การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
10214
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/12/21
 
รหัสในเว็บไซต์ fa11969 รหัสสำเนา 19930
หมวดหมู่ تاريخ کلام
คำถามอย่างย่อ
เมื่อยะซีดได้สั่งให้ทหารจุดไฟเผากะอฺบะ ถ้าได้กระทำแล้ว และเป็นเพราะเหตุใดจึงไม่ถูกลงโทษ?
คำถาม
เมื่อยะซีดได้สั่งให้ทหารจุดไฟเผากะอฺบะฮฺ ถ้าได้กระทำแล้ว และเป็นเพราะเหตุใดจึงไม่ถูกลงโทษ?
คำตอบโดยสังเขป

ในช่วงระยะเวลาการปกครองอันสั้นของยะซีด เขาได้ก่ออาชญากรรมอันเลวร้ายยิ่ง 3 ประการ กล่าวคือประการแรก เขาได้สังหารท่านอิมามฮุซัยนฺ (.), สอง เขาได้ก่อกรรมชั่วอิสระ, และสามเขาได้เผ่าวิหารกะอฺบะฮฺ เมื่อเราพิจารณาการอธรรมฉ้อฉลอันเลวร้ายยิ่ง 3 ประการนี้ เราจะพบว่าบนโลกนี้ อัลลอฮฺทรงลงโทษพวกเขาเช่นกัน, แต่มิได้ลงโทษเป็นกลุ่มหรือรวมกันเป็นหมู่คณะ ซึ่งจะกล่าวอธิบายในช่วงตอบคำถามโดยละเอียด บางทีวิทยปัญญของสิ่งนั้นอาจมีอยู่ใน 2 สิ่งต่อไปนี้

หนึ่ง : ปัญหาเรื่องการลงโทษและชนิดของโทษทัณฑ์ ขึ้นอยู่กับความประสงค์และอำนาจของอัลลอฮฺ, บางครั้งอัลลอฮฺ ทรงลงโทษโดยตรง หรือทรงลงโทษผ่านกองทัพลึกลับ เช่น การลงโทษที่มีต่อกองกำลังของ อัลเราะฮะฮฺ ฮะบะชียฺ ซึ่งบุคคลใดได้ศึกษาประวัติศาสตร์ส่วนนี้ เขาจะพบได้อย่างชัดเจนว่าตัวของวิหารกะอฺบะฮฺ ได้ถูกโจมตีและตกอยู่ในอันตรายจริง นอกจากนั้นยังไม่มีบุคคลใด สามารถยืนหยัดต่อต้านกองกำลังที่เรืองอำนาจของ อับเราะฮะฮฺ ในสมัยนั้นได้ ด้วยเหตุนี้เอง เราจะพบว่าเรื่องนี้ อัลลอฮฺ ทรงปกป้องรักษาบ้านของพระองค์ด้วยพระองค์เอง และสุดท้ายทรงประทานการลงโทษลงมายังหมู่ชนที่เป็นศัตรูจนพินาศย่อยยับไป, แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยของยะซีดไม่ว่าเหล่าทหารของเขาจะจุดไฟเผากะอฺบะฮฺ ซึ่งสร้างความอัปยศให้เกิดขึ้นไม่น้อย อีกทั้งยังเป็นการลบลู่สถานที่ศักดิ์สิทธ์ของอิสลามและชาวมุสลิมทั้งหมด บรรดาพวกอธรรมได้ยึดครองมักกะฮฺ และสร้างกะอฺบะฮฺขึ้นใหม่อีก

สอง : ทุกเรื่องราวที่บ่งบอกถึงการช่วยเหลืออำนาจเร้นลับ ซึ่งเจ้าของการเคลื่อนไหวได้กระทำด้วย กะรอมัตของเขาวางอยู่บนความถูกต้อง และเมื่อพิจารณาว่าผู้บัญชากองกำลังปฏิวัติมักกะฮฺ ได้ลุกขึ้นต่อต้านยะซีด, ก็คืออับดุลลอฮฺ บุตรของซุเบร ซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายว่า เขาได้พยายามทำทุกสิ่งเพื่อประโยชน์และความหวังของตัวเอง การสงครามและการสู้รบที่เขาทำนั้นไม่เกี่ยวข้องกับสัจธรรมความจริง หรือศาสนาแต่อย่างใดทั้งสิ้น นอกจากนั้นแล้วเขายังประกาศตัวเองว่า เขาคือศัตรูตัวฉกาจของท่านอิมามอะลี (.) จนถึงขั้นที่ว่าท่านอิมามอะลี (.) ได้กล่าวถึงเขาว่าซุเบรมาจากเราจนกระทั่งว่าบุตรชายเลวของเขา (อับดุลลอฮฺ) ได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ การงานที่ผ่านมือบุตรของซุเบร ตามความเป็นจริงแล้วเท่ากับให้โอกาสเขา ด้วยเหตุนี้อัลลอฮฺ ไม่ประสงค์จะลงโทษ จนกระทั่งการงานได้เป็นประโยชน์กับบุตรของซุเบร

คำตอบเชิงรายละเอียด

จากคำถามที่ได้ถามมานั้น เข้าใจได้ว่าการเผาวิหารกะอฺบะฮฺ ถูกกระทำโดยตำสั่งของ ยะซีดนั้นยังมีข้อคลางแคลงใจอยู่ ด้วยเหตุนี้เอง อันดับแรกต้องพิจารณาสองสามประเด็นดังต่อไปนี้

1.การรู้จักยะซีดและความห่างไกลของเขาอย่างมากจากการอบรมสั่งสอนคุณค่าของอิสลาม

2.เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในยุคการปกครองของท่าน

3.คำพูดของนักปราชญ์เกี่ยวกับยะซีด และเป็นไปได้อย่างไรที่อัลลอฮฺ ทรงให้หมู่ชนที่เรียกร้องการทวงหนี้เลือดให้ท่านอิมามฮุซัยน (.) และหมู่สหาย ลุกขึ้นยืนหยัดต่อต้านเขาและกองทัพ

ส่วนประเด็นเกี่ยวกับ ยะซีด บุตร ของมุอาวิยะฮฺ (ขออัลลอฮฺ ทรงสาปแช่งเขาและครอบครัว) นักประวัติศาสตร์รวมทั้งบุคคลที่ศึกษาประวัติของเขา ต่างกล่าวเหมือนกันซึ่งแสดงให้เห็นว่า ยะซีด ตามความเป็นจริงแล้วคือ คนเลวและชั่วร้ายยิ่ง เป็นผู้ดื่มสุรา สร้างความอัปยศอดสู เล่นการพนัน ทำซินา และเขาจะเป็นผู้มีบุคลิกภาพของศาสนาได้อย่างไร

คำพูดที่ 1: เกี่ยวกับยะซีดซึ่งมัสอูดดี ได้กล่าวไว้ในหนังสือ มุรูญุลซะฮับ ว่า : ยะซีดคือผู้ชอบการละเล่นไร้สาระ, ชอบเล่นกับสุนัข, ลิง, เสือชีต้า, ขณะเดียวกันก็ดื่มสุรา เล่นการพนัน และ ...ในสมัยการปกครองของเขานั่นเองที่ ดนตรี ได้ถูกบรรเลงอย่างเปิดเผยทั้งในมักกะฮฺ และมะดีนะฮฺ การพนันได้ถูกฟื้นฟูอีกครั้ง และประชาชนได้ดื่มสุราอย่างเปิดเผย...[1]

คำพูดที่ 2 :  ฏ็อบรียฺ และนักประวัติศาสตร์ท่านอื่น กล่าวว่า : มีประชาชนชาวมะดีนะฮฺกลุ่มหนึ่ง ซึ่งในหมู่พวกเขามี อับดุลลอฮฺ บุตรของฮันเซาะละฮฺ อันซอรียฺ อยู่ด้วย พวกเขาได้ไปหายะซีดและเวลาต่อมาพวกเขาทั้งหมดได้กลับมายังมะดีนะฮฺอีกครั้งหนึ่ง พวกเขาได้ปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชน และแจ้งถึงความเลวร้ายและความชั่วของยะซีดให้ประชาชนฟัง[2] สิ่งที่พวกเขาพูด เช่น : เราได้มาจากบุคคลผู้ซึ่งไร้ศาสนา ดื่มสุรา ขับร้องเพลง, พวกเราได้ถอนสัตยาบันจากเขาแล้ว, และประชาชนก็ได้ทำตามพวกเขา

คำพูดที่ 3: คำพูดของฏ็อบรียฺ และอิบุอะษีร ซึ่งกล่าวไว้ในหนังสือ กามิล โดยกล่าวว่า : เมื่อมุอาวะยะฮฺต้องการเอาสัตยาให้ยะซีด เขาได้เขียนจดหมายถึง ซิยาด บุตรของอุบัยฮฺ เพื่อขอคำปรึกษาจากเขา และซิยาดก็ได้ส่งสาส์นไปหา อุบัยดิลลาฮฺ บุตรของ อะอับ โดยกล่าวว่า : อมีรุลมุอฺมินีน (มุอาวิยะฮฺ) ได้ส่งจดหมายมาหาฉัน ฉันคิดว่าเขาต้องตัดสินใจอะไรบางอย่างเกี่ยวกับการขอสัตยาบันให้ยะซด, แต่สิ่งที่ฉันกลัวคือ ประชาชนเกลียดเขามาก, ขณะที่ยะซีดเป็นคนที่ขี้เกลียดและไร้ความรู้สึก[3]

คำพูดที่ 4: คำพูดจจากอิบนุ กุตัยบะฮฺ ในหนึ่งสือ อิมามัตวะซิยาซัต เล่าจากท่านอิมามฮุซัยนฺ (.) ว่า ช่วงเวลาที่มุอาวิยะฮฺต้องการขอให้ท่านให้สัตยาบันกับยะซีด ฉันได้กล่าวกับเขาว่า : ไม่มีทาง ไม่มีทาง โอ้ มุอาวิยะฮฺเอ๋ย ... ประหนึ่งเขาได้พูดจากหลังม่าน หรือแอบพูด หรือพูดแทนบุคคลซึ่งเหมือนกับว่าเพิ่งจะรู้จักเขา การกระทำของยะซีดย่อมบ่งบอกถึงบุคลิกภาพและความเหมาะสมของเขาอยู่แล้ว, เกี่ยวกับยะซีดเพียงแค่พูดว่า, เขาเล่นอยู่กับสุนัข, หมกมุ่นอยู่กับนกพิราบ ตีกลองร้องเพลง และชอบเล่นไร้สาระตลอดเวลา ซึ่งพวกท่านทั้งหลายก็เห็นอยู่แล้วว่าเขาเป็นคนมีอุปนิสัยอย่างไร ดังนั้น จงหลีกเลี่ยงคำพูดเหล่านี้[4] 

คำพูดที่ 5 : คำพูดจากซุยูฏียฺ ในหนังสือตารีคคุละฟาอฺเขาได้อธิบายว่า, เขากล่าวว่า : การที่ชาวมะดีนะฮฺ ได้ปลดยะซีดก็เนื่องจากว่า เขาก่ออาชญากรรมและประพฤติชั่ว

สิ่งที่กล่าวมาเป็นคำพูดเกี่ยวกับบุคลิกภาพของคนๆ หนึ่งที่ไร้ค่า และไร้ศักดิ์ศรีของยะซีด ในของสังคมและศาสนา

เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงสมัยปกครองของยะซีด (ขออัลลอฮฺทรงสาปแช่งเขา)

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในช่วงระยะเวลาอันสั้นแห่งการปกครองของยะซีด ได้มีเหตุการณ์เลวร้ายและชั่วที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์เกิดขึ้นในสมัยของเขา ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ การทำชะฮีดท่านอิมามฮุซัยนฺ (.) พร้อมครอบครัว และสหายของท่าน, เหตุการณ์ดังกล่าวนี้ไม่มีบุคคลใดสงสัยในความเลวร้ายอีกต่อไป แม้แต่ประชาชนคนธรรมดาทั่วไป แล้วจะนับประสาอะไรกับชนชั้นผู้ปกครอง หรือนักวิชาการและนักประวัติศาสตร์

เหตุการณ์ที่สอง เขาได้ก่อกรรมชั่วเสรี

และนี่เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่รับรู้กันดีโดยทั่วๆ ไปว่า มันเกิดขึ้นในช่วงการปกครองของซะซีด บุตรของมุอาวิยะฮฺ, เหตุการณ์ดังกล่าวนักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่บันทึกเอาไว้ และทั้งหมดเห็นพร้องต้องกันว่า ชาวเมืองชามจำนวนไม่น้อยที่พวกเขาได้ร่วมกันสังหาร เหล่าเซาะฮาบะฮฺทั้งจากหมู่อันซอรและมุฮาญิรีนเป็นจำนวนมาก เขาได้รับอนุญาตจากยะซีดให้นำกองกำลังเข้ากวาดล้างมะดีนะฮฺเป็นเวลา 3 วัน[5]

อิบนุ อะษีร ได้บันทึกไว้ในหนังสือ กามิล ของตัวเองว่า : เหตุการณ์ก่อกรรมชั่วเสรี อันดับแรกได้เริ่มต้นจากการที่ประชาชนชาวมะดีนะฮฺ ได้ถอนสัตยาบันของพวกเขาจากยะซีด ...ยะซีดได้มอบให้ มุสลิม บิน อุกบะฮฺ มุรรียฺ ด้วยเหตุผลที่ว่า เขาได้สังหารคนจำนวนมากมายจึงเรียกเขาว่า คนกินคน เขาเป็นชายค่อนข้างมีอายุสูงแล้ว และมีโรคประจำตัว ยะซีดได้มอบหมายภาระหน้าที่แก่เขาโดยให้เขามุ่งหน้าไปยังมะดีนะฮฺ ซึ่งมุสลิมได้ขอกับยะซีดว่า อนุญาตให้เขานำกองกำลังเข้ากวาดล้างมะดีนะฮฺสัก 3 วัน แล้วยึดทรัพย์สินแก้วแหวนเงินทอง สัตว์ ข้าวของ และอาวุธต่างๆ เป็นของกองกำลังของเขา หลังจากสามวันไปแล้วเขาก็จะยุติการสังหารผู้คน ..ในเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ประชาชนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้..มุสลิมได้นำกองกำลังเข้ากวาดล้างมะดีนะฮฺอยู่ 3 วัน และในช่วงสามวันนั้นเขาได้สังหารประชาชนเป็นจำนวนมาก และได้ยึดข้าวของเครื่องใช้ และทรัพย์สินของประชาชน เขาได้สร้างความอัปยศอดสูและความวิบัติแก่ประชาชนและหมู่สหายอย่างใหญ่หลวงยิ่ง ... เขาได้เรียกร้องให้ประชาชนมอบสัตยาบันแก่ยะซีดในฐานะของ ทาส ซึ่งยะซีดมีสิทธิ์กระทำทุกอย่างกับพวกเขาไม่ว่าจะเป็นชีวิต ทรัพย์สิน หรือแม้แต่ครอบครัว และหากผู้ใดไม่ยินยอมก็จะถูกสังหารชีวิตทั้งหมด ดังนั้น จะเห็นว่ามีผู้คนจำนวนไม่น้อยถูกสังหารชีวิต

การก่อกรรมชั่วเสรีในปี ..ที่ 63 ชวงปลายเดือนซุลฮิจญฺ ซึ่งเหลือเวลาอีก 2 วันจะสิ้นเดือนพอดี[6]

ใจความใกล้เคียงกันนี้ ฏ็อบรียฺ ได้บันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ของตนด้วยเช่นกัน[7]

แต่เรามิได้มีหน้าที่สาธยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดหรือการก่อกรรมชั่วเสรีของยะซีด, ทว่าเพียงพอแล้วสำหรับสองสามตัวอย่าง อันเป็นความชั่วร้ายที่ได้ยกตัวอย่างมา, นอกจากเรื่องราวที่กล่าวได้ก่อนหน้านี้แล้ว อิบนุกุตัยบะฮฺ ยังได้กล่าวอีกว่า : ในช่วงเกิดเหตุการณ์ก่อกรรมชั่วเสรีนั้นวันหนึ่งพวกเขาได้สังหารชีวิต เหล่าบรรดาสหายของท่านศาสดา (ซ็อล ) ไปถึง 80 คนด้วยกัน ซึ่งไม่เคยมีความชั่วร้ายขั้นนี้มาก่อนหน้านี้เลย นอกจากนั้นแล้วยังได้สังหารชาวกุเรชและชาวอันซอรอีก 700 คน ที่เหลือเป็นประชาชนทั่วไปทั้งจาก มะวาลี ชาวอาหรับ และบรรดาตาบิอีนอีกราว 10,000 คน[8]

และยังมีคำอธิบายที่เลวยิ่งไปกว่านี้อีก ซึ่งยะอฺกูบียฺ บันทึกไว้ว่า : ในวันก่อกรรมชั่วเสรี คือความอัปยศสิ้นดีสำหรับชาวมะดีนะฮฺ ... เมืองของท่านศาสดา (ซ็อล ) ได้ถูกทำให้ฮะลาลด้วยกลุ่มคนชั่ว ชนิดที่ว่าสาวบริสุทธิ์จำนวนมากมายได้คลอดบุตรออกมา โดยไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อ[9]

เหตุการณ์ที่สาม : ทำสงครามกับมักกะฮฺมุกัรเราะมะฮฺและได้เผาวิหารกะอฺบะฮฺ

และนี่เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ซึ่ง ได้มีคำถามเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมากมาย เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์สุดท้ายแห่งชีวิตอันชั่วร้าย อัปยศอดสู และมากด้วยความเลวของยะซีด

บรรดานักประวัติศาสตร์ได้อธิบายว่า หลังจากอัมรฺ บิน สะอีด อัชดัก และอุบัยดิลลาฮฺ บิน ซิยาด ไม่ยอมรับคำสั่งของยะซีด บินมุอายะฮฺ ที่สั่งให้ยกกองกำลังเข้าโจมตีมักกะฮฺ ยะซีดจึงได้สั่งให้ มุสลิม บิน อุกบะฮฺ รับหน้าที่แทน และสั่งให้เขาโจมตีมักกะฮฺ[10] 

อิบนุ อะษีร ได้บันทึกเหตุการณ์ไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ของท่าน โดยบันทึกไว้เช่นนี้ว่า : หลังจากมุสลิมได้สิ้นสุดการสังหารและยึดทรัพย์สินของประชาชนในมะดีนะฮฺแล้ว พวกเขาได้มุ่งหน้าสู่มักกะฮฺ เพื่อไล่ล่าบุตรของซุเบร...เมื่อเขาเคลื่อนพลมาถึงยังสถานที่หนึ่งนามว่ามัชลัลความตายได้ไล่ล่าเขาและไม่ยอมปล่อยเขาไป จนในที่สุดเขาได้เสียชีวิต  ที่นั้นเอง, หลังจากเขาสิ้นชีวิตไปแล้ว ฮะซีน บุตรของ นะมีร ได้เข้าคุ

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ถ้าหากพิจารณาบทดุอาอฺต่างๆ ในอัลกุรอาน จะเห็นว่าดุอาอฺเหล่านั้นได้ให้ความสำคัญต่อตัวเองก่อน หลังจากนั้นเป็นคนอื่น เช่นโองการอัลกุรอาน ที่กล่าวว่า “อะลัยกุม อันฟุซะกุม” แต่เมื่อพิจารณาดุอาอฺของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺจะพบว่าท่านหญิงดุอาอฺให้กับคนอื่นก่อนเป็นอันดับแรก, ดังนั้น ประเด็นนี้จะมีทางออกอย่างไร?
    9592 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/12/21
    ในตำแหน่งของการขัดเกลาจิตวิญญาณและยกระดับจิตใจตนเองนั้น, มนุษย์ต้องคำนึงถึงตัวเองก่อนบุคคลอื่นเพราะสิ่งนี้เป็นคำสั่งของอัลกุรอานและรายงานนั่นเอง, เนื่องจากถ้าปราศจากการขัดเกลาจิตวิญญาณแล้วการชี้แนะแนวทางแก่บุคคลอื่นจะบังเกิดผลน้อยมาก, แต่ส่วนในตำแหน่งของดุอาอฺหรือการวิงวอนขอสิ่งที่ต้องการจากพระเจ้า,ถือว่าเป็นความเหมาะสมอย่างยิ่งที่มนุษย์จะวอนขอให้แก่เพื่อนบ้านหรือบุคคลอื่นก่อนตัวเอง, ...
  • การลงโทษความผิดบาปต่างๆ บางอย่าง จะมากกว่าการลงโทษบาปอื่น ๆ บางอย่างใช่หรือไม่?
    9100 จริยธรรมทฤษฎี 2555/08/22
    อัลกุรอานและรายงานฮะดีซจากอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) เข้าใจได้ว่า ความผิดต่างๆ ถ้าพิจารณาในแง่ของการลงโทษในปรโลกและโลกนี้ จะพบว่ามีระดับขั้นที่แตกต่างกัน อัลกุรอานถือว่า ชิริก คือบาปใหญ่และเป็นการอธรรมที่เลวร้ายที่สุด ทำนองเดียวกัน การกระทำความผิดบางอย่างได้รับการสัญญาเอาไว้ว่า จะต้องได้รับโทษทัณฑ์อย่างแน่นอน นั่นบ่งบอกให้เห็นว่า มันเป็นความผิดใหญ่นั่นเอง ในแง่ของการลงโทษความผิดทางโลกนี้ สำหรับความผิดบางอย่างนั้นคือ การเฆี่ยนตีให้หลาบจำ ซึ่งได้ถูกกำหนดไว้ แต่การลงโทษความผิดบางอย่าง เช่น การฆ่าคนตายโดยเจตนา จะต้องถูกประหารชีวิตให้ตายตกไปตามกัน หรือบาปบางอย่างนอกจากต้องโทษแล้ว ยังต้องจ่ายสินไหมเป็นเงินตอบแทนด้วย ...
  • กรุณานำเสนอตัวบทภาษาอรับของฮะดีษที่ระบุถึงความความสำคัญของประวัติศาสตร์และประวัติศาสตร์นิพนธ์ พร้อมทั้งแหล่งอ้างอิง
    6630 تاريخ کلام 2555/03/18
    มีโองการกุรอานและฮะดีษมากมายกล่าวถึงความสำคัญของประวัติศาสตร์และการครุ่นคิดถึงความเป็นไปของคนรุ่นก่อน ทั้งนี้ก็เพื่อให้สามารถเก็บเกี่ยวบทเรียนจากแนวประสบการณ์ของบุคคลในอดีตมาปรับประยุกต์ใช้ได้ในอนาคต จุดประสงค์ดังกล่าวปรากฏเด่นชัดในสำนวนฮะดีษจากท่านอิมามอลี(อ.) ด้วยเหตุนี้เราจึงขอนำเสนอฮะดีษจากท่าน ณ ที่นี้ อิมามอลี(อ.)ได้กล่าวไว้ในสาส์นที่มีถึงท่านอิมามฮะซันเกี่ยวกับความสำคัญของประวัติศาสตร์ว่า “ลูกพ่อ แม้ว่าพ่อจะมิได้มีอายุขัยเท่ากับอายุขัยของบรรพชนรวมกัน แต่เมื่อพ่อได้ไคร่ครวญถึงพฤติกรรมและข่าวคราวของบรรพชน และได้ท่องไปในความเป็นมาของพวกเขาทำให้พ่อรู้สึกราวกับว่าได้อยู่ในยุคของพวกเขา หรืออาจจะกล่าวได้ว่าการศึกษาประสบการณ์ของบรรพชนทำให้พ่อเสมือนมีชีวิตอยู่ตั้งแต่มนุษย์คนแรกจนถึงคนสุดท้าย” สอง. ท่านกล่าวไว้อีกเช่นกันว่า “จงพิสูจน์สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นด้วยกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว จงใช้ผลการศึกษาเรื่องราวในอดีตในการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต ทั้งนี้ก็เพราะปรากฏการณ์ในโลกคล้ายคลึงกัน จงอย่าเอาเยี่ยงอย่างผู้ที่ไม่รับฟังคำแนะนำจนกระทั่งประสบความยากลำบาก เพราะมนุษย์ผู้มีปัญญาจะต้องได้รับอุทาหรณ์ด้วยการครุ่นคิด มิไช่สัตว์สี่เท้าที่จะต้องเฆี่ยนตีเสียก่อนจึงจะเชื่อฟัง” ...
  • จุดประสงค์ของการสร้างคืออะไร จงอธิบายเหตุผลในเชิงเหตุผลนิยม ถ้าเป้าหมายคือความสมบูรณ์แล้วทำไมพระเจ้าไม่ทรงสร้างมนุษย์ให้สมบูรณ์แบบ
    14142 เทววิทยาดั้งเดิม 2553/10/21
    พระเจ้าคือผู้ดำรงอยู่ที่ไม่มีความจำกัด พระองค์ทรงมีความสมบูรณ์แบบทุกประการ การสร้าง (บังเกิด) เป็นความงดงาม และพระองค์คือผู้มีความงดงามความงดงามอันสมบูรณ์แบบของพระองค์ เป็นตัวกำหนดว่าพระองค์ทรงสร้างทุกอย่างขึ้นตามคุณค่าของมัน ดังนั้น พระเจ้าทรงสร้างเป็นเพราะพระองค์คือผู้งดงาม หมายถึงจุดประสงค์และเป้าหมายในการสร้างของพระองค์นั้นงดงาม อีกด้านหนึ่งคุณลักษณะอาตมันของพระเจ้าไม่ได้แยกออกจากอาตมันของพระองค์ จึงสามารถกล่าวได้ว่าจุดประสงค์ของการสร้างคือ อาตมันของพระเพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์มาโดยให้มีแนวโน้มที่ดีและความชั่วร้ายภายใน และทรงประทานผู้เชิญชวนภายนอก 2 ท่าน ที่ดีได้แก่ศาสดา (นบี) และความชั่วร้ายได้แก่ชัยฎอน (ปีศาจ), ทั้งนี้มนุษย์สามารถบรรลุความสมบูรณ์สูงสุดของสรรพสิ่งที่อยู่หรือก้าวไปสู่ความชั่วช้าที่ต่ำทรามที่สุดก็เป็นได้ ทั้งที่มนุษย์นั้นมีพลังของเดรัจฉานและการลวงล่อของซาตานที่ล่อลวงอยู่ตลอดเวลา ...
  • ควรจะตอบคำถามเด็กๆ อย่างไร เมื่อถามเกี่ยวกับอัลลอฮฺ?
    8179 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/06/30
    ไม่สมควรหลีกเลี่ยงคำถามต่างๆ ที่เด็กๆ ได้ถามเกี่ยวกับอัลลอฮฺ, ทว่าจำเป็นต้องตอบคำถามเหล่านั้นด้วยความถูกต้อง เข้าใจง่าย และมั่นคง,โดยอาศัยข้อพิสูจน์เรื่องความเป็นระบบระเบียบของโลก พร้อมคำอธิบายง่ายๆ ขณะเดียวกันด้วยคำอธิบายที่ง่ายนั้นต้องกล่าวถึงความโปรดปรานของพระเจ้าชนิดคำนวณนับมิได้ ซึ่งอยู่ร่ายรอบตัวเอรา นอกจากนั้นยังสามารถพิสูจน์คุณลักษณะบางประการของพระองค์ เช่น ความปรีชาญาณ, พลานุภาพ, และความเมตตาแก่เด็กๆ ...
  • ศาสนาและวัฒนธรรมมีความสัมพันธ์กันอย่างไร?
    13584 เทววิทยาใหม่ 2554/06/02
    การที่จะสามารถนิยามความสัมพันธระหว่างศาสนาและวัฒนธรรมจารีตได้นั้นขั้นแรกต้องเข้าใจถึงลักษณะจำเพาะเป้าประสงค์และผลผลิตของทั้งศาสนาและวัฒนธรรมเสียก่อน.บางคนปฎิเสธความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาและวัฒนธรรมโดยสิ้นเชิงทัศนคตินี้ค่อนข้างจะไร้เหตุผลทั้งนี้ก็เพราะแม้ว่าวัฒนธรรมจารีตบางประเภทอาจจะผิดแผกและไม่เป็นที่ยอมรับโดยศาสนาเนื่องจากขัดต่อเป้าประสงค์ที่ศาสนามุ่งนำพามนุษย์สู่ความผาสุกแต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่ายังมีวัฒนธรรมจารีตอีกมากมายที่สอดคล้องและได้รับการยอมรับโดยศาสนายิ่งไปกว่านั้นยังมีวัฒนธรรมจารีตบางส่วนที่เกิดขึ้นจากคุณค่าที่ได้รับการฟูมฟักโดยศาสนาเช่นกัน. ...
  • เด็กผู้ชายที่มีอายุ 12 ปีสามารถเข้าร่วมในการนมาซญะมาอัตแถวเดียวกับผู้ชายคนอื่นๆได้หรือไม่?
    6672 สิทธิและกฎหมาย 2555/03/08
    การที่ลูกหลานและเยาวชนเข้าร่วมกิจกรรมมัสยิดและร่วมนมาซญะมาอัตจะทำให้พวกเขาผูกพันกับการนมาซ ซึ่งไม่เพียงแต่ไม่เป็นที่ต้องห้าม ทว่าถือเป็นมุสตะฮับอย่างยิ่ง[1] แต่ประเด็นที่ว่า การที่เด็กที่ยังไม่สามารถแยกแยะถูกผิดได้และยังไม่บรรลุนิติภาวะจะเข้าร่วมในนมาซญะมาอัต และจะทำให้การนมาซของผู้อื่นมีปัญหาหรือไม่นั้น มีสองประเด็นดังต่อไปนี้ ผู้นมาซคนอื่นๆสามารถที่จะเชื่อมต่อกับอิมามญะมาอัตได้โดยวิธีอื่น ในกรณีนี้การนมาซญะมาอัตของผู้อื่นถือว่าไม่มีปัญหาแต่อย่างใด[2] การที่ผู้อื่นจะต้องเชื่อมต่อกับอิมามญะมาอัตโดยผ่านผู้ที่ยังไม่บรรลุนิตะภาวะเท่านั้น (เช่นมีเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะยื่นอยู่ที่แถวหน้าหลายคน ในกรณีนี้คำวินิจฉัยของอุลามามีดังนี้ “หากในระหว่างแถวที่มีการนมาซญะมาอัตมีเด็กที่สามารถแยกแยะถูกผิดได้ยืนอยู่ หากเรามิได้แน่ใจว่านมาซของเขาไม่ถูกต้อง ก็สามารถยืนแถวต่อจากเขาได้”[3] อนึ่ง กฏดังกล่าวมีไว้สำหรับกรณีที่มีเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะยืนอยู่หลายๆคนในแถวเดียวกัน แต่ถ้าหากเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะยืนอยู่ในแถวนมาซญะมาอัตหลายคน ทว่าไม่ได้ยืนอยู่ติดๆกัน โดยยืนในลักษณะกั้นกลางผู้ที่บรรลุนิติภาวะแล้วสองคน (ถึงแม้ว่าเราจะรู้ว่านมาซของพวกเขาไม่ถูกต้องก็ตาม) ก็ไม่ทำให้นมาซของผู้อื่นมีปัญหาแต่อย่างใด อ่านเพิ่มเติมได้ที่ “การจัดแถวในการนมาซญะมาอัตและฮุกุมของการเคลื่อนไหวในการนมาซ”, ...
  • ความสำคัญ และปรัชญาของการจัดพิธีกรรมรำลึกถึงท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) คืออะไร?
    8060 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/12/20
    สำหรับการติดตามผลอย่างมีนัยของการให้ความสำคัญและปรัชญาของการจัดพิธีกรรมรำลึกถึงท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) จำเป็นต้องพิจารณาประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้:1. ...
  • การนั่งจำสมาธิคืออะไร? ชีอะฮฺมีทัศนะอย่างไรเกี่ยวกับการนั่งจำสมาธิ?
    9485 รหัสยปฏิบัติ 2557/05/20
    วัตถุประสงค่ของการนั่งจำสมาธิ (การอิบาดะฮฺ 40 วัน) คือการเดินจิตด้านใน, การจาริกจิต, การคอยระมัดระวังตนเองภายใน 40 วัน, เพื่อยกระดับและพัฒนาจิตด้านในของบุคคล เพื่อเตรียมพร้อมที่จำเป็น สำหรับการรองรับวิทยญาณและวิชาการของพระเจ้า ซึ่งนักเดินจิตด้านใน และปราชญ์ฝ่ายชีอะฮฺส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับประเด็นดังกล่าว ซึ่งวางอยู่บนพื้นฐานของโองการและรายงานฮะดีซ ด้วยเหตุนี้ การอิบาดะฮฺและการตั้งเจตนาด้วยความจริงใจและบริสุทธิ์ใจ ภายใน 40 วัน จึงถือว่าเป็นการปฏิบัติที่ดีที่สุด แต่สิ่งที่นักเดินจิตด้านในตักเตือนไว้คือ จงอย่าให้การนั่งจำสมาธิกลายเป็นเครื่องมือละทิ้งสังคม ปลีกวิเวกจนกลายเป็นความสันโดษ ...
  • ในกุรอานมีกี่ซูเราะฮ์ที่มีชื่อเหมือนบรรดานบี?
    21246 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/03/04
    ในกุรอานมีหกซูเราะฮ์ที่มีชื่อคล้ายบรรดานบี ได้แก่ ซูเราะฮ์นู้ห์, อิบรอฮีม, ยูนุส, ยูซุฟ, ฮู้ด และ มุฮัมมัด อย่างไรก็ดี จากคำบอกเล่าของฮะดีษบางบททำให้นักอรรถาธิบายกุรอานเชื่อว่า ซูเราะฮ์บางซูเราะฮ์อย่างเช่น ฏอฮา[1], ยาซีน[2], มุดดัษษิร[3], มุซซัมมิ้ล[4] หมายถึงท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.) จึงอาจจะจัดได้ว่าซูเราะฮ์ต่างๆข้างต้นถือเป็นซูเราะฮ์ที่มีชื่อเหมือนบรรดานบีได้เช่นเดียวกัน คำถามนี้ไม่มีคำตอบเชิงรายละเอียด [1] มะการิม ชีรอซี,นาศิร,ตัฟซี้รเนมูเนะฮ์,เล่ม ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60706 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58356 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42812 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    40325 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39428 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34557 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28622 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28530 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28480 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26394 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...