาญพิเศษประจำสาขานั้น เช่น วิศวกรคนหนึ่งเขามีความชำนาญด้านหนึ่งแต่เมื่อเขาป่วยไม่สบาย เขาจึงมีทางเลือกอยู่สองทางคือ ศึกษาค้นคว้าหาอาการใข้ด้วยตัวเอง โดยนำเอาทัศนะแพทย์ที่มีอยู่อยู่แล้วมาศึกษาวิจัยต่อ แล้วปฏิบัติตัวด้วยความระมัดระวัง เพื่อว่าภายหลังจะได้ไม่ต้องเสียใจ หรือไปพบแพทย์ด้วยตัวเองเพื่อการเยี่ยวยารักษา.

แน่นอน วิธีการแรกนั้นผู้ป่วยไม่อาจเยี่ยวยารักษาให้หายตามปกติได้โดยด่วน ส่วนแนวทางที่สองก็ยากลำบากกับตัวเองเป็นอย่างยิ่งมิหนำซ้ำยังทำให้เขาต้องออกหลุดพ้นความเชี่ยวชาญของตน ดังนั้น วิธีการที่ง่ายที่สุดคือการไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและปฏิบัติไปตามสั่งของแพทย์

การปฏิบัติไปตามทัศนะของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญนั้น นอกจากจะไม่ทำให้เขาต้องเสียใจ และไม่เสียเวลาแล้วยังทำให้เขารอดปลอดภัยและพบกับความสุขในชีวิตอีกต่างหาก บรรดาผู้มีหน้าที่ปฏิบัติตามทัศนะของมุจญฺตะฮิดผู้มีความเชี่ยวชาญพิเศษ นอกจากจะทำให้ท่านไม่ต้องเสียใจกับการถูกลงโทษในโลกหน้าแล้ว ท่านยังได้ปฏิบัติศาสนบัญญัติได้อย่างถูกต้องอีกต่างหาก[3]

จุดประสงค์ของการตักลีดคือการย้อนไปสู่ภารกิจที่ตนไม่มีความเชี่ยวชาญ ในคำสั่งอันเฉพาะซึ่งต้องอาศัยความความเชี่ยวชาญพิเศษ ซึ่งเหตุผลที่สำคัญที่สุดสำหรับเรื่องการตักลีดเกี่ยวกับปัญหาศาสนาคือ เหตุผลทางสติปัญญา ที่ว่าผู้ไม่มีความรู้และไม่มีความเชี่ยวชาญปัญหา ต้องปฏิบัติตามผู้มีความรู้และเชี่ยวชาญในปัญหานั้น แน่นอนทั้งอัลกุรอาน และรายงานจำนวนมากมายได้เน้นย้ำถึงเรื่องการตักลีดเอาไว้ โดยเฉพาะอัลกุรอานโองการที่กล่าวว่า :

"فاسئلوا أهل الذکر إن کنتم لا تعلمون"

ดังนั้น จงถามผู้รู้ถ้าหากสูเจ้าไม่รู้[4]

หรือรายงานกล่าวว่าสำหรับสิ่งใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นเจ้าจงย้อนไปหานักรายงานฮะดีซของเรา เพราะพวกเขาคือข้อพิสูจน์ของเราสำหรับพวกท่าน ส่วนพวกเราคือข้อพิสูจน์ของอัลลอฮฺ[5]

ท่านมุฮักกิก กะรักกียฺ กล่าวว่าบรรดาชีอะฮฺทั้งหลายต่างมีความเห็นพร้องต้องกันว่า ฟะกะฮฺที่ยุติธรรม อะมีน มีเงื่อนไขสมบูรณ์ในการออกคำวินิจฉัย ซึ่งตามหลักศาสนบัญญัติเรียกเขาว่า มุจญฺตะฮิด ซึ่งในยุคของการเร้นกายของท่านอิมามมะฮฺดียฺ ถือว่าพวกเขาคือตัวแทนของท่านอิมาม

สิ่งที่ต้องพิจารณาก็คือเหตุผลทั้งหมดทางคำพูดเกี่ยวกับการตักลีด ก็คือสิ่งอันเป็นที่ยอมรับของบรรดานักปราชญ์ทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ มัรญิอฺตักลีดคือ ผู้มีความเชี่ยวชาญพิเศษด้านฟิกฮฺ มีความสามารถในการพิสูจน์บทบัญญัติของพระเจ้าจากแหล่งที่มาของบทบัญญัติ ฉะนั้น จำเป็นสำหรับบุคคลอื่นเกี่ยวกับปัญหาศาสนาต้องปฏิบัติตามพวกเขา

ศึกษาเพิ่มเติมได้จากหัวข้อต่อไปนี้

1) มัรญิอ์ และตักลีด, คำถามที่ 276

2) วิลายะตุลฟะกีฮฺ และมัรญิอฺ, คำถามที่ 272

3) อะดิลละฮฺ วิลายะตุลฟะกีฮฺ, คำถามที่ 235



[1] เซาะฮีฟะฮฺนูร เล่ม 21 หน้า 98

[2] บิฮารุลอันวาร, เล่ม 1 หน้า 241

[3] ริซาละฮฺ ดดนิชญู พิมพ์ครั้งที่ 5 ซัยยิดมุจญฺตะบา หน้า 45-46

[4] อัลกุรอาน บทอันนะฮฺลุ 43

[5] วะซาอิลุชชีอะฮฺ เล่ม 27 หน้า 140

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • มีข้อแนะนำใดบ้างที่คุณพ่อและคุณแม่ควรปฏิบัติก่อนคลอดบุตร?
    12462 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/21
    มีข้อแนะนำบางอย่างที่คุณพ่อและคุณแม่ควรปฏิบัติก่อนจะมีบุตรอาทิเช่นปฏิบัติศาสนกิจอย่างครบถ้วนปฏิบัติตามคำแนะนำเกี่ยวกับการร่วมหลับนอนบริโภคอาหารที่ฮะลาลและสะอาดโดยเฉพาะผลไม้นานาชนิดเข้ารับการตรวจโรคทางพันธุกรรมงดความเครียด  มองทิวทัศน์ที่สวยงามรักษาสุขอนามัยออกกำลังกายฯลฯหากปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้ได้ครบถ้วนก็จะทำให้มีสมาชิกครอบครัวที่มีสุขภาพดีและประสบความสำเร็จในชีวิตส่งผลให้สังคมก้าวสู่ความผาสุกในอุดมคติ ...
  • จุดประสงค์ของการสร้างคืออะไร จงอธิบายเหตุผลในเชิงเหตุผลนิยม ถ้าเป้าหมายคือความสมบูรณ์แล้วทำไมพระเจ้าไม่ทรงสร้างมนุษย์ให้สมบูรณ์แบบ
    12826 เทววิทยาดั้งเดิม 2553/10/21
    พระเจ้าคือผู้ดำรงอยู่ที่ไม่มีความจำกัด พระองค์ทรงมีความสมบูรณ์แบบทุกประการ การสร้าง (บังเกิด) เป็นความงดงาม และพระองค์คือผู้มีความงดงามความงดงามอันสมบูรณ์แบบของพระองค์ เป็นตัวกำหนดว่าพระองค์ทรงสร้างทุกอย่างขึ้นตามคุณค่าของมัน ดังนั้น พระเจ้าทรงสร้างเป็นเพราะพระองค์คือผู้งดงาม หมายถึงจุดประสงค์และเป้าหมายในการสร้างของพระองค์นั้นงดงาม อีกด้านหนึ่งคุณลักษณะอาตมันของพระเจ้าไม่ได้แยกออกจากอาตมันของพระองค์ จึงสามารถกล่าวได้ว่าจุดประสงค์ของการสร้างคือ อาตมันของพระเพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์มาโดยให้มีแนวโน้มที่ดีและความชั่วร้ายภายใน และทรงประทานผู้เชิญชวนภายนอก 2 ท่าน ที่ดีได้แก่ศาสดา (นบี) และความชั่วร้ายได้แก่ชัยฎอน (ปีศาจ), ทั้งนี้มนุษย์สามารถบรรลุความสมบูรณ์สูงสุดของสรรพสิ่งที่อยู่หรือก้าวไปสู่ความชั่วช้าที่ต่ำทรามที่สุดก็เป็นได้ ทั้งที่มนุษย์นั้นมีพลังของเดรัจฉานและการลวงล่อของซาตานที่ล่อลวงอยู่ตลอดเวลา ...
  • ในทัศนะอิสลามอนุญาตให้ซัจญฺดะฮฺและแสดงการตะอฺซีมหรือไม่ ?
    6596 การตีความ (ตัฟซีร) 2554/09/25
    ในทัศนะอิสลามบนพื้นฐานคำสอนของแนวทางอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) ถือว่าการซัจญฺดะฮฺคือรูปแบบของการอิบาดะฮฺที่สวยงามและสมบูรณ์ที่สุดสำหรับพระผู้อภิบาลเท่านั้นและไม่อนุญาตกระทำกับบุคคลอื่นส่วนการซัจญฺดะฮฺที่มีต่อศาสดายูซุฟ (อ.), มิได้ถือว่าเป็นการซัจญฺดะฮฺอิบาดี, ทว่าในความเป็นจริงก็คือว่าเป็นการอิบาดะฮฺต่อพระเจ้าด้วยเช่นกันดังที่เราได้หันหน้าไปทางกะอฺบะฮฺเพื่อนมาซและได้ซัจญฺดะฮฺ, ทั้งที่การนมาซและการซัจญฺดะฮฺของเรามิได้กระทำเพื่อวิหารกะอฺบะฮฺแต่อย่างใดทว่าวิหารกะอฺบะฮฺคือสิ่งเดียวอันถือว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งการรำลึกถึงอัลลอฮฺเราจึงอิบาดะฮฺ ...
  • สามารถกุรบานสัตว์ (เชือดพลี) ในพิธีฮัจญฺ นอกเขตมุนาได้หรือไม่?
    5048 สิทธิและกฎหมาย 2554/06/22
    ท่านอายะตุลลอฮฺอัลอุซมาฟาฎิลลันกะรอนียฺ :ตอบว่า, ไม่อนุญาตเนื่องจากการเชือดพลีแกะเป็นวาญิบประการหนึ่งของพิธีฮัจญฺซึ่งต้องทำให้มุนาหรือสถานที่ปัจจุบันได้กระทำกันอยู่และต้องเชือดพลีในช่วงเทศกาลฮัจญฺเท่านั้นท่านอายะตุลลอฮฺอัลอุซมามะการิมชีรอซียฺ :ตอบว่า, ก่อนหน้านี้ได้ออกคำวินิจฉัยประเด็นนี้ไปแล้วว่าฮุจญาตสามาถเลือกได้ว่าจะเชือดพลีในมักกะฮฺหรือที่เมืองของตนแต่ต้องพิจารณาและเอาใจใส่เงื่อนไขต่างๆของการกุรบานอย่างสมบูรณ์ ...
  • มีความแตกต่างกันบ้างไหมระหว่างทัศนะของชีอะฮฺ กับทัศนะของซุนนียฺในปัญหาเกี่ยวกับท่านอิมามมะฮฺดียฺ (อ.)
    9044 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/21
    แน่นอนความเชื่อเรื่องอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) เป็นส่วนสำคัญของหลักศรัทธาอิสลามบนพื้นฐานคำบอกกล่าวของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ
  • มนุษย์สามารถเข้าถึงเรื่องจิตวิญญาณโดยปราศจากศาสนาได้หรือไม่?
    10193 معیار شناسی (دین و اخلاق) 2555/09/08
    รูปภาพของจิตวิญญาณสมัยที่โจทย์ขานกันอยู่ในปัจจุบัน มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับภาพทางจิตวิญญาณ ในความคิดของเราในฐานะมุสลิมหนึ่ง เนื่องจากความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณของมุสลิมนั้น มีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับคำสอนศาสนา จิตวิญญาณทางศาสนา, วางอยู่บนพื้นฐานของการปฏิบัติตามตำแนะนำสั่งสอนของศาสนา จึงจะก่อให้เกิดสถานดังกล่าว คำแนะนำและความรู้เกี่ยวกับความจริงที่พ้นญาณวิสัย เหนือโลกวัตถุและความจริงที่วางอยู่บนพื้นฐานดังกล่าว จะพบว่ามนุษย์ในระบบของการสร้างสรรค์ มีสถานภาพพิเศษ กำลังดำเนินชีวิตไปในหนทางพิเศษ อันเป็นหนทางที่ต้องอาศัยพฤติกรรมอันเฉพาะบางอย่าง อีกนัยหนึ่ง จิตวิญญาณทางศาสนา เป็นความรู้สึกหนึ่งที่มนุษย์มีต่อข้อเท็จจริง ซึ่งจะพบว่าความรู้สึกนั้นตั้งอยู่เหนือโลกของวัตถุ ขณะเดียวกันก็วางอยู่บนข้อตกลงและเงื่อนไขอันเฉพาะ ถ้าหากพิจารณาสติปัญญาที่มีขอบเขตของจำกัด ในการรู้จักมิติต่างๆ ของการมีอยู่ของมนุษย์ การรับรู้ถึงความต้องการที่แท้จริงของเขา และในที่สุดการเลือกวิธีการต่างๆ ว่าจะดำเนินไปอย่างไร เพื่อไปให้ถึงสิ่งที่ธรรมชาติของมนุษย์ถวิลหา ดังนั้น ตรงนี้จึงไม่อาจพึงความรู้ในเชิงของเหตุผล หรือสติปัญญาได้เพียงอย่างเดียว ทว่าต้องพึ่งคำแนะนำและผู้ชี้นำทาง ซึ่งการทำความเข้าใจ และการครอบคลุมของสิ่งนั้นต้องเหนือกว่า สติปัญญา และสิ่งนั้นก็คือ วะฮฺยู ของพระเจ้า ซึ่งได้มาถึงสังคมมนุษย์โดยผ่านขบวนการของบรรดาเราะซูล ซึ่งได้แนะนำมนุษย์ให้เดินไปสู่สัจธรรมความจริงสูงสุด อัลลอฮฺ (ซบ.) ได้ประทานเราะซูลลงมาคนแล้วคนเล่า ทรงทำให้ศาสนาของพระองค์สมบูรณ์ มนุษย์มีหน้าที่ตรวจสอบโดยละเอียด ...
  • ฮุกุมของการขับร้องเพลงวันประสูติพร้อมกับการบรรเลง (ในงานเฉพาะสตรี)เป็นอย่างไร?
    5341 สิทธิและกฎหมาย 2554/09/11
    ในทัศนะของอิสลามเพลงบรรเลง[1]หรือการขับร้องที่มีลักษณะ“ฆินาอ์”ถือเป็นฮะรอมกล่าวคือไม่ว่าจะเป็นการร้อง, การแสดง, การฟังและการรับค่า
  • ถ้าหากไม่ทราบว่าและได้รับประทานเนื้อฮะรอมไป จะมีความผิดอันใดบ้าง?
    5249 สิทธิและกฎหมาย 2554/11/21
    บุคคลใดหลังจากรับประทานอาหารแล้ว, เพิ่งจะรู้ว่านั่นเป็นอาหารฮะรอม, ถ้าหากไม่คิดว่าสิ่งนั้นจะฮะรอมประกอบกับมีสัญลักษณ์ของฮะลาลด้วยเช่นมาจากร้านของมุสลิม, มิได้กระทำบาปอันใด
  • ท่านอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) จะนำศาสนาใหม่และคัมภีร์ที่นอกเหนือจากอัลกุรอานลงมาหรือไม่?
    5606 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/21
    คำถามนี้ไม่มีคำตอบแบบสั้น ปรดเลือกปุ่มคำตอบที่สมบูรณ์ ...
  • กฏเกณฑ์และเงื่อนไขในการสมรสกับชาวคริสเตียนเป็นอย่างไร?
    6077 สิทธิและกฎหมาย 2554/06/21
    อิสลามถือว่าชาวคริสเตียนเป็นหนึ่งใน“อะฮ์ลุ้ลกิตาบ”(กลุ่มผู้รับมอบคัมภีร์จากพระองค์) ซึ่งโดยทัศนะของมัรญะอ์ตักลี้ดของฝ่ายชีอะฮ์แล้วไม่อนุมัติให้สตรีมุสลิมสมรสกับพวกเขาไม่ว่าจะเป็นการสมรสถาวรหรือชั่วคราวก็ตามส่วนชายมุสลิมก็ไม่สามารถจะสมรสกับหญิงกาฟิรที่ไม่ไช่อะฮ์ลุ้ลกิตาบได้ไม่ว่าจะถาวรหรือชั่วคราวอย่างไรก็ดีทัศนะที่ว่าชายมุสลิมสามารถสมรสชั่วคราวกับหญิงอะฮ์ลุ้ลกิตาบได้นั้นค่อนข้างจะน่าเชื่อถือแต่ในส่วนการสมรสถาวรกับพวกนางนั้นสมควรงดเว้น.ท่านอิมามโคมัยนีแสดงทัศนะไว้ว่า: ไม่อนุญาตให้สตรีมุสลิมสมรสกับชายต่างศาสนิก

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    59021 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    56439 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    41342 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38126 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    37874 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    33197 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    27301 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    26917 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    26792 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    24875 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...