การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
7846
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2550/10/02
คำถามอย่างย่อ
โองการตัฏฮีร กล่าวอยู่ในอัลกุรอานบทใด?
คำถาม
โองการตัฏฮีร กล่าวอยู่ในอัลกุรอานบทใด?
คำตอบโดยสังเขป

อัลกุรอาน โองการที่รู้จักกันเป็นอย่างดีหรือ โองการตัฏฮีร, โองการที่ 33 บทอัลอะฮฺซาบ.อัลกุรอาน โองการนี้อัลลอฮฺ ทรงอธิบายให้เห็นถึง พระประสงค์ที่เป็นตักวีนีของพระองค์ สำหรับการขจัดมลทินให้สะอาดบริสุทธิ์สมบูรณ์ แก่ชนกลุ่มหนึ่งนามว่า อะฮฺลุลบัยตฺ

อัลกุรอาน โองการนี้นับว่าเป็นหนึ่งในโองการทรงเกียรติยศยิ่ง เนื่องจากมีรายงานจำนวนมากเกินกว่า 70 รายงาน ทั้งจากฝ่ายซุนนีและชีอะฮฺ กล่าวถึงสาเหตุแห่งการประทานลงมา

จำนวนมากมายของรายงานเหล่านั้นอยู่ในขั้นที่ว่า ไม่มีความสงสัยอีกต่อไปเกี่ยวกับจุดประสงค์ของโองการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัตถุประสงค์ของโองการที่กล่าวเกี่ยวกับ อะฮฺลุลบัยตฺ ของท่านศาสดา (ซ็อล น) ซึ่งประกอบไปด้วย ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ ท่านอะลี ท่านฮะซัน และท่านฮุซัยนฺ (อ.) แม้ว่าโองการข้างต้นจะถูกประทานลงมา ระหว่างโองการที่กล่าวถึงเหล่าภริยาของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ก็ตาม แต่ดังที่รายงานฮะดีซและเครื่องหมายอื่นๆ ที่บ่งบอกถึงประเด็นดังกล่าวนั้น สามารถเข้าใจได้ว่า โองการข้างต้นและบทบัญญัติของโองการ มิได้เกี่ยวข้องกับบรรดาภริยาของท่านศาสดาแต่อย่างใด และการกล่าวถึงโองการที่มิได้เกี่ยวข้องกันไว้ในที่เดียวกัน เคยเกิดขึ้นแล้วครั้งหนึ่งในบทมาอิดะฮฺ โองการที่ 3 อันเป็นที่ยอมรับของนักตัฟซีรทั้งหลาย

คำตอบเชิงรายละเอียด

อัลกุรอาน บางโองการเนื่องจากมีคุณสมบัติพิเศษอันเฉพาะจะได้รับการตั้งชื่อไว้พิเศษ เช่น โองการตัฏฮีรเป็นต้น อัลกุรอาน โองการนี้อยู่ในบทอัลอะฮฺซาบ โองการที่ 33 สาเหตุที่ได้รับนามอันเป็นที่รู้จักกันดีนี้ เนื่องจากโองการดังกล่าวอัลลอฮฺ ทรงอธิบายถึงพระประสงค์อันเป็นตักวีนีของพระองค์ เกี่ยวกับอะฮฺลุลบัยตฺ เอาไว้นั่นเอง

ส่วนสาเหตุของการประทานโองการนี้ มีรายงานทั้งจากฝ่ายซุนนีและชีอะฮฺจำนวนมากกล่าวว่า, ท่านหญิงอุมมุซัลมะฮฺ ภรรยาคนหนึ่งของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า : โองการข้างต้นได้ถูกประทานลงมาที่บ้านของฉัน ซึ่งในวันนั้นที่บ้านของฉันมีฟาฏิมะฮฺ อะลี ฮะซัน และฮุซัยนฺ (อ.) อยู่กันอย่างพร้อมหน้า ซึ่งท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้เรียกพวกเขาให้เข้ามาอยู่ภายใต้ผ้าคุม, และเวลานั้นท่านกล่าวว่า : โอ้ อัลลอฮฺ พวกเขาคืออะฮฺลุลบัยตฺของฉัน โปรดขจัดความโสมมและความโสโครกทั้งหลายให้ห่างไกลจากพวกเขา[1]

ตรงนี้จำเป็นต้องกล่าวถึงสิ่งที่โองการได้ไว้เป็นการเฉพาะ ได้แก่ :

1.เมื่อสังเกตคำภาษาอรับที่อธิบายคำพูดตรงนี้, จะเห็นว่ามีคุณลักษณะอันเฉพาะเจาะจงพิเศษ 2 ประการ กล่าวคือ หนึ่งความเฉพาะพิเศษด้านประสงค์ของอัลลอฮฺ ที่ปรารถนาขจัดความโสมมและมลทินทั้งหลาย สองความเฉพาะพิเศษด้านความบริสุทธิ์ และการทำให้อะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) ห่างไกลจากมลทินและความโสมมทั้งหลาย[2]

2.จุดหมายของวัตถุประสงค์ของอัลลอฮฺจากโองการนี้คือ พระประสงค์ที่เป็นตักวีนี ซึ่งทรงประสงค์ให้อะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) สะอาดบริสุทธิ์ เนื่องจากพระประสงค์ที่เป็นตัชรีอียะฮฺ ของพระองค์นั้น ทรงประสงค์กับมนุษย์ทุกคนให้เป็นเช่นนั้น มิได้จำกัดเฉพาะคนใดคนหนึ่ง พระองค์จึงทรงประทานบรรดาศาสนทูต ศาสดา และคัมภีร์จากฟากฟ้าลงมาแก่พวกเขา เพื่อชี้นำทาง ขัดเกลา และสั่งสอนมนุษย์ ด้วยเหตุนี้เอง พระประสงค์ที่เป็นตัชรีอียฺ จึงครอลคุมทั่วไปมิได้ระบุเป็นการเฉพาะแต่อย่างใด

3.วัตถุประสงค์ของ อะฮฺลุลบัยตฺ ในโองการที่กำลังกล่าวถึง หมายถึงใคร? บางคนกล่าวว่า วัตถุประสงค์ของโองการที่กล่าวถึง อะฮฺลุลบัยตฺนั้นหมายถึงเหล่าภิริยาของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ด้วย พวกเขากล่าวว่าสามารถเข้าใจได้จากบริบทของโองการข้างเคียง เนื่องจากโองการทั้งก่อนและหลังจากโองการนี้ กล่าวถึงเหล่าภรรยาของท่านศาสดา ซึ่งไม่มีความหมายแต่อย่างใดที่ระหว่างโองการเหล่านั้น จะมีโองการเฉพาะประทานลงมา และมีวัตถุประสงค์ที่นอกเหนือไปจากบุคคลเหล่านั้น? บรรดานักตัฟซีรทั้งฝ่ายซุนนียฺและชีอะฮฺ ได้ตอบทัศนะดังกล่าวไว้โดยละเอียดในหนังสือตัฟซีรต่างๆ ซึ่งจะขอกล่าวคำตอบเหล่านั้นโดยสังเขปดังนี้ :

หนึ่ง โองการที่กำลังกล่าวถึงได้กล่าวถึงคำสรรพนามบุรุษที่สอง (อันกุม) หมายถึงท่านผู้เป็นผู้ชาย ขณะที่ภริยาของท่านศาสดาเป็นหญิง ดังนั้น การนำคำสรรพนามที่บ่งบอกถึงเพศชาย (อันกุม) มาใช้แทนคำสรรพนาม (อันกุนนะ) ซึ่งบ่งบอกถึงเพศหญิง ถือว่าไม่ถูกต้อง ด้วยเหตุนี้ จำเป็นต้องกล่าวว่า คำสรรพนามที่บ่งบอกถึงเพศชาย ในที่นี้กล่าวถึงกลุ่มชนเฉพาะ และเนื่องจากเพศชายมีจำนวนมากกว่า จึงได้นำเอาคำสรรพนามที่เป็นชายมากล่าว

สอง การเรียงลำดับและการใช้โองการลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นแล้วในอัลกุรอาน, เช่น ในช่วงท้ายโองการที่ 3 บทอัลมาอิดะฮฺ ซึ่งถ้าสังเกตจะเห็นว่าตอนช่วงตรงกลางของโองการ กล่าวถึงเรื่อง อาหารและการบริโภคที่ฮะรอม ทั้งที่โองการส่วนที่กล่าวถึงนั้นเป็นการประกาศความสมบูรณ์ของศาสนา อันเป็นสาเหตุทำให้เหล่าบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่างสิ้นหวังจากศาสนาของพระเจ้าไปตามๆ กัน

ท่านเฏาะบัรซียฺ กล่าวว่า : มิใช่เพียงแค่กรณีนี้กรณีเดียวเท่านั้น ที่โองการอัลกุรอานได้ถูกประทานลงมาเคียงข้างกัน แต่กล่าวถึงหัวข้อแตกต่างกัน, ซึ่งอัลกุรอานนั้นเต็มไปด้วยลักษณะเช่นนี้ ทำนองเดียวกันในคำพูดที่เป็นสำนวน และบทกวีอรับของพวกเขาก็เช่นเดียวกัน มีตัวอย่างทำนองนี้ให้เห็นอย่างมากมาย[3]

อีกด้านหนึ่งระหว่าง 70 รายงานที่อธิบายโองการนี้ ซึ่งรายงานโดยฝ่ายซุนนียฺ (จากสายรายงานของอุมมุซัลมะฮฺ,อาอิชะฮฺ, อบูสะอีด คุดรีย์, อิบนุอับบาส, เษาบาน, วาอิละฮฺ บิน อัสเกาะอฺ, อับดุลลอฮฺ บิน ญะอฺฟัร, อะลี (อ.), ฮะซัน บิน อะลี (อ.), และจากฝ่ายชีอะฮฺ ซึ่งรายงานมาจากท่านอิมามอะลี (อ.) และอิมามซัจญาด (อ.) อิมามบากิร (อ.) อิมามซอดิก (อ.) อิมามริฎอ (อ.), ท่านหญิงอุมมุซัลมะฮฺ. อบูซัร, อบูลัยลา, อบุลอัซวัด ดูอีลี, อุมัร บิน มัยมูน เอาดียฺ, สะอฺ บิน อบี วะกอซ, ซึ่งไม่มีแม้แต่รายงานเดียวที่กล่าวว่า โองการข้างต้นได้ลงมาโองการที่กล่าวถึงเรื่องภรรยาของท่านศาสดา, นอกจากนั้นไม่มีนักตัฟซีรคนใดอีกเช่นกันที่กล่าวทำนองนี้ แม้แต่บุคคลเฉกเช่น อุรวะฮฺ หรืออิกเราะมะฮฺ ก็มิได้กล่าวว่า โองการตัฏฮีรนั้นลงให้แก่บรรดาภริยาของท่านศาสดา หรือโองการดังกล่าวลงมาในเรื่องเดียวกันกับโองการก่อนหน้า[4]

รายงานจำนวนมากที่กล่าวไว้นั้น ทำให้เข้าใจได้เป็นอย่างดีว่าจุดประสงค์คือ บรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ ดังรายงานที่กล่าวว่า :

ฮากิม เนชาบูรี (อิมามนักรายงานฮะดีซฝ่ายซุนนี) กล่าวไว้ในมุสตัดร็อก เซาะฮียฺฮัยนฺ โดยรายงานมาจาก อับดุลลอฮฺ บิน ญะอฺฟัร หลังจากกล่าวถึงสาเหตุแห่งการประทานลงมาของโองการนี้แล้ว กล่าวว่า สายรายงานฮะดีซเหล่านี้ถูกต้อง, ท่านมุสลิมกล่าวไว้ในหนังสือเซาะฮียฺ, บัยฮะกียฺ กล่าวไว้ในซุนันกุบรอ, ฏ็อบรียฺ และอิบนุกะษีร และซุยูฎียฺ กล่าวไว้ในตัฟซีรของท่าน, ติรมิซียฺ กล่าวไว้ในเซาะฮียฺ, เฏาะฮาวียฺ กล่าวไว้ในมัชกะลิลอาษาร, ฮัยษัมมี กล่าวไว้ในมัจญฺมะอุซซะวาอิด, อะฮฺมัด บิน ฮันบัล กล่าวไว้ในมุสนัด ซึ่งทั้งหมดกล่าวถึงสาเหตุแห่งการประทานลงมาของโองการโดยรายงานมาจากสายรายงานที่แตกต่างกัน เช่น อุมมุซัลมะฮฺ, วาษิละฮฺ, อุมัร บิน อบีซัลมะฮฺ, และอาอิชะฮฺ, ซึ่งท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้ระบุถึงอะฮฺลุบัยตฺของท่านซึ่งประกอบด้วย ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ ท่านอะลี ท่านฮะซัน และท่านฮุซัยนฺ (อ.) โดยให้บุคคลเหล่านั้นเข้าไปอย่ภายใต้เสื้อคุมของท่าน[5] แม้แต่ในหนังสือติรมิซียฺ ในหมวดความประเสริฐของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (อ.), หนังสือตัฟซีรซุยูฎียฺ รายงานจากอบูสะอีด คุดรียฺ และหนังสือมัชกะลิลอาษาร ของเฏาะฮาวียฺ กล่าวว่า ท่านหญิงอุมมุซัลมะฮฺ หลังจากบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) ได้เข้าไปภายใต้เสื้อคุมของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) แล้ว เธอได้ขอเข้าไปอยู่ภายใต้เสื้อคุมนั้นด้วย โดยกล่าวว่า : โอ้ ท่านเราะซูลขอให้ฉันเข้าไปอยู่ในนั้นด้วยได้หรือไม่? ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ตอบว่า เธอจงอยู่ในที่ของเธอนั่นดีแล้ว (หมายถึงอย่าได้เข้ามาภายใต้เสื้อคุมนี้เลย)

สาม เมื่อพิจารณาคำว่า » ริจญฺซุน« ในโองการที่กำลังกล่าวถึง จะเห็นว่ามี อลีฟกับลามอยู่ด้วย ซึ่งตามหลักภาษาอรับถือว่าเป็น อลีฟลามญินซ์ หมายถึงบ่งบอกให้เห็นถึงประเภทของๆ สิ่งนั้น, ฉะนั้น ความหมายของโองการจึงหมายถึงว่า อัลลอฮฺทรงประสงค์ที่จะขจัดสิ่งโสโครกทุกประเภท ความต่ำทราม และความชั่วร้ายให้พ้นไปจากพวกเขา, ดังนั้น การขจัดอย่างสมบูรณ์เช่นนี้ถือว่าตรงกับความบริสุทธิ์ที่พระเจ้าทรงกล่าวถึง[6] ขณะที่ไม่มีผู้ใดกล่าวอ้างถึงความบริสุทธิ์ของบรรดาภริยาของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) แม้แต่คนเดียว, กล่าวคือมิมีผู้ใดกล่าวว่า เหล่าภริยาของท่านศาสดามีความบริสุทธิ์จากความผิดทั้งปวง หรือได้รับการยกเว้นจากความผิดพลาด ด้วยเหตุนี้เอง โองการข้างต้นจึงเป็นเหตุผลที่ยืนยันถึงความบริสุทธิ์ของบรรดาอิมาม (อ.)[7]

ด้วยเหตุนี้ จุดประสงค์ของอะฮฺลุลบัยตฺ ในโองการข้างต้นจึงหมายถึงบุคคลทั้งห้าท่าน หรือที่รู้จักกันในนามของ อาลิกีซา และกฎเกณฑ์ของโองการก็ระบุเฉพาะเจาะจงสำหรับพวกเขาเท่านั้น

ศึกษาเพิ่มเติมได้จากคำถามที่ 898, หัวข้อ : อะฮฺลุลบัยตฺ (อ.)

 


[1] ตัฟซีรอัลมีซาน ฉบับแปล, เล่ม 16, หน้า 457.

[2] อ้างแล้วเล่มเดิม, หน้า 462.

[3] เฏาะบัรซียฺ, มัจญฺมะอุลบะยาน, เล่ม 7, หน้า 560.

[4] อ้างแล้ว, หน้า 466

[5] โองการตัฏฮีร ดัรกุตุบ โด มักตับ, อัลลามะฮฺ ซัยยิด มุรตะฎอ อัซการียฺ, หน้า 12-20.

[6] ตัฟซีรอัลมีซาน ฉบับแปล, เล่ม 16, หน้า 467.

[7]  อ้างแล้วเล่มเดิม

 

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ศาสดาอาดัม (อ.) และฮะวามีบุตรกี่คน?
    14022 تاريخ بزرگان 2554/06/22
    เกี่ยวกับจำนวนบุตรของศาสดาอาดัม (อ.) และท่านหญิงฮะวามีความคล้ายคลึงกับเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ตลอดหน้าประวัติศาสตร์ที่ผ่านมานั่นหมายถึงไม่มีทัศนะที่จำกัดที่ตายตัวแน่นอนว่าต้องเป็นเช่นนั้นเพียงประการเดียวเนื่องจากตำราที่เชื่อถือได้ทางประวัติศาสตร์มีความขัดแย้งกันในเรื่องชื่อและจำนวนบุตรของท่านศาสดาการที่เป็นที่เช่นนี้อาจเป็นเพราะว่าช่วงเวลาที่ยาวนานของพวกเขากับช่วงเวลาการบันทึกเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์หรืออาจเป็นเพราะชื่อไม่มีความสำคัญสำหรับพวกเขาก็เป็นได้และฯลฯกอฎีนาซิรุดดีนบัยฏอวีย์ได้บันทึกไว้ในหนังสือของท่านเกี่ยวกับจำนวนบุตรของท่านศาสดาอาดัม (อ.) กับท่านหญิงฮะวากล่าวว่า:ทุกครั้งที่ท่านหญิงฮะวาตั้งครรภ์จะได้ลูกเป็นแฝดหญิงชายเสมอเขาได้เขียนไว้ว่าท่านหญิงฮะวาได้ตั้งครรภ์ถึง 120
  • ถ้าหากไม่ทราบว่าและได้รับประทานเนื้อฮะรอมไป จะมีความผิดอันใดบ้าง?
    6031 สิทธิและกฎหมาย 2554/11/21
    บุคคลใดหลังจากรับประทานอาหารแล้ว, เพิ่งจะรู้ว่านั่นเป็นอาหารฮะรอม, ถ้าหากไม่คิดว่าสิ่งนั้นจะฮะรอมประกอบกับมีสัญลักษณ์ของฮะลาลด้วยเช่นมาจากร้านของมุสลิม, มิได้กระทำบาปอันใด
  • ทัศนะของอุละมาอฺนักปราชญ์ทั้งหมดถือว่าการสูบบุหรี่ฮะรอมหรือไม่ ?
    7875 สิทธิและกฎหมาย 2554/09/25
    อิสลามได้ห้ามการกินการดื่มและการใช้ประโยชน์จากบางสิ่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพร่างกายและถ้าทุกสิ่งที่มีอันตรายมากการห้ามโดยปัจจัยสาเหตุก็ยิ่งทวีคูณมากยิ่งขึ้นจนกระทั่งถึงขึ้นฮะรอมด้วยซ้ำไปท่านอิมามโคมัยนี ...
  • จงอธิบายเหตุผลที่บ่งบอกว่าดนตรีฮะรอม
    10016 สิทธิและกฎหมาย 2554/10/22
    ดนตรีและเครื่องเล่นดนตรีตามความหมายของ ฟิกฮฺ มีความแตกต่างกัน. คำว่า ฆินา หมายถึง การส่งเสียงร้องจากลำคอออกมาข้างนอก โดยมีการเล่นลูกคอไปตามจังหวะ, ซึ่งทำให้ผู้ฟังเกิดประเทืองอารมณ์และมีความสุข ซึ่งมีความเหมาะสมกับงานประชุมที่ไร้สาระ หรืองานประชุมที่คร่าเวลาให้หมดไปโดยเปล่าประโยชน์ส่วนเสียงดนตรี หมายถึงเสียงที่เกิดจากการเล่นเครื่องตรี หรือการดีดสีตีเป่าต่างๆเมื่อพิจารณาอัลกุรอานบางโองการและรายงานฮะดีซ ประกอบกับคำพูดของนักจิตวิทยาบางคน, กล่าวว่าการที่บางคนนิยมกระทำความผิดอนาจาร, หลงลืมการรำลึกถึงอัลลอฮฺ, ล้วนเป็นผลในทางไม่ดีที่เกิดจากเสียงดนตรีและการขับร้อง ซึ่งเสียงเหล่านี้จะครอบงำประสาทของมนุษย์ ประกอบกับพวกทุนนิยมได้ใช้เสียงดนตรีไปในทางไม่ดี ดังนั้น สิ่งเหล่านี้อาจเป็นเหตุผลหนึ่งในเชิงปรัชญาที่ทำให้เสียงดนตรีฮะรอมเหตุผลหลักที่ชี้ว่าดนตรีฮะรอม (หรือเสียงดนตรีบางอย่างฮะลาล) คือโองการอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซจากท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ...
  • การรัจญฺอัตหมายถึงอะไร? ครอบคลุมบุคคลใดบ้าง? และจะเกิดขึ้นเมื่อใด?
    7519 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/09/25
    การรัจญฺอัตเป็นหนึ่งในความเชื่อของชีอะฮฺอิมามียะฮฺ, หมายถึงการกลับมายังโลกมนุษย์, ภายหลังจากได้ตายไปแล้วและก่อนที่จะถึงวันฟื้นคืนชีพซึ่งจะเกิดขึ้นภายหลังการปรากฎกายของท่านอิมามมะฮฺดียฺ (อ.)
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28477 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • ในทัศนะของอัลกุรอาน ความแตกต่างระหว่างอิบลิซ กับชัยฏอน คืออะไร?
    17851 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/09/08
    บนพื้นฐานของอัลกุรอาน,อิบลิซเป็นหนึ่งในหมู่ญิน เนื่องจากการอิบาดะฮฺอย่างมากมาย จึงทำให้อิบลิซได้ก้าวไปอยู่ในระดับเดียวกันกับมะลาอิกะฮฺ แต่หลังจากการสร้างอาดัม, อิบลิซได้ฝ่าฝืนคำสั่งของอัลลอฮฺ ไมยอมกราบอาดัม, จึงได้ถูกขับออกจากสวรรค์เนรมิตแห่งนั้น ส่วนชัยฏอนนั้นจะใช้เรียกทุกการมีอยู่ ที่แสดงความอหังการ ยโสโอหัง ละเมิด และฝ่าฝืน ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นมนุษย์ หรือญิน หรือสรรพสัตว์ก็ตาม ขณะเดียวกันอิบลิซนั้นได้ถูกเรียกว่าชัยฏอน ก็เนื่องจากโอหังและฝ่าฝืนคำสั่งของพระเจ้า ดังนั้น ถ้าจะกล่าวแล้ว “ชัยฏอน” เป็นนามโดยทั่วไป ซึ่งครอบคลุมเหนือทั้งอิบลิซ และไม่ใช่อิบลิซ ...
  • โปรดอธิบาย ปรัชญาของการกล่าวข้อผูกมัดนิกาห์ คืออะไร?
    8978 จริยศาสตร์ 2555/06/30
    ตามคำสอนของอิสลามการแต่งงานถือเป็นข้อตกลงที่ศักดิ์สิทธิ์ สำหรับการจัดตั้งครอบครัวและสิ่งที่ติดตามมาคือ, ระบบสังคม ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีผลสะท้อนและบทสรุปอย่างมากมาย เช่น : เพื่อตอบสนองความต้องการทางกามรมย์, ผลิตสายเลือดและรักษาเผ่าพันธุ์, สร้างความสมบูรณ์ในความเป็นมนุษย์, สร้างความสงบมั่นแก่จิตใจ, เป็นการรักษาความสะอาดบริสุทธิ์, เป็นการส่งเสริมความผูกพันให้มั่นคง และประเด็นอื่นๆ อีกมากมาย, ดังนั้น การจัดการข้อตกลงศักดิ์สิทธิ์นี้ให้สมประสงค์ได้, มีเพียงการปฏิบัติไปตามกฎเกณฑ์พื้นฐาน และเงื่อนไขอันเฉพาะที่อัลลอฮฺ ทรงกำหนดไว้เท่านั้น จึงจะเป็นไปได้. เช่น เงื่อนที่ว่านั้นได้แก่การกล่าวข้อผูกมัดนิกาห์ ด้วยคำพูดเฉพาะ (ดังกล่าวไว้ในหนังสือริซาละฮฺต่างๆ) พระผู้อภิบาลผู้ทรงเกรียงไกรในฐานะของ พระเจ้าผู้ทรงกำหนดกฎระเบียบ พระองค์คือผู้ทรงกำหนดคำพูดอันทรงเกียรติยิ่งนี้ และให้ความน่าเชื่อถือ พร้อมกับการเกิดขึ้นของคำพูดดังกล่าวในฐานะ อักดฺนิกาห์, จึงเป็นสาเหตุทำให้เกิดการเป็นสามีภรรยา ระหว่างชายกับหญิงขึ้น. การแต่งงานมิได้หมายถึง ความพอใจของสองฝ่ายเท่านั้น ทว่าเป็นความพึงพอใจและการยินยอมของทั้งสองฝ่าย อันถือว่าเป็นเงื่อนไขสำคัญยิ่งสำหรับการแต่งงาน ที่จะเกิดขึ้นพร้อมกับการอ่านอักดฺนิกาห์ปัจจุบันนี้ เพื่อให้การแต่งงานนั้นถูกต้องสมบูรณ์ตามหลักการชัรอียฺ. การแต่งงาน มิได้หมายถึงความพอใจของสองฝ่ายเท่านั้น ทว่าเป็นความพึงพอใจและยินยอมของทั้งสองฝ่าย อันถือว่าเป็นเงื่อนไขสำคัญสำหรับการแต่งงาน ...
  • ริวายะฮ์ที่กล่าวว่า “ในสมัยที่อิมามอลี (อ.) ปกครองอยู่ ท่านมักจะถือแซ่เดินไปตามถนนหนทางและท้องตลาดพร้อมจะลงโทษอาชญากรและผู้กระทำผิด” จริงหรือไม่?
    6813 สิทธิและกฎหมาย 2555/03/18
    สำนักงานท่านอายะตุลลอฮ์อัลอุซมา มะการิม ชีรอซี ริวายะฮ์ข้างต้นกล่าวถึงช่วงรุ่งอรุณขณะที่ท่านสำรวจท้องตลาดในเมืองกูฟะฮ์ และการที่ท่านมักจะพกแซ่ไปด้วยก็เนื่องจากต้องการให้ประชาชนสนใจและให้ความสำคัญกับกฏหมายนั่นเอง สำนักงานท่านอายะตุลลอฮ์อัลอุซมาศอฟีย์ กุลพัยกานี ริวายะฮ์ได้กล่าวไว้เช่นนั้นจริง และสิ่งที่อิมามอลี(อ.) ได้กระทำไปคือสิ่งที่จำเป็นต่อสถานการณ์ในยุคนั้น การห้ามปรามความชั่วย่อมมีหลายวิธีที่จะทำให้บังเกิดผล ดังนั้นจะต้องเลือกวิธีที่จะทำให้สังคมคล้อยตามความถูกต้อง คำตอบของท่านอายะตุลลอฮ์มะฮ์ดี ฮาดาวี เตหะรานี มีดังนี้ หากผู้ปกครองในอิสลามเห็นสมควรว่าจะต้องลงโทษผู้ต้องหาและผู้ร้ายในสถานที่เกิดเหตุ หลังจากที่พิสูจน์ความผิดด้วยวิธีที่ถูกต้อง และพิพากษาตามหลักศาสนาหรือข้อกำหนดที่ผู้ปกครองอิสลามได้กำหนดไว้ การลงทัณฑ์ในสถานที่เกิดเหตุถือว่าไม่ไช่เรื่องผิด และในการนี้ไม่จำเป็นต้องอ้างอิงริวายะฮ์ดังกล่าวแต่อย่างใด แต่รายงานที่ถูกต้องที่ปรากฏในตำราฮะดีษอย่าง กุตุบอัรบาอะฮ์[1] ก็คือ ท่านอิมามอลี (อ.) พกแซ่เดินไปตามท้องตลาดและมักจะตักเตือนประชาชนให้ระมัดระวังในเรื่องต่าง ๆ โดยไม่มีตำราเล่มใดบันทึกว่าอิมามอลี (อ.) เคยลงโทษผู้ใดในตลาด
  • ช่วงก่อนจะสิ้นลม การกล่าวว่า “อัชฮะดุอันนะ อาลียัน วะลียุลลอฮ์” ถือเป็นวาญิบหรือไม่?
    8294 สิทธิและกฎหมาย 2555/03/18
    หนึ่งในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของชีวิตคนเราคือช่วงที่เขากำลังจะสิ้นใจ เรียกกันว่าช่วง“อิฮ์ติฎ้อร” โดยปกติแล้วคนที่กำลังอยู่ในช่วงเวลานี้จะไม่สามารถพูดคุยหรือกล่าวอะไรได้ บรรดามัรญะอ์กล่าวถึงช่วงเวลานี้ว่า “เป็นมุสตะฮับที่จะต้องช่วยให้ผู้ที่กำลังจะสิ้นใจกล่าวชะฮาดะตัยน์และยอมรับสถานะของสิบสองอิมาม(อ.) ตลอดจนหลักความเชื่อที่ถูกต้องอื่นๆ”[1] ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า “การกล่าวชะฮาดะฮ์ตัยน์และการเปล่งคำยอมรับสถานะของสิบสองอิมามถือเป็นกิจที่เหมาะสำหรับผู้ที่ใกล้จะสิ้นใจ แต่ไม่ถือเป็นวาญิบ” [1] ประมวลปัญหาศาสนาของอิมาม อัลโคมัยนี (พร้อมภาคผนวก), เล่ม 1, หน้า 312 ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60556 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58146 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42674 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    40067 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39300 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34415 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28477 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28399 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28326 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26249 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...