การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
5459
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/11/21
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1431 รหัสสำเนา 19006
คำถามอย่างย่อ
ถ้าหากไม่ทราบว่าและได้รับประทานเนื้อฮะรอมไป จะมีความผิดอันใดบ้าง?
คำถาม
ถ้าหากไม่ทราบว่าและได้รับประทานเนื้อฮะรอมไป จะมีความผิดอันใดบ้าง?
คำตอบโดยสังเขป

บุคคลใดหลังจากรับประทานอาหารแล้ว, เพิ่งจะรู้ว่านั่นเป็นอาหารฮะรอม, ถ้าหากไม่คิดว่าสิ่งนั้นจะฮะรอมประกอบกับมีสัญลักษณ์ของฮะลาลด้วย เช่น มาจากร้านของมุสลิม, มิได้กระทำบาปอันใด, แต่เป็นอาหารที่ต้องสงสัยอยู่ก่อนแล้ว, เช่น มิได้มาจาน้ำมือของมุสลิม, ตรงนี้หน้าที่ของเขาคือการสืบค้นและตรวจสอบเสียก่อน การรับประทานอาหารที่ไม่มีการตรวจสอบ ถือว่าไม่อนุญาต, แต่ถ้าไม่มีสัญลักษณ์อันใดเลยที่บ่งว่าอาหารนั้นฮะลาย กรณีนี้ถ้าอาหารนั้นเป็นเนื้อ ซึ่งตามหลักการแล้วสัตว์ต้องเชือดถูกต้อง แต่ถ้าสงสัยว่าเชือดหรือไม่ หรือสงสัยในความสะอาดตามชัรอียฺ จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงไม่รับประทาน ส่วนอาหารประเภทอื่นแม้ว่าจะไม่เข้มงวดเหมือนกับเนื้อ, แต่ถ้าบุคคลนั้นไม่ได้มีความรู้เรื่องกฎเกณฑ์ เช่น ไม่รู้ว่า ไม่อนุญาตให้รับประทานอาหารที่เปื้อนเลือด แต่สามารถตรวจสอบหรือศึกษาข้อมูลได้ เพียงแต่ไม่สนใจดังนั้นถ้ารับประทานอาหารนั้นไป ถือว่ากระทำความผิด แต่ถ้าเป็นผู้ไม่รู้ประเภทที่ว่าไม่สามารถศึกษาข้อมูลได้ หรือเป็นไปไม่ได้ที่จะตรวนสอบ ถ้ารับประทานอาหารนั้น ถือว่าไม่ได้กระทำความผิดแต่อย่างใด ประเด็นเกี่ยวกับประเด็นปัญหาต่างๆ นั้น ถ้าเขาไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร หรือมีเงื่อนไขอย่างไร , หรือแม้แต่ถ้าเขาคนไม่รู้ที่สามารถตรวจสอบได้ ก็ไม่ถือว่าได้กระทำความผิดแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม บนพื้นฐานของรายงานต่างๆ จากอะฮฺลุลบัยตฺ (.) กล่าวว่า การกระทำอย่างนี้แม้ว่าเกิดจากความผิดพลาดก็ตาม แต่ร่องรอยและผลกระทบของสิ่งเหล่านั้นจะส่งผลในทางลบกับชีวิตมนุษย์ และเท่ากับเป็นการขจัดเตาฟีกไปจากตัวเราเอง ดังนั้น มนุษย์ต้องพิจารณาและพิถีพิถันเป็นพิเศษว่า อาหารของเขาต้องฮะลาล เพื่อขับเคลื่อนชีวิตไปบนวิถีทางอันเป็นความพึงพอพระทัยของอัลลอฮฺ (ซบ.)

คำตอบเชิงรายละเอียด

ถ้าหากบุคคลทราบว่า อาหาร หรือเนื้อนั้นฮะรอม, หมายถึงรู้จักทั้งอาหาร (ประเด็น) และกฎเกณฑ์ที่ว่าฮะรอมหรือฮะลาล, แต่กระนั้นเขายังรับประทานอาหารนั้นไป, เท่ากับได้กระทำความผิดและการกระทำนั้นถือเป็นการฝ่าฝืน ไม่เชื่อฟังปฏิบัติตามพระบัญชาของอัลลอฮฺ (ซบ.) ต้องได้รับโทษทัณฑ์อย่างแน่นอน, แน่นอน เป็นธรรมดาที่ว่าความผิดบาปเหล่านี้จะส่งกระทบในทางไม่ดีกับวิถีชีวิตของมนุษย์.

ท่านอิมามญะอฺฟัร อัซซอดิก (.) ได้กล่าวถึงผลกระทบไม่ดีที่เกิดจากอาหารไม่ฮะลาลว่า :ผลกระทบไม่ดีที่เกิดจากอาหารไม่ฮะลาลนั้นจะกีดกันมนุษย์ออกจากการอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺ. บางครั้งก็จะส่งผลให้มนุษย์กระทำความผิดในตอนกลางวัน และในตอนกลางคืนมันจะกีดกันเขาให้ออกห่างจากการตื่นยามกลางคืน เพื่ออิบาดะฮฺ หรือนมาซชับ[1] เว้นเสียแต่ว่าเขาจะเตาบะฮฺ (ลุแก่โทษกลับตัวกลับใจ) และปรับปรุงแก้ไขตัวเองใหม่[2]

แต่ในกรณีที่ไม่รู้ว่าอาหารฮะรอม และได้รับประทานอาหารนั้นไปแล้ว แบ่งออกเป็น 2 กรณีด้งนี้

1.เขาไม่รู้จักประเด็น, แต่รู้กฎเกณฑ์ดีว่าเป็นอย่างไร, กล่าวคือเขารู้ดีว่าการกินอาหารนั้นไม่ถูกต้อง เช่น การกินเนื้อสุกรเป็นฮะรอม, แต่ไม่รู้ว่าอาหารนั้นได้ทำจากเนื้อสุกร ซึ่งหลังจากรับประทานแล้วเพิ่งจะรู้ว่าเป็นเนื้อสุกร กรณีแบ่งออกเป็น 3 ประเด็นด้วยกัน กล่าวคือ

) ไม่ได้คิดถึงเรื่องฮะรอมตั้งแต่แรก และไม่ได้สงสัยด้วย, ทว่ามีเครื่องหมายของฮะลาลปรากฎให้เห็นด้วย เช่น ซื้อมาจากมุสลิม กรณีนี้ถ้าทราบภายหลังว่าเป็นฮะรอม ไม่ถือว่าเขาได้กระทำความผิด

) เป็นอาหารที่สงสัยอยู่แล้ว และมีเครื่องหมายของฮะรอมด้วย, เช่น ซื้อมาจากผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม, กรณีนี้หน้าที่ของเขาคือการตรวจสอบให้มั่นใจเสียก่อน, ดังนั้น ถ้าปราศจากการตรวจสอบ และได้รับประทานอาหารดังกล่าวไป หลังจากนั้นได้รู้ ถือว่าฮะรอม, และได้กระทำความผิด.

) ไม่มีสัญลักษณ์ใดๆ ที่บ่งบอกว่าฮะลาลหรือฮะรอม, ในกรณีนี้เนื่องจากว่าการตรวจสอบประเด็นไม่วาญิบ, ซึ่งหลังจากรับประทานแล้วรู้ว่า, อาหารนั้นจัดอยู่ในประเภทฮะรอม ไม่ถือว่าเขากระทำสิ่งฮะรอมแต่อย่างใด ทว่าเกี่ยวกับเนื้อสัตว์ เนื่องจากรากเหง้าของปัญหาคือ การเชือดและความสะอาด, ดังนั้น ถ้าปราศจากการตรวจสอบแล้วได้รับประทานเข้าไป หลังจากนั้นรู้ว่า เป็นเนื้อฮะรอม, ถือว่าได้กระทำความผิด

2.ไม่รู้เรื่องกฎเกณฑ์, แต่รู้จักประเด็นเรื่องเป็นอย่างดี, กล่าวคือไม่ทราบการรับประทานเนื้อสุกร ฮะรอม, แต่รู้ว่าอาหารนั้นทำจากเนื้อสุกร, ในกรณีที่เขาสามารถตรวนสอบและค้นคว้าได้ และสามารถรับรู้ความจริงได้ด้วย, แต่มิได้กระทำการดังกล่าว, ถือว่าเขาได้กระทำความผิดและการกระทำนั้นฮะรอม, แต่ถ้าไม่สามารถตรวจสอบหรือค้นหาความจริงเกี่ยวกับอาหารดังกล่าวได้ หรือไม่มีความสามารถในการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับกฎเกณฑ์, กรณีนี้ถือว่าไม่มีความผิด และการกระทำของเขาก็ไม่ถูกลงโทษแต่อย่างใด, เนื่องจากบนพื้นฐานของฮะดีซ รัฟอ์ จากท่านศาสดา (ซ็อล ) กล่าวว่าหน้าที่และการลงโทษได้ถูกถอดถอนออกไปจากเขาแล้ว[3] ซึ่งหน้าที่ของเขาไม่มีสิ่งใดนอกจากการทำความสะอาดปาก มือ และภาชนะอาหารเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม อาหารที่ฮะรอม โดยธรรมชาติแล้วย่อมมีผลกระทบต่อร่างกาย และจิตวิญญาณมนุษย์

นักปราชญ์ด้านจริยธรรมได้กล่าวถึงอาหารประเภทนี้มีผลกระทบต่อจิตวิญญาณอย่างแน่นอน และเชื่อว่าแม้ว่าจะไม่มีการลงโทษอันใดสำหรับบุคคลที่ได้กระทำผิดทำนองนี้ก็ตาม ทว่าเตาฟีกได้ถูกปฏิเสธไปจากบุคคลนั้นเสียแล้ว และยังมีผลลบกับจิตวิญญาณอีกมากมาย ซึ่งไม่สามารถอะลุ่มอล่วยให้แก่ร่างกายได้อย่างแน่นอน ด้วยเหตุผลนี้เอง รายงานจำนวนมากมายเน้นย้ำว่า มนุษย์มีหน้าที่พึงระวังรักษาอาหารของตนให้ดี

ในสมัยของท่านเราะซูล (ซ็อล ) ได้มีบุคคลหนึ่งนำน้ำนมมาให้ท่านศาสดา, ทว่าตราบที่ท่านยังไม่อาจตรวจสอบได้ว่าน้ำนมนั้นฮะลาล ท่านไม่ได้ดื่มนมนั้นเลย ท่านเราะซูล (ซ็อล ) กล่าวว่า :บรรดาศาสดาก่อนหน้าฉัน, ต่างมีคำสั่งว่าจงอย่ารับประทานอาหารและเครื่องดื่มใดๆ ยกสิ่งที่ฮะลาลและดีเท่านั้น[4]

รายงานจากอะฮฺลุลบัยตฺ (.) ที่กล่าวถึงคุณลักษณะอันเป็นผลที่เกิดจากอาหารฮะรอม แม้แต่ในเด็กเล็กท่านก็ได้กำชับเตือนเอาไว้[5]

ด้วยเหตุนี้ จำเป็นอย่างยิ่งและถือเป็นหน้าที่ของเราที่ว่าต้องใส่ใจเป็นพิเศษต่ออาหารที่ฮะลาล และฮะรอม. เนื่องจากอาหารเหล่านี้มีผลกระทบต่อร่างกายและจิตวิญญาณ และชะตากรรมด้านศีลธรรมของเรา อีกทั้งมีผลต่อเส้นทางไปสู่ความพึงพอพระทัยของอัลลอฮฺ, ดังเช่นที่ความประพฤติของคนเราทั้งด้านสังคมและส่วนตัว ต่างมีผลกระบทต่อสังคมโลกทั้งสิ้น เช่นเดียวกันเหตุการณ์โลกก็มีผลกระทบต่อจริยธรรม ความประพฤติ และการกระทำของมนุษย์[6]



[1] ญะวาดดีย ออมูลียฺ, อับดุลลอฮฺ, มะรอฮิลอักลาค ดัรกุรอาน, หน้า 153.

[2] อัลกุรอาน บทมาอิดะฮฺ, 39.

[3] บิฮารุลอันวาร, เล่ม 5, เราซูล (ซ็อล ) กล่าวว่าได้ถูกถอดถอนออกไปจากประชาชาติของฉันแล้ว ความผิดพลาด ความหลงลืม และการบังคับ

[4] อัดดุรุ มันซูร, เล่ม 6, หน้า 102, มีซานุลฮิกมะฮฺ, เล่ม 3, หน้า 128, มุฮัมมะดี เรย์ ชะฮฺรียฺ, มุฮัมมัด

[5] บิฮารุลอันวาร, เล่ม 100, หน้า 323, หน้า 96, อิมามอะลี (.) : จงนำทารกของท่านออกห่างจากการดื่มน้ำนมจากหญิงเลว และสติฟั่นเฟือน, เนื่องจากน้ำนมจะส่งผลกระทบต่อทารก

[6] ญะวาดียฺ ออมูลียฺ, อับดุลลอฮฺ, มะบาดียฺ อัคลากดัรกุรอาน, หน้า 108

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

คำถามสุ่ม

  • อิมามโคมัยนีเชื่อว่าการร่ำไห้และการไว้อาลัยแด่อิมามฮุเซน(อ.)สามารถรักษาอิสลามให้คงอยู่ถึงปัจจุบันไช่หรือไม่? เพราะเหตุใด?
    7929 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/12/08
    คำถามนี้ไม่มีคำตอบแบบสั้น ปรดเลือกปุ่มคำตอบที่สมบูรณ์ ...
  • เกิดอะไรขึ้นกับม้าของอิมามฮุเซน (อ.) ที่กัรบะลา
    7746 تاريخ بزرگان 2554/11/29
    สายรายงานไม่ได้กล่าวถึงประวัติความเป็นมาของม้าของท่านอิมามฮุเซน (อ.) ที่มีนามว่า "ซุลญะนาฮ" อย่างละเอียดนักแต่สายรายงานที่เชื่อถือได้ส่วนใหญ่ระบุว่าหลังจากที่อิมามฮุเซน (อ.) เป็นชะฮีดแล้วม้าตัวนี้ได้เกลือกกลั้วขนแผงคอกับเลือดอันบริสุทธิ์ของท่านแล้วมุ่งหน้าไปยังกระโจมและส่งเสียงร้องโหยหวนบรรดาผู้ที่อยู่ในกระโจมเมื่อได้ยินเสียงของซุลญะนาฮก็รีบวิ่งออกมาจากกระโจมจึงได้รับรู้ว่าอิมามฮุเซน (อ.) เป็นชะฮีดแล้ว[1]แต่ทว่าสายรายงานและหนังสือบางเล่มที่ประพันธ์ขึ้นมาใหม่เช่นหนังสือนาซิคุตตะวารีคได้กล่าวถึงเหตุการณ์อื่นๆนอกเหนือจากนี้เช่นกล่าวไว้ว่าม้าตัวนั้นได้โขกหัวกับพื้นบริเวณหน้ากระโจมจนตายหรือควบตะบึงไปยังแม่น้ำฟูรอตและกระโดดลงในแม่น้ำ[2][1]ซิยาเราะฮ์นาฮิยะฮ์
  • มนุษย์ธรรมดาทั่วไปสามารถเป็นผู้บริสุทธิ์ได้หรือไม่?
    6416 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2554/03/08
     คำว่า “อิซมัต” หมายถึ่งความสะอาดบริสุทธิ์หรือการดำรงอยู่ในความปอดภัยหรือการเป็นอุปสรรคต่อการหลงลืมกระทำความผิดบาปความบริสุทธิ์นั้นมีระดับชั้นซึ่งแน่นอนว่าระดับชั้นหนึ่งนั้นสูงส่งเฉพาะพิเศษสำหรับบรรดาศาสดา ...
  • เพราะเหตุใดกุญแจสู่สรวงสวรรค์คือ นมาซ?
    7390 จริยธรรมทฤษฎี 2555/05/17
    เป้าหมายของการสร้างมนุษย์ก็เพื่อ การแสดงความเคารพภักดีและการรู้จักพระเจ้า, ซึ่งการแสดงความเคารพภักดีต่อพระเจ้านั้น จะทำให้มนุษย์ก้าวไปสู่ความสมบูรณ์ และตำแหน่งอันใกล้ชิดต่อพระเจ้า, นมาซ คือภาพลักษณ์ที่ดีและสวยงามที่สุดของการแสดงความเคารพภักดีต่อพระเจ้า หรือการแสดงความเป็นบ่าวที่ดีต่อพระผู้ทรงสร้าง, ความเคร่งครัดต่อนมาซ 5 เวลาคือสาเหตุของความประเสริฐและเป็นพลังด้านจิตวิญญาณ ซึ่งทำให้มนุษย์ละเว้นการทำความผิดบาป หรือการแสดงความประพฤติไม่ดี อีกด้านหนึ่งเป็นการสนับสนุนส่งเสริมให้พลังแห่งความสำรวมตน ภายในจิตใจมนุษย์มีความเข้มแข็งขึ้น, ในกรณีนี้ เข้าใจได้ทันทีว่า เพราะอะไรนมาซ, จึงเป็นกุญแจสู่สรวงสวรรค์ ต้องไม่ลืมที่จะกล่าวว่า, นมาซคือหนึ่งในภาคปฏิบัติที่เป็นอิบาดะฮฺ อันมีผลบุญคือ เป็นกุญแจสู่สรวงสวรรค์, เนื่องจากรายงานฮะดีซ,เกี่ยวกับความรักที่มีต่อบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) คือ การกล่าวว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ, ความอดทน ...ก็ถือว่าเป็นกุญแจแห่งสรวงสวรรค์เช่นกัน, และเช่นกันสิ่งที่เข้าใจได้จากรายงานที่ว่า นมาซพร้อมกับความศรัทธามั่นที่มีต่ออัลลอฮฺ ความเป็นเอกะของพระองค์ ขึ้นอยู่กับความรักที่มีต่อบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) เป็นความสัมพันธ์เกี่ยวข้องที่มีความพิเศษยิ่งต่อกัน ...
  • สตรีในทัศนะอิสลามมีสถานภาพสูงส่งเพียงใด ?พวกเธอมีสิทธิเท่าเทียมกับผู้ชายหรือ?
    12334 ปรัชญาของศาสนา 2554/10/22
    ในทัศนะอิสลาม, สตรีและบุรุษนั้นมีเป้าหมายร่วมกันนั่นคือ – การพัฒนาตนไปให้ถึงยังสถานอันสูงสุดของความเป็นมนุษย์ – และการไปถึงเป้าหมายดังกล่าว ทั้งสองจึงมีมาตรฐานอันเดียวกัน ซึ่งความต่างเรื่องเพศอันเป็นความจำเป็นของการสร้าง แทบจะไม่มีบทบาทอันใดทั้งสิ้นในการสร้าง หรือเพิ่มเติมศักยภาพและความสามารถดังกล่าวนั้น หรือคุณค่าในทางศาสนาเองก็มิได้มีบทบาทอันใดเช่นกัน ดังนั้น ความสมบูรณ์ของสตรีจึงมิได้อยู่ในฐานะภาพเดียวกันกับความสมบูรณ์ของบุรุษ หรือใช่ว่าบุรุษจะใช้ความเป็นเพศชาย มาควบคุมความเป็นสตรีก็หาไม่ดังนั้น ในทัศนะของอิสลาม :1.สตรี, จึงเป็นสถานที่ปรากฏความสวยงาม ความประณีต และความเงียบสงบ2.สตรี, คือที่มาแห่งความสงบมั่นของบุรุษ, ส่วนบุรุษนั่นเป็นสถานพำนักพักพิง ให้ความรับผิดชอบ และการเป็นผู้นำของสตรี
  • ปรัชญาของการมีทาสในอิสลามคืออะไร? อิสลามมีวิธีการจัดการกับสิ่งเหล่าอย่างไร?
    11829 สิทธิและกฎหมาย 2555/08/22
    ถูกต้องบทบัญญัติเกี่ยวกับ การแต่งงานกับทาส, การเป็นมะฮฺรัมกับทาส, สัญญาซื้อขาย (ข้อตกลงที่จะปล่อยทาสเป็นไท) และ ...ได้ถูกกล่าวไว้ในอัลกุรอาน, การมีทาสได้รับการยืนยันว่ามีจริงในสมัยของท่านเราะซูล (ซ็อลฯ) และต้นยุคอิสลาม แต่จำเป็นต้องกล่าวว่าอิสลามมีโปรแกรมที่ละเอียดอ่อน และมีกำหนดเวลาในการปลดปล่อยทาสให้เป็นไท ซึ่งบั้นปลายสุดท้ายของทั้งหมดเหล่านั้นคือ การได้รับอิสรภาพเป็นไททั้งสิ้น ดังนั้นการเผชิญหน้าของอิสลามกับปัญหาเหล่านี้ จำเป็นต้องกล่าวถึงประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้: 1-อิสลามมิเคยเริ่มต้นปัญหาเรื่องทาส 2-อิสลามถือว่าปัญหาชะตากรรม และความเจ็บปวดใจของทาสในอดีตที่ผ่านมาคือ ปัญหาความล้าหลังอันยิ่งใหญ่ของสังคม 3-อิสลามได้วางโครงการที่ละเอียดอ่อน เพื่อปลดปล่อยทาสให้เป็นไท, เนื่องจากครึ่งหนึ่งของพลเมืองในสมัยก่อนเป็นทาสทั้งสิ้น, พวกเขาไม่มีอิสรเสรีในการประกอบอาชีพการงาน, ไม่มีปัจจัยสำหรับการดำเนินชีวิตต่อไป.ถ้าหากอิสลามได้มีคำสั่งต่อสาธารณชนว่าให้ทั้งหมดปล่อยทาสให้เป็นไท, ซึ่งเป็นไปได้ว่าส่วนใหญ่ของพวกเขาจะต้องสูญเสียชีวิต หรือไม่ชนส่วนใหญ่ก็จะต้องว่างงานไร้อาชีพ หิวโหย ถูกกีดกัน และพวกเขาต้องได้รับแรงกดดันจนกระทั่งเข้าทำร้ายและโจมตีในทุกที่ การประจัญบาน การนองเลือด และการทำลายกฎระเบียบของสังคมก็จะทวีความรุนแรงขึ้น ด้วยเหตุนี้เอง อิสลามได้วางแผนการไว้อย่างละเอียด เพื่อดึงดูดสังคมให้ทาสเหล่านี้ได้รับอิสรภาพ และเป็นไทไปที่ละน้อย ซึ่งแผนการดังกล่าวมีองค์ประกอบหลายประการด้วยกัน ...
  • กรุณาอธิบายวิธีตะยัมมุมแทนที่วุฎูอฺและฆุซลฺ ว่าต้องทำอย่างไร?
    10030 สิทธิและกฎหมาย 2555/05/17
    จะทำตะยัมมุมอย่างไร การตะยัมมุมนั้นมี 4 ประการเป็นวาญิบ: 1.ตั้งเจตนา, 2. ตบฝ่ามือทั้งสองข้างลงบนสิ่งที่ทำตะยัมมุมกับสิ่งนั้นแล้วถูกต้อง, 3. เอาฝ่ามือทั้งสองข้างลูบลงบนหน้าผากตั้งแต่ไรผม เรื่อยลงมาจนถึงคิ้ว และปลายมูก อิฮฺติยาฏวาญิบ, ให้เอาฝ่ามือลูบลงบนคิ้วด้วย, 4. เอาฝ่ามือข้างซ้ายลูบหลังมือข้างขวา, หลังจากนั้นให้เอาฝ่ามือข้างขวาลูบลงหลังมือข้างซ้าย คำวินิจฉัยของมัรญิอฺบางท่าน กล่าวถึงการตะยัมมุมแทนวุฎูอฺ และฆุซลฺ ไว้ดังนี้: หนึ่ง. การตะยัมมุมแทนทีฆุซลฺ, อิฮฺยาฏมุสตะฮับ หลังจากทำเสร็จแล้วให้เอาฝ่ามือทั้งสองข้างตบลงบนฝุ่นอีกครั้ง (ตบครั้งที่สอง) หลังจากนั้นให้เอาฝ่ามือลูบลงที่หลังมือข้างขวาและข้างซ้าย[1] มัรญิอฺ บางท่านแสดงความเห็นว่า สิ่งที่เป็นมุสตะฮับเหล่านี้ สมควรทำในตะยัมมุม ที่แทนที่ วุฎูดฺด้วย
  • กรุณาแจกแจงความสำคัญของฮะดีษกิซาอ์
    8349 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2554/12/21
    ฮะดีษกิซาอ์ที่ปรากฏในตำราฮะดีษและหนังสือมะฟาตีฮุลญินานของเชคอับบาสกุมีมีความสำคัญเป็นพิเศษในแง่อิมามัตและอิศมัต(ภาวะไร้บาป)ตำแหน่งอิมามและวิลายะฮ์ของอะฮ์ลุลบัยต์ได้รับการพิสูจน์จากเบาะแสในฮะดีษบทนี้เนื่องจากกริยาและวาจาของท่านนบี(ซ.
  • บุคคลย้ำคิดย้ำทำที่ได้รับการอนุโลม ถามว่าได้รับการอนุโลมข้อสงสัยทุกประเภทหรือไม่?
    10062 สิทธิและกฎหมาย 2555/02/18
    ตามหลัก “لاشکّلکثیرالشک”แล้ว ผู้ที่ชอบย้ำคิดย้ำทำ(ช่างสงสัย) ไม่ควรให้ความสำคัญแก่การสงสัยของตน อุละมาส่วนใหญ่เชื่อว่าหลักการนี้มิได้จำกัดเฉพาะกรณีการนมาซเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอะมั้ลที่กระทำก่อนนมาซ อาทิเช่น การอาบน้ำนมาซ, ฆุสุลและตะยัมมุม, อีกทั้งรวมไปถึงชุดอิบาดะฮ์อย่างเช่นการทำฮัจย์ และครอบคลุมถึงการทำธุรกรรม และประเด็นความศรัทธาด้วย อุละมายกหลักฐานสนับสนุนทัศนะของตนอันได้แก่ หลักการ لا
  • จะเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างศาสนาและวิทยาศาสตร์ได้อย่างไร?
    8740 ปรัชญาของศาสนา 2554/07/16
    ผู้ที่คิดว่าศาสนาและวิทยาศาสตร์ไม่อาจจะปรับเข้าหากันได้แสดงว่าไม่เข้าใจธรรมชาติของศาสนาเทวนิยมโดยเฉพาะศาสนาอิสลามอีกทั้งไม่เข้าใจว่าพื้นที่คำสอนของศาสนาและพื้นที่ความรู้ของวิทยาศาสตร์ก็แยกออกเป็นเอกเทศ เมื่อพื้นที่ต่างกันก็ย่อมไม่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นคำสอนของศาสนามีอิทธิพลต่อมนุษย์ในสามพื้นที่ด้วยกันนั่นคือความสัมพันธ์กับตนเองความสัมพันธ์กับผู้อื่น(สังคมและสิ่งแวดล้อม) และความสัมพันธ์กับพระเจ้า และในฐานะที่อิสลามถือเป็นศาสนาที่ครบถ้วนสมบูรณ์มากที่สุดได้สนองตอบความต้องการของมนุษย์ทุกยุคสมัยด้วยกระบวนการที่เรียกว่า “อิจญ์ติฮาด”ซึ่งได้รับการวางรากฐานโดยวงศ์วานศาสดามุฮัมมัดส่วนเทคโนโลยีนั้นมีอิทธิพลเพียงในพื้นที่แห่งประสาทสัมผัสและมีไว้เพื่อค้นพบศักยภาพของโลกและจักรวาลที่ซ่อนอยู่ตลอดจนเพื่อประดิษฐ์เครื่องมือในการใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่าจากเนียะอฺมัตของอัลลอฮ์เท่านั้น จึงกล่าวได้ว่านวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ช่วยแผ่ขยายพื้นที่ในการตรากฏเกณฑ์ศาสนาให้กว้างยิ่งขึ้นเพราะในทัศนะอิสลามแล้วสามารถจะวินิจฉัยปัญหาใหม่ๆได้โดยใช้กระบวนการอิจญ์ติฮาดและอ้างอิงขุมความรู้ทางฟิกเกาะฮ์. ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    59395 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    56845 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    41676 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    38429 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38422 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    33454 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    27541 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27239 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27136 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25214 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...