การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
8797
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/11/09
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1535 รหัสสำเนา 18289
คำถามอย่างย่อ
มุศฮัฟฟาฏิมะฮ์คืออะไร? ท่านนบี(ซ.ล.)และบรรดาอะฮ์ลุลบัยต์ทราบเรื่องนี้หรือไม่?
คำถาม
เชคกุลัยนีกล่าวไว้ในหนังสืออัลกาฟีย์,เล่ม1,หน้า239 ว่า "สหายของเราบางท่านรายงานจากอะห์มัด บิน มุฮัมมัด จากอับดุลลอฮ์ บิน ฮัจญ้าล จากอะห์มัด บิน อุมัร ฮะละบี จากอบูบะศี้ร รายงานว่า ตนได้เข้าพบท่านอิมามศอดิก(อ.)และกล่าวกับท่านว่า "ท่านขอรับ กระผมต้องการถามปัญหาสักข้อหนึ่ง ไม่ทราบว่าในที่นี้มีผู้ใดได้ยินเสียงกระผมหรือไม่?" ท่านอิมาม(อ.)เปิดม่านดูว่าไม่มีผู้ใดอยู่ จึงกล่าวว่า "เชิญถามมาเถิด" ฉันเอ่ยว่า "ท่านขอรับ ...ฯลฯ" ท่านหยุดนิ่งชั่วครู่ แล้วเอ่ยขึ้นว่า "มุศฮัฟฟาฏิมะฮ์อยู่ ณ เรา คนทั่วไปจะรู้อะไรเกี่ยวกับมุศฮัฟฟาฏิมะฮ์!" ฉันจึงถามว่า "แล้วมุศฮัฟฟาฏิมะฮ์คืออะไรหรือครับ?" ท่านตอบว่า "เป็นรูปเล่มที่หนาสามเท่าของกุรอานที่มีอยู่ทั่วไป ขอสาบานต่อพระองค์ ในเล่มนี้ไม่มีแม้คำเดียวที่เป็นกุรอาน" ฉันกล่าวว่า "ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ นี่แหล่ะคือวิชาการที่สมบูรณ์" ท่านตอบว่า "นี่ก็เป็นคลังวิชาการ แต่มิไช่ความรู้อันสมบูรณ์"
คำถามก็คือ ท่านนบี(ซ.ล.)และเศาะฮาบะฮ์ทราบหรือไม่ว่ามุศฮัฟฟาฏิมะฮ์มีอยู่จริง? หากท่านนบี(ซ.ล.)ไม่ทราบเรื่องนี้ เหตุใดอะฮ์ลุลบัยต์ของท่านจึงทราบ แต่ท่านกลับไม่ทราบทั้งที่เป็นศาสดา? แต่ถ้าท่านทราบเรื่องนี้ เหตุใดจึงปกปิดอุมมัตของท่าน ทั้งที่อัลลอฮ์ตรัสว่า "โอ้ศาสนทูต จงเผยแพร่สิ่งที่ประทานแก่เจ้าจากพระผู้อภิบาลของเจ้า(อย่างสมบูรณ์) มาตรว่าเจ้าไม่ปฏิบัติ เท่ากับว่ามิได้ปฏิบัติภารกิจใดๆที่ได้รับจากพระองค์เลย"
คำตอบโดยสังเขป

มุศฮัฟฟาฏิมะฮ์ เป็นชื่อหนังสือที่บันทึกโดยท่านอิมามอลี(.)ภายหลังนบีวะฝาตไปแล้ว เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้เป็นข้อมูลที่ญิบรออีลหรือมะลาอิกะฮ์องค์หนึ่งถ่ายทอดแก่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ซึ่งกล่าวถึงเหตุการณ์ในอนาคต ตลอดจนความเร้นลับของอาลิมุฮัมมัด(..) หนังสือเล่มนี้ถือเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของตำแหน่งอิมาม และเป็นมรดกตกทอดระหว่างอิมาม ปัจจุบันอยู่ในครอบครองของท่านอิมามมะฮ์ดี(.)
เนื่องจากหนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นหลังท่านนบี(..) จึงไม่มีฮะดีษใดๆจากนบีเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่มิได้หมายความว่าท่านจะไม่ทราบเรื่องนี้ เพราะเราเชื่อว่าท่านสามารถหยั่งรู้อนาคตได้ด้วยอิทธิฤทธิ์แห่งอัลลอฮ์ อย่างไรก็ดี เนื่องจากหนังสือเล่มนี้เป็นสัญลักษณ์ของผู้ดำรงตำแหน่งอิมามเท่านั้น บุคคลทั่วไปจึงไม่อาจจะล่วงรู้เนื้อหาภายในได้

คำตอบเชิงรายละเอียด

มุศฮัฟฟาฏิมะฮ์คืออะไร?
มุศฮัฟแปลว่าเอกสารชุดที่มีการรวมเล่มขนาบด้วยปกสองด้าน ฉะนั้นจึงสามารถเรียกหนังสือทั่วไปว่ามุศฮัฟได้ บรรพชนมุสลิมยุคแรกก็เรียกกุรอานว่ามุศฮัฟ[1]
ตำราอิสลามมีการกล่าวถึงหนังสือที่บรรดามะอ์ศูมีนครอบครองเป็นการเฉพาะ บุคคลเหล่านี้เป็นกลุ่มเดียวที่รู้ถึงเนื้อหาภายใน หนังสือเหล่านี้อาทิเช่น กิตาบอลี(.), มุศฮัฟอลี(.) และมุศฮัฟฟาฏิมะฮ์(.)
แหล่งอ้างอิงบางเล่มเรียกหนังสือเล่มท้ายสุดว่ามุศฮัฟฟาฏิมะฮ์, เศาะฮีฟะฮ์ ฟาฏิมะฮ์, กิตาบฟาฏิมะฮ์[2] อย่างไรก็ดี มีรายงานไม่น้อยที่กล่าวถึงหนังสือเล่มนี้ บางรายงานไม่น่าเชื่อถือนัก แต่บางรายงานมีสายรายงานที่เศาะฮี้ห์ ทำให้พอจะมั่นใจได้ว่าหนังสือเล่มนี้มีจริง แม้แต่ละรายงานจะแตกต่างกันเกี่ยวกับรายละเอียดปลีกย่อยของหนังสือก็ตาม

มุศฮัฟฟาฏิมะฮ์บันทึกอย่างไร?
ภายหลังการวะฝาตของท่านนบี(..) ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ บุตรีของท่านระทมทุกข์ด้วยความอาลัยอย่างยิ่ง การจากไปของบิดายังความทุกข์โศกอย่างหนักแก่เธอ
มีฮะดีษที่น่าเชื่อถือรายงานว่า มีมะลาอิกะฮ์องค์หนึ่งได้รับภารกิจให้ลงมาปลอบโยนเธอตั้งแต่หลังนบีวะฝาตจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตเธอ บางฮะดีษระบุว่ามะลาอิกะฮ์องค์นี้ก็คือญิบรออีล[3] ซึ่งได้แจ้งความเป็นอยู่ของท่านนบี(..)ในอาลัมบัรซัค ตลอดจนเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งนี้มีฮะดีษจากท่านอิมามศอดิก(.)กล่าวว่า
"
หลังจากท่านนบี(..)วะฝาตไป ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์โศกสลดต่อการสูญเสียบิดาเป็นอย่างยิ่ง อัลลอฮ์เท่านั้นที่ทรงทราบขีดความทุกข์ระทมของเธอ พระองค์จึงส่งมะลาอิกะฮ์องค์หนึ่งมาเพื่อปลอบโยนเธอให้คลายความเศร้าตรม ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(.)ได้เล่าให้ท่านอิมามอลี(.)ทราบ และท่านอิมามอลี(.)ได้จดบันทึกไว้ นี่คือที่มาของการเรียบเรียงมุศฮัฟฟาฏิมะฮ์"[4]
จากฮะดีษข้างต้นทำให้ทราบว่า มุศฮัฟนี้เรียบเรียงขึ้นโดยท่านอิมามอลี(.)ภายหลังนบี(..)วะฝาต มีเนื้อหาเป็นถ้อยคำของมะลาอิกะฮ์ที่กล่าวแก่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(.) อย่างไรก็ดี ฮะดีษอีกชุดหนึ่งซึ่งมีจำนวนน้อยกว่าฮะดีษชุดข้างต้นระบุว่ามุศฮัฟนี้บันทึกในสมัยที่ท่านนบี(..)ยังมีชีวิตอยู่ โดยซัยยิด ญะฟัร มุรตะฎอ อามิลี ได้พยายามรวมสองทัศนะเข้าด้วยกันว่า อาจจะเริ่มบันทึกตั้งแต่สมัยท่านนบี(..)และดำเนินเรื่อยมาแม้หลังนบีวะฝาตก็เป็นได้[5]

ประเด็นการสนทนาระหว่างมะลาอิกะฮ์กับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ไม่ไช่เรื่องเหลือเชื่อ กุรอานก็กล่าวไว้ว่า "และเมื่อมวลมะลาอิกะฮ์กล่าวว่า โอ้มัรยัม อัลลอฮ์ทรงเลือกสรรเธอ และชำระเธอ และคัดเลือกเธอให้เหนือกว่าเหล่าอิสตรี"[6] ท่านหญิงมัรยัมได้รับเกียรติถึงเพียงนี้เพราะเป็นนายหญิงของอิสตรีในยุคของนาง ฉะนั้นจึงไม่ไช่เรื่องแปลกที่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ผู้เป็นประมุขหญิงของเหล่าอิสตรีนับแต่คนแรกจนถึงคนสุดท้ายจะได้รับเกียรติเช่นนี้เช่นกัน

เนื้อหาของมุศฮัฟฟาฏิมะฮ์(.)
เมื่อพิจารณาถึงฮะดีษที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทำให้สามารถจำแนกเนื้อหาของมุศฮัฟได้ดังนี้
1. เรื่องราวในอนาคต[7]
2. คำสั่งเสียของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์[8]
3. รายนามของผู้ที่จะขึ้นครองอำนาจจวบจนถึงวันกิยามะฮ์[9]
4.
ข่าวคราวเกี่ยวกับบุตรหลานของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์[10]
5. ข่าวคราวเกี่ยวกับท่านนบี(..)ภายหลังจากวะฝาต[11]
ตัวอย่างฮะดีษเกี่ยวกับเรื่องนี้:
ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(.)มีชีวิตอยู่ภายหลังท่านนบี(..)เพียง 75 วัน ระหว่างนี้เธอโศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างยิ่งต่อการจากไปของผู้เป็นบิดา ช่วงเวลานี้เองที่ญิบรออีล(.)หมั่นมาเยี่ยมเยียนเธอ และแสดงความเสียใจตลอดจนปลอบประโลมเธอให้คลายความเศร้าหมอง โดยได้เล่าความเป็นอยู่ของท่านนบี(..)และสถานะของท่านในอาลัมบัรซัค อีกทั้งเล่าความเป็นไปของบุตรหลานของนางในอนาคต โดยที่อิมามอลี(.)ได้จดบันทึกคำบอกเล่าดังกล่าวไว้ กระทั่งเรียบเรียงเป็นมุศฮัฟฟาฏิมะฮ์"[12]

บรรดาอิมาม(.)เน้นย้ำถึงความแตกต่างระหว่างกุรอานและมุศฮัฟฟาฏิมะฮ์
เมื่อพิจารณาฮะดีษบางบท ทำให้เข้าใจว่าพี่น้องอะฮ์ลิสซุนนะฮ์รู้จักมุศฮัฟนี้ตั้งแต่ยุคแรกๆ โดยคิดไปว่าชีอะฮ์เชื่อว่า โองการกุรอานที่ถูกบิดเบือนและตัดทอนออกไปได้รับการรวบรวมไว้ในมุศฮัฟฟาฏิมะฮ์ ด้วยเหตุนี้ บรรดาอิมาม(.)จึงปฏิเสธอย่างแข็งขันว่าไม่มีโองการกุรอานใดๆอยู่ในมุศฮัฟนี้[13] อัลลามะฮ์ อัสกะรี กล่าวว่า "นักเขียนชาวอะฮ์ลิสซุนนะฮ์บางท่านได้ใส่ใคล้ผู้เลื่อมใสในสายธารอะฮ์ลุลบัยต์ว่ามีกุรอานอีกเล่มหนึ่งนามว่า มุศฮัฟฟาฏิมะฮ์ ทั้งนี้ก็เนื่องจากตำราเล่มนี้ชื่อมุศฮัฟ ซึ่งไปพ้องกับที่มุสลิมในยุคแรกเรียกกุรอานว่ามุศฮัฟ"[14] มีฮะดีษจากอิมามศอดิก(.)ระบุว่า "ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ มุศฮัฟฟาฏิมะฮ์อยู่  เรา ซึ่งไม่มีโองการกุรอานในนี้เลยแม้แต่โองการเดียว"[15]

สัญลักษณ์แห่งอิมามัต
มีฮะดีษที่ค่อนข้างยาวจากอิมามริฎอ(.)กล่าวถึงสัญลักษณ์ของอิมามว่า "สัญลักษณ์หนึ่งของอิมามก็คือการมีมุศฮัฟฟาฏิมะฮ์ไว้ในครอบครอง"[16] ท่านอิมามศอดิก(.)กล่าวว่า "ก่อนที่ท่านอิมามบากิร(.)จะเป็นชะฮีดนั้น ท่านได้มอบมุศฮัฟฟาฏิมะฮ์แก่ฉัน"[17]
มุศฮัฟนี้ส่งทอดกันมาระหว่างอิมามจากรุ่นสู่รุ่น และปัจจุบันอยู่ในครอบครองของท่านอิมามมะฮ์ดี(.)

ท่านนบี(..)ทราบเกี่ยวกับมุศฮัฟหรือไม่?
เนื่องจากฮะดีษมากมายระบุว่ามุศฮัฟฟาฏิมะฮ์(.)เรียบเรียงขึ้นในยุคอิมามอลี(.)ภายหลังนบี(..)วะฝาตไปแล้ว จึงไม่มีการเอ่ยถึงมุศฮัฟดังกล่าวในวจนะของท่านนบี(..) อย่างไรก็ดี มิได้หมายความว่าท่านไม่อาจจะล่วงรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ ทั้งนี้ก็เพราะเราเชื่อว่าท่านนบี(..)มีความสามารถที่จะทราบเรื่องราวในอนาคตด้วยพลานุภาพจากอัลลอฮ์ กุรอานระบุว่าท่านเป็นประจักษ์พยานที่สามารถล่วงรู้การทุกกระทำและเหตุการณ์ได้ สรุปคือ มุศฮัฟฟาฏิมะฮ์คือหนึ่งในสัญลักษณ์ของอิมาม และอิมามเท่านั้นที่มีสิทธิ์ครอบครอง
อย่างไรก็ดี หากเป็นไปตามเนื้อหาของฮะดีษบางบทที่ระบุว่ามุศฮัฟมีมาตั้งแต่สมัยท่านนบี(..)และเรียบเรียงขึ้นโดยคำบอกเล่าของท่าน แน่นอนว่าท่านย่อมทราบเรื่องนี้ดี

ประเด็นที่ควรพิจารณาก็คือ มุศฮัฟฟาฏิมะฮ์มิไช่โองการกุรอาน ที่ท่านนบี(..)จะมีหน้าที่ต้องเผยแพร่เนื้อหาให้สาธารณชนทราบ อีกทั้งท่านนบี(..)เองก็ไม่มีโอกาสจะสอนสั่งทุกสิ่งทุกอย่างในช่วงชีวิตของท่าน ทำให้ต้องส่งมอบภารกิจเหล่านี้แก่วงศ์วานของท่านแทน[18] ฉะนั้น การที่ท่านนบี(..)มิได้แจ้งเกี่ยวกับมุศฮัฟให้ประชาชาติของท่านทราบ ไม่ได้หมายความว่าท่านไม่ทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้



[1] ลิซานุ้ลอรับ,เล่ม 9,หน้า186

[2] อิบนิ บาบะวัยฮ์,อัลอิมามะฮ์วัลตั้บศิเราะฮ์,หน้า12

[3] อัลกาฟีย์,เล่ม 1,หน้า 241

[4] เพิ่งอ้าง,เล่ม 1,หน้า 238

[5] ซัยยิดญะฟัร มุรตะฎอ,ค็อลฟีย้าต กิตาบ มะอ์ซาตุซซะฮ์รออ์,เล่ม 6,หน้า 57-58

[6] ซูเราะฮ์อาลิอิมรอน, 42

[7] อัลอิห์ติญ้าจ,เล่ม 2,หน้า 134

[8] เพิ่งอ้าง,เล่ม 1,หน้า 241

[9] เพิ่งอ้าง,เล่ม 2,หน้า 134

[10] อัลกาฟีย์,เล่ม 1,หน้า 241

[11] เพิ่งอ้าง

[12] เพิ่งอ้าง

[13] มัฆนียะฮ์,มุฮัมมัด ญะว้าด,อัชชีอะฮ์ ฟิ้ลมีซาน,หน้า 61

[14] มะอาลิมุ้ลมัดเราะสะตัยน์,เล่ม 2,หน้า 32

[15] อัลกาฟีย์,เล่ม 1,หน้า 238

[16] มันลายะฮ์ฎุรุฮุ้ลฟะกี้ฮ์,เล่ม 4,หน้า 419

[17] บิฮารุลอันว้าร,เล่ม 26,หน้า 47

[18] ดังที่ปรากฏในฮะดีษษะเกาะลัยน์อันน่าเชื่อถือ إِنِّی تَارِکٌ فِیکُمُ الثَّقَلَیْنِ مَا إِنْ تَمَسَّکْتُمْ بِهِمَا لَنْ تَضِلُّوا کِتَابَ اللَّهِ وَ عِتْرَتِی أَهْلَ بَیْتِی وَ إِنَّهُمَا لَنْ یَفْتَرِقَا حَتَّى یَرِدَا عَلَیَّ الْحَوْضَ วะซาอิลุชชีอะฮ์,เล่ม 27,หน้า 33

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

คำถามสุ่ม

  • แต่งงานมา 8 ปีและไม่เคยชำระคุมุสเลย กรุณาให้คำแนะนำด้วย
    5545 สิทธิและกฎหมาย 2555/03/18
    สำนักงานของท่านอายาตุลลอฮ์อุซมา ซิซตานี วันแรกของการทำงานถือว่าเป็นต้นปีของการชำระคุมุส และในวันครบรอบวันนั้นของทุก ๆ ปีจำเป็นที่จะต้องชำระคุมุสในสิ่งที่เหลือใช้ ไม่ว่าจะเป็นเงินสดหรือสิ่งของก็ตาม เช่นข้าวสารอาหารแห้ง ข้าวของเครื่องใช้และเสื้อผ้าที่เหลือใช้เป็นต้น หากภายในหนึ่งปีไม่ได้ใช้สิ่งของเหล่านั้น และหากปีก่อน ๆ ไม่ได้คำนวนและชำระคุมุสก็จะต้องทำเช่นนี้ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ดี จะต้องชำระย้อนหลังในส่วนที่หลงเหลือมาจนทบปีใหม่ซึ่งเผอิญใช้ชำระไปทั้งที่ยังไม่ได้ชำระคุมุสของปีก่อนๆ และหากไม่แน่ใจว่าคุมุสที่ค้างอยู่นั้นมีจำนวนเท่าใด จะต้องชำระในจำนวนที่แน่ใจไว้ก่อน ถึงแม้ว่าจะทยอยชำระก็ตาม และอิฮ์ติยาฏวาญิบจะต้องเจรจากับตัวแทนของมัรญะอ์เกี่ยวกับจำนวนคุมุสที่คลุมเคลือด้วย อย่างเช่น หากสันนิษฐานในระดับ 50 เปอร์เซนต์ว่าต้องชำระคุมุสจำนวนหนึ่ง ก็สามารถชำระครึ่งหนึ่งของคุมุสจำนวนนั้น และหากเป็นบ้าน, ของใช้ในบ้าน, รถ หรือของใช้อื่น ๆ ซึ่งได้ซื้อมาด้วยกับเงินที่ได้มาในตลอดทั้งปี และได้ใช้อยู่เป็นประจำก็จะถือว่าไม่ต้องชำระคุมุสแต่อย่างใด สำนักงานท่านอายาตุลลอฮ์อุซมา มะการิม ชีรอซี ไม่จำเป็นที่จะต้องชำระเงินคุมุสของบ้านและเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมด อีกทั้งยานพาหนะ (ถ้ามี) ให้คำนวนของใช้ที่เหลือและหักลบหนี้สินที่เกี่ยวข้องออกไป สามารถชำระคุมุสจากเงินที่เหลือทั้งหมดด้วยเงินสดหรือเงินผ่อนได้
  • สายรายงานของฮะดีษที่ท่านอิมามอลี(อ.)กล่าวแก่ชาวอรับเกี่ยวกับชาวเปอร์เซียว่า“พวกท่าน(อรับ)รบกับพวกเขา(เปอร์เซีย)เพื่อให้ยอมรับการประทานกุรอาน แต่ก่อนโลกนี้จะพินาศ พวกเขาจะรบกับพวกท่านเพื่อการตีความกุรอาน”เชื่อถือได้เพียงใด?
    7372 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2554/09/11
    ในตำราฮะดีษมีฮะดีษชุดหนึ่งที่มีนัยยะถึงการที่ท่านอิมามอลี(อ.)กล่าวกับชาวอรับเกี่ยวกับชาวเปอร์เซียว่า “พวกท่าน(อรับ)รบกับพวกเขา(เปอร์เซีย)เนื่องด้วยการประทานกุรอานแต่ก่อนโลกนี้จะพินาศพวกเขาก็จะรบกับพวกท่านเนื่องด้วยการตีความกุรอาน”สายรายงานของฮะดีษบทนี้เชื่อถือได้ ...
  • อิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) ท่านใดที่อ่านดุอาอฺฟะรัจญฺ?
    8681 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/05/20
    คำว่า “ฟะรัจญฺ” (อ่านโดยให้ฟาเป็นฟัตตะฮฺ) ตามรากศัพท์หมายถึง »การหลุดพ้นจากความทุกข์โศกและความหม่นหมอง«[1] ตำราฮะดีซจำนวนมากที่กล่าวถึงดุอาอฺ และการกระทำสำหรับการ ฟะรัจญฺ และการขยายภารกิจให้กว้างออกไป ตามความหมายในเชิงภาษาตามกล่าวมา ในที่นี้ จะขอกล่าวสักสามตัวอย่างจากดุอาอฺนามว่า ดุอาอฺฟะรัจญฺ หรือนมาซซึ่งมีนามว่า นมาซฟะรัจญฺ เพื่อเป็นตัวอย่างดังต่อไปนี้ : หนึ่ง. ดุอาอฺกล่าวโดย ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ชื่อว่าดุอาอฺ ฟะรัจญฺ [2]«اللَّهُمَّ إِنِّي أَسْأَلُكَ يَا اللَّهُ ...
  • บางครั้งอัลกุรอานได้กล่าวแก่ท่านศาสดาของพระองค์ว่า เจ้ามิใช่ผู้รับผิดชอบอีมานของประชาชน และประเด็นเหล่านี้ขัดแย้งกับการญิฮาดอิบติดาอียฺ หรือไม่ ?
    6213 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/04/21
    ทัศนะของอัลกุรอานเกี่ยวกับการญิฮาดมี 2 ลักษณะกล่าวคือญิฮาดอิบติดาอียฺหรือญิฮาดดะฟาอ์ทั้งสองมีวัตถุประสงค์คือฟื้นฟูสิทธิความเป็นมนุษย์และสิทธิของเตาฮีดซึ่งถือได้ว่าเป็นสิทธิของมนุษย์ที่มีความสำคัญยิ่งเตาฮีดจัดว่าเป็นขบวนการธรรมชาติที่สุดซึ่งอิสลามได้กำหนดญิฮาดขึ้นมาก็เพื่อปกป้องสิทธิเหล่านี้ดังนั้นการญิฮาดในอิสลามจึงได้รับอนุญาตทำนองเดียวกันการกำชับความดีและห้ามปรามความชั่วก็อยู่ในทิศทางเดียวกันด้วยเหตุนี้
  • มีคำอรรถาธิบายอย่างไรเกี่ยวกับโองการที่เก้า ซูเราะฮ์ญิน?
    11010 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/04/02
    นักอรรถาธิบายกุรอานแสดงทัศนะเกี่ยวกับโองการประเภทนี้แตกต่างกัน นักอรรถาธิบายยุคแรกส่วนใหญ่เชื่อว่าควรถือตามความหมายทั่วไปของโองการ แต่“อาลูซี”ได้หักล้างแนวคิดดังกล่าวพร้อมกับนำเสนอคำตอบไว้ในตำราอธิบายกุรอานของตน นักอรรถาธิบายบางคนอย่างเช่นผู้ประพันธ์ “ตัฟซี้รฟีซิล้าล”ข้ามประเด็นนี้ไปอย่างง่ายดายเพราะเชื่อว่าโองการประเภทนี้เป็นเนื้อหาที่พ้นญาณวิสัยของมนุษย์ ส่วนบางคนก็อธิบายลึกซึ้งกว่าความหมายทั่วไป โดยเชื่อว่าฟากฟ้าที่เป็นเขตพำนักของเหล่ามลาอิกะฮ์นี้ เป็นมิติที่พ้นญาณวิสัยที่มีสถานะเหนือกว่าโลกของเรา ส่วนการที่กลุ่มชัยฏอนพยายามเข้าใกล้ฟากฟ้าดังกล่าวเพื่อจารกรรมข้อมูล จึงถูกกระหน่ำด้วยอุกกาบาตนั้น หมายถึงการที่เหล่าชัยฏอนต้องการจะเข้าสู่มิติแห่งมลาอิกะฮ์เพื่อจะทราบถึงเหตุการณ์ในอนาคต แต่ก็ถูกขับไล่ด้วยลำแสงของมิติดังกล่าวซึ่งชัยฏอนไม่สามารถจะทนได้ ...
  • เป็นไปได้หรือไม่ที่สังคมคนบาปจะรอดพ้นหรือได้รับการชลออะซาบเนื่องจากมีคนดีอาศัยอยู่ไม่กี่คน?
    5983 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/18
    กุรอานและฮะดีษสอนว่า มีปัจจัยบางประการที่ช่วยชลอหรือขจัดปัดเป่าอะซาบให้พ้นจากสังคม ในที่นี้ขอหยิบยกมานำเสนอบางประการดังต่อไปนี้:หนึ่ง. การที่สังคมยังมีท่านนบี หรือผู้ขออภัยโทษอาศัยอยู่:  وَماکانَاللَّهُلِیُعَذِّبَهُمْ
  • มีวิธีใดบ้างที่จะทำให้สามีภรรยาเข้าใจกันและกัน
    7926 จริยธรรมทฤษฎี 2555/09/15
    ความซื่อสัตย์คือต้นทุนที่สำคัญที่สุดของชีวิตคู่ ในทางตรงกันข้าม ภัยคุกคามที่ร้ายแรงที่สุดที่ก่อให้เกิดความร้าวฉานระหว่างคู่รักก็คือความไม่ไว้วางใจและการหลอกลวงกัน จากที่คุณถามมา พอจะสรุปได้ว่าคุณสองคนขาดความไว้วางใจต่อกัน ขั้นแรกจึงต้องทำลายกำแพงดังกล่าวเสียก่อน วิธีก็คือ จะต้องหาต้นตอของความไม่ไว้วางใจให้ได้ แล้วจึงสะสางให้เป็นที่พึงพอใจทั้งสองฝ่าย ซึ่งหากเสริมสร้างความไว้วางใจได้สำเร็จ ไม่ว่าคุณไสยหรือเวทมนตร์คาถาใดๆก็ไม่อาจจะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับภรรยาได้อีก ...
  • การปรากฏกายชั้นศุฆรอเป็นหัวข้อหนึ่งในหลักมะฮ์ดะวียัตหรือไม่?
    5863 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/03/07
    การปรากฏกายชั้นศุฆรอเป็นสำนวนที่เกี่ยวโยงกับการเร้นกายขั้นศุฆรอ ซึ่งต้องการจะสื่อว่า ในเมื่อท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)เคยมีการเร้นกายขั้นศุฆรอ(เล็ก)ก่อนการเร้นกายขั้นกุบรอ(ใหญ่) ก็ย่อมจะมีการปรากฏกายชั้นศุฆรอก่อนจะปรากฏกายขั้นกุบรอระดับโลกเช่นกัน อนึ่ง สำนวนดังกล่าวไม่มีพื้นเพจากฮะดีษใดๆ ...
  • ผมทำงานอยู่ในร้านค้าแห่งหนึ่ง วันหนึ่งเจ้าของร้านตัดสินใจไล่ผมออกจากงาน แต่ไม่ได้จ่ายค่าจ้างที่เหลือให้ผม อนุญาตหรือไม่ที่จะหยิบฉวยของในร้านหรือทรัพย์สินของเขาทดแทนค่าจ้างที่เขายังไม่ได้จ่ายให้ผม ?
    5749 สิทธิและกฎหมาย 2555/02/09
    คำถามของคุณได้ถูกส่งไปยังสำนักงานมัรญะอ์ตักลีดหลายท่านแล้วและได้คำตอบมาดังนี้ท่านอายาตุลลอฮ์อัลอุซมาคอเมเนอี“การกระทำในลักษณะตอบโต้ลูกหนี้จะเป็นที่อนุมัติก็ต่อเมื่อลูกหนี้อ้างโดยมิชอบว่าตนไม่ได้เป็นหนี้หรือขัดขืนไม่ยอมจ่ายหนี้โดยไม่มีทางอื่นที่จะทวงหนี้ได้นอกจากวิธีนี้แต่หากนอกเหนือจากนี้แล้วการที่จะยึดและใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินของเขาโดยไม่ได้รับอนุญาตถือว่าไม่เป็นที่อนุมัติ”ท่านอายาตุลลอฮ์อัลอุซมาซีซตานี“หากเขาเป็นหนี้เราและไม่ยอมจ่ายหนี้ในกรณีที่เขายอมรับว่าเขาเป็นหนี้เราสามารถชดเชยสิ่งนี้ด้วยการริบทรัพย์สินของเขาที่พบเห็น”ท่านอายาตุลลอฮ์อัลอุซมามะการิมชีรอซี“เราไม่ทราบถึงเรื่องส่วนตัวดังกล่าวแต่โดยทั่วไปแล้วหากผู้ใดลิดรอนสิทธิผู้อื่น
  • การบริโภคเนื้อเต่าคือมีฮุกุมอย่างไร? ฮะลาลหรือฮะรอม?
    6551 สิทธิและกฎหมาย 2554/09/11
    การบริโภคเนื้อเต่าถือว่าเป็นฮะรอม[1]ในภาษาอาหรับเรียกเต่าว่า “ซุลฮะฟาต” และมีริวายะฮ์มากมายที่กล่าวว่าเป็นฮะรอม[2]

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    59392 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    56844 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    41675 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    38426 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38419 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    33450 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    27540 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27236 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27133 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25209 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...