การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
13036
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2550/12/13
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1912 รหัสสำเนา 27001
คำถามอย่างย่อ
เพราะอะไรปัญหาเรื่องการตกมุรตัด ระหว่างหญิงกับชายจึงมีกฎแตกต่างกัน?
คำถาม
เพราะเหตุใดเมื่อหญิงคนหนึ่งตกมุรตัด จึงไม่ถูกประหารชีวิต, แต่ถ้าชายคนหนึ่งตกมุรตัด เขาจึงถูกตัดสินประหารชีวิต?
คำตอบโดยสังเขป

อิสลามต้องการให้ผู้เข้ารับอิสลาม ได้ศึกษาข้อมูลและหาเหตุผลให้เพียงพอเสียก่อน แล้วจึงรับอิสลามศาสนาแห่งพระเจ้า ได้รับการชี้นำจากพระองค์ต่อไป แต่หลังจากยอมรับอิสลามแล้ว และได้ปล่อยอิสลามให้หลุดลอยมือไป จะเรียกคนนั้นว่าผู้ปฏิเสธศรัทธา และจะได้รับการลงโทษอย่างรุนแรง เนื่องจากสิ่งที่เขาทำจะกลายเป็นเครื่องมือมาต่อต้านอิสลามในภายหลัง และจะส่งผลกระทบในทางลบกับบรรดามุสลิมคนอื่นด้วย

แต่เมื่อพิจารณาความพิเศษต่างๆ ของสตรีและบุรุษแล้ว จะพบว่าทั้งสองเพศมีความพิเศษด้านจิตวิญญาณ จิตวิทยา และร่างกายต่างกัน ซึ่งแต่คนจะมีความพิเศษอันเฉพาะแตกต่างกันออกไป เช่น สตรีถ้าพิจารณาในแง่ของจิต จะเห็นว่าเป็นผู้ที่มีจิตใจเปี่ยมไปด้วยความรักและความสงสาร มีความรู้สึกอ่อนไหวเมื่อเทียบกับบุรุษ ดังนั้น กฎที่ได้วางไว้สำหรับบุรุษและสตรี จึงไม่อาจเท่าเทียมกันได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องกฎ ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าได้จัดตั้งกฎขึ้นโดยพิจารณาที่ เงื่อนไขต่างๆ และความพิเศษของพวกเขา พระองค์ทรงรอบรู้ถึงคุณลักษณะของปวงบ่าวทั้งหมด โดยสมบูรณ์ และทรงออกคำสั่งห้ามและคำสั่งใช้ บนพื้นฐานเหล่านั้น

มนุษย์นั้นมีความรู้เพียงน้อยนิด จึงไม่อาจเข้าใจถึงปรัชญาของความแตกต่าง ระหว่างบทบัญญัติทั้งสองได้โดยสมบูรณ์ เว้นเสียแต่ว่าความแตกต่างเหล่านั้น ได้ถูกอธิบายไว้ในโองการหรือในรายงานฮะดีซ ด้วยเหตุนี้ ระหว่างหญิงกับชายถ้าจะวางกฎเกณฑ์ โดยมิได้พิจารณาถึงความพิเศษต่างๆ ของพวกเขาถือว่าไม่ถูกต้อง และสิ่งนี้ก็คือสิ่งที่มนุษย์ได้ปฏิเสธมาโดยตลอด

คำตอบเชิงรายละเอียด

คำว่า เอรติดาด มาจากคำว่า “ร็อด” ตามหลักภาษาแล้วหมายถึง การกลับ ส่วนในนิยามของศาสนาคือการกลับไปสู่สภาพผู้ปฏิเสธศรัทธา จึงได้เรียกว่า เอรติดาด หรือ ร็อด[1] นักค้นคว้าบางคนเชื่อว่า เอรติดาด แม้ว่าจะหมายถึง การกลับ แต่ในความหมายของนักปราชญ์ คำนี้จะมีเงื่อนของการปฏิเสธแฝงอยู่ด้วย

ญาฮิด หมายถึงบุคคลที่ปฏิเสธความจริง ทั้งๆ ที่มีความรู้เกี่ยวกับความจริงนั้น หรืออย่างน้อยที่สุดมีความเคลือบแคลงใจต่อส่งนั้น ทั้งที่มีเหตุผลครบครันแต่ก็ยังปฏิเสธ[2]

ด้วยเหตุนี้เอง อิสลามจึงไม่ต้องการการปฏิบัติตามเยี่ยงคนตาบอด ไร้เหตุผล ทว่าเชื่อมั่นว่าการยืนหยัดด้วยเหตุผล และตรรกะจะช่วยทำให้บุคคลนั้น ห่างไกลจากความเคลือบแคลง หรือความสลับซับซ้อน และเมื่อเผชิญกับสิ่งเหล่านั้น เขาก็สามารถยืนหยัดบนเหตุผลของศาสนาได้[3]

อัลกุรอาน กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า : »หากว่ามีมุชริกคนใดได้ขอให้เจ้าคุ้มครอง เจ้าจงคุ้มครองเขาเถิด เพื่อว่าเขาจะได้รับฟังดำรัสของอัลลอฮฺ แล้วจงส่งเขาไปยังที่ปลอดภัย .. «[4]

ได้มีชายคนหนึ่งนามว่า “ซ็อฟวาน” ไปหาท่านเราะซูล (ซ็อลฯ) และเขาต้องการให้ท่านเราะซูลอนุญาตให้เขาอยู่ในมักกะฮฺ เป็นเวลา 2 เดือน เพื่อค้นคว้าเกี่ยวกับอิสลาม เพื่อว่าบางที่เขาอาจได้รับความจริง และความถูกต้องเกี่ยวกับอิสลาม แล้วจะได้ศรัทธา, ท่านเราะซูล (ซ็อลฯ) กล่าวว่า ฉันจะอนุญาตให้เจ้า 4 เดือน แทน 2 เดือน แล้วจะให้ความปลอดภัยแก่เจ้าด้วย[5]

อีกด้านหนึ่ง บทบัญญัติของอิสลาม ได้ถูกวางขึ้นโดยพิจารณาจากความถูกต้องเหมาะสม และความเสียหายที่แท้จริง แน่นอนว่าบทบัญญัติของ การตกมุรตัด ก็จัดอยู่ในประเภทนี้

อัลกุรอาน บางโองการ เช่น โองการที่ 217, บทบะเกาะเราะฮฺ, โองการที่ 72, บทอาลิอิมรอน, บ่งบอกให้เห็นว่า การตกมุรตัด เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ การฟิตนะฮฺ (ความเลวร้าย) ทางความผิด เพื่อก่อให้เกิดความสั่นคลอนในด้านความเชื่อเรื่องศาสนาสำหรับมุสลิม ซึ่งได้ถูกโฆษณาชวนเชื่อโดยศัตรูทั้งจากภายในและภายนอก[6]

โองการที่ 72 บทอาลิอิมรอน กล่าวว่า “กลุ่มหนึ่งจากชาวคัมภีร์กล่าวว่า (แก่ผู้ปฏิบัติตามตนว่า) ท่านทั้งหลายจงศรัทธาต่อสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่บรรดาผู้ศรัทธา ในตอนเริ่มแรก และจงปฏิเสธในตอนสุท้าย (กลับใจออกจากอิสลาม) เพื่อว่าพวกเขาจะได้กลับใจ (ไปสู่ศาสนาเดิม)[7]

ตามความเป็นจริงแล้ว การตกมุรตัด ในความหมายของตัวมันคือ สื่อในการปฏิเสธศาสนา และการโฆษณาชวนเชื่อ ที่เกิดจากความดื้อรั้น และความอคติ ซึ่งไม่ได้เกิดบนเหตุผลหรือการพิสูจน์แต่อย่างใด สิ่งนี้ได้ออกมาจากความสงสัย และความคลุมเครือต่างๆ ที่ผิดพลาด ด้วยเหตุนี้เอง สามารถกล่าวได้ว่าปรัชญาของการตกมุรตัด ประกอบด้วย การโฆษณาให้ร้ายต่อศาสนา ซึ่งสุดท้ายแล้วเป็นการขู่ท้าทายกฎเกณฑ์ และมารยาททางสังคมอิสลาม[8]

อิสลามได้เตรียมโปรแกรมไว้สำหรับการเกิดเหตุการณ์ไม่ดีดังกล่าว บางทีอาจเป็นไปได้จากการเปลี่ยนศาสนานั้น เป็นสาตุทำให้สังคมอิสลามต้องติดกับดัก จึงได้มีคำสั่งอย่างรีบด่วนว่า ถ้าหากชายมุสลิมคนหนึ่งถือกำเนิดขึ้นมา โดยที่บิดามารดาเป็นมุสลิม ต่อมาเขาได้ตก “มุรตัด” ซึ่งเรียกการตกมุรตัดลักษณะนี้ว่า การตกมุรตัดฟิฎรียฺ (ตกศาสนาโดยกำเนิด) ซึ่งโทษทัณฑ์คือ การประหารชีวิต, แต่ถ้าถือกำเนิดขึ้นมาโดยที่บิดามารดามิได้เป็นมุสลิม ต่อมาได้เข้ารับอิสลาม หลังจากนั้นได้กลับไปเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาอีก เรียกการตกมุรตัดลักษณะนี้ว่า การตกมุรตัดมิลลี (มิได้เป็นโดยกำเนิด) ตรงนี้จะปล่อยเวลาให้เขาได้มีโอกาสกลับโตกลับใจ (เตาบะฮฺ) แต่ถ้าเขาไม่ยอมรับ ก็จะถูกตัดสินประหารชีวิตเช่นกัน[9]

แต่ถ้าสตรีตกมุรตัด อิสลามได้กำหนดบทลงโทษแก่พวกนางในสถานเบากว่า[10] นั่นหมายความว่า ถ้าสตรีตกมุรตัด ไม่ว่าจะเป็นฟิฏรียฺหรือมิลลี จะไม่ถูกประหารชีวิต ทว่าจะให้นางกลับตัวกลับใจแทน (เตาบะฮฺ ถ้าหากได้วิงวอนขออภัยโทษ จะปล่อยให้นางเป็นอิสระ มิเช่นนั้นแล้วนางจะถูกลงโทษจำคุกตลอดชีวิต และเมื่อถึงเวลานะมาซนางจะถูกเฆี่ยนตี และจะให้ดำเนินชีวิตอย่างยากลำบาก[11]

ต้องพิจารณาว่า ในทัศนะอิสลามมนุษย์ทั้งหมด (บุรุษและสตรี) ถูกสร้างขึ้นมาเหมือนกัน : «خلقکم من نفس واحدة»[12] ข้าได้สร้างพวกเจ้าขึ้นมาจากอินทรียฺเดียวกัน ดังนั้น จึงไม่มีใครดีกว่าใคร แต่อิสลามได้ตั้งเกณฑ์วัดมาตรฐานความดีกว่ากันเอาไว้นั้นคือ ตักวาความสำรวมตนต่อพระเจ้า อัลกุรอานกล่าวว่า : «ان اکرمکم عندالله اتقاکم» ผู้ที่ประเสริฐกว่าในหมู่พวกเจ้าคือผู้มีตักวา[13]

แต่อย่างไรก็ตามทั้งบุรุษและสตรี แต่ละคนจะมีคุณลักษณะที่ต่างกันออกไป ทั้งสองจะมีความพิเศษด้านจิตวิญญาณ จิตวิทยา สรีระอันเฉพาะ ซึ่งจะทำให้เขาบางคนดีกว่าบางคน เช่น เราทุกตนต่างทราบกันดีว่า สตรี ในแง่ของจิตใจและทางจิตวิทยาแล้ว จะเห็นว่าเป็นผู้ที่มีจิตใจเปี่ยมไปด้วยความรักและความสงสาร มีความรู้สึกอ่อนไหวเมื่อเทียบกับบุรุษ บางทีอาจกล่าวได้ว่า ในรายงานของท่านอิมามอะลี (อ.) ที่ว่า "المرأة ریحانة و لیست بقهرمانة" สตรีคือดอกไม้ ไม่ใช่วีรบุรุษ”[14] คำพูดได้กล่าวนี้ได้โอบอุ้มความจริงที่กำลังกล่าวถึง

ประเด็นดังกล่าวนี้ เป็นความจริงซึ่งบรรดานักค้นคว้าวิจัยทั้งหลาย ต่างได้ยืนยันถึงความจริงดังกล่าว

หนึ่ง นักจิตวิทยาที่มีชื่อเสียงชาวอเมริกากล่าวว่า : “โลกของบุรุษและโลกของสตรีมีความแตกต่างกันโดยแท้ ...นอกจากนั้นแล้วความรู้สึกของทั้งสอง จะไม่มีวันเหมือนกันเด็ดขาด”

“คลีโอ เดลสัน” กล่าวว่า : ในฐานะของสตรีที่เป็นนักจิตวิทยาคนหนึ่ง สิ่งที่เป็นความหวังสูงสุดที่อยากจะทำคือ การศึกษาชีวิตจิตใจของบุรุษ ..ซึ่งฉันได้บทสรุปว่า สุภาพสตรีทั้งหลาย (ส่วนใหญ่) จะทำตามความรู้สึก ส่วนสุภาพบุรุษนั้นจะทำตาม การตัดสินใจของปัญญา ซึ่งเราได้เห็นอยู่อย่างดาษดื่นว่า สุภาพสตรีส่วนใหญ่ในแง่ของ สติปัญญาและความฉลาดแล้ว มิใช่ว่าจะไม่เท่าเทียมกับบุรุษเพียงอย่างเดียว ทว่าพวกเธอยังด้อยกว่าด้วยซ้ำ ภารกิจต่างๆ ที่ต้องอาศัยการคบคิดอยู่ตลอดเวลา จะทำให้สตรีรู้สึกเหนื่อยหน่ายและเกียจคร้านขึ้นทันที

“อ๊อตโตไคล” สุภาพสตรีทั้งหลาย โดยทั่วไปแล้วจะมีความรู้สึกอ่อนไหวมากกว่าสุภาพบุรุษ

“มุฮัมมัด กุฎบฺ” ถ้าหากสตรีต้องการเป็นมารดา ต้องมีความรู้สึกอ่อนไหวมากกว่านี้”[15]

ด้วยเหตุนี้เอง (บทบัญญัติ) ถ้าได้กำหนดขึ้นโดยไม่ได้พิจารณาถึงโครงสร้างของความแตกต่าง ก็จะได้เพียงกฎหมายที่ใช้ปกครองสังคมเพียงอย่างเดียว แต่จะไม่สามารถเติมเต็มความถูกต้องที่สังคมควรจะเป็นได้ จากจุดนี้เองบางที่หน้าที่และบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับบุรุษ และสตรี เช่น กฎการตกมุรตัด จึงต้องแตกต่างกัน

ด้วยเหตุนี้ สามารถกล่าวได้ว่า “สตรีทั้งหลายในแง่ของการป้องกัน และการคิดนั้นจะแตกต่างกับบุรุษ และสตรีจะได้รับผลกระทบเร็วกว่า ดังเช่นเรื่อง การตกมุรตัด อิสลามจึงได้วางกฎเกณฑ์เบาและง่ายกว่าสำหรับสตรี [16]

ความรู้ของมนุษย์เป็นเพียงสิ่งน้อยนิด ดังคำกล่าวของ วิลเลี่ยม เจมส์ ที่ว่า ความรู้ของมนุษย์เมื่อเทียบกับสิ่งที่เขาไม่รู้ ประหนึ่งหยดน้ำเล็กๆ เมื่อเทียบกับมหาสมุทร[17] ไอน์สไต ตีความว่า ตราบจนถึงปัจจุบันนี้สิ่งที่มนุษย์ได้อ่านจากหน้าธรรมชาตินั้น เพิ่งจะรู้จักภาษาเท่านั้นเอง[18]

ดังนั้น สติปัญญาของมนุษย์ไม่สามารถเข้าใจได้อย่างสมบูรณ์ถึงเกณฑ์ (ดีและชั่ว) และไม่เข้าใจบทบัญญัติว่าทำไมต้องเป็นเช่นนั้น สิ่งที่อยู่ในฐานะของปรัชญาของบทบัญญัติบางอย่างเช่น (บทบัญญัตมุรตัด) ดังอธิบายไปแล้วนั้น ถ้าหากไม่พึงโองการ หรือคำอธิบายของอิมามมะอฺซูม (อ.) แล้ว เราจะไม่มีวันเข้าใจถึง วิทยปัญญา ของบัญญัติข้อนั้นเด็ดขาด ซึ่งจะเข้าใจได้ก็แค่เพียง ระดับของการคาดเดาเอาเท่านั้นเอง ท่านอิมามอะลี ซัยนุลอาบิดีน (อ.) กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า “

«انّ دین الله لا یصاب بالعقول الناقصة» ศาสนาของพรเจ้านั้น ไม่อาจเข้าใจได้ด้วยสติปัญญาที่บกพร่อง”[19] ดังคำกล่าวของ

ศึกษาเพิ่มเติมได้จาก

1.คำถามที่ 17843 (ไซต์ : th17492) หัวข้อ สตรีในอิสลาม

2.คำถามที่ 267 (ไซต์ : 1881) หัวข้อ อัลกุรอานและการยืนหยัดของบุรุษและสตรี

3.คำถามที่ 23221 (ไซต์ : fa1027) หัวข้อ การประหารชีวิตมุรตัดฟิฏรียฺ

4.คำถามที่ 53 (ไซต์ : 289) หัวข้อ เสรีภาพทางความเชื่อกับการประหารชีวิตมุรในอิสลาม

 


[1]ซีดีวิชาการโพรซิมอน

[2] เซรอมมี, ซัยฟุลลอฮฺ, อะฮฺกามมุรตัด อัชดีดเฆาะฮฺ อิสลาม วะ ฮุกูกบะชัด, หน้า 255.

[3] โกรบอนนี ซัยนุลอาบิดีน, อิสลาม วะ ฮุกูกบะชัร, หน้า 480.

[4] บทเตาบะฮฺ, 6

[5] อิบนุ อะซีร, อะซะดุลฆอบะฮฺ, เล่ม 3, หน้า 22, คัดลอกมาจาก อิลามวะฮุกูกบะชัร หน้า 481

[6] ซีดีวิชาการโพรซิมอน

[7] อาลิอิมรอน, 72.

[8] เซรอมมี, ซัยฟุลลอฮฺ, อะฮฺกามมุรตัด อัชดีดเฆาะฮฺ อิสลาม วะ ฮุกูกบะชัด, หน้า 281.

[9] โกรบอนนี ซัยนุลอาบิดีน, อิสลาม วะ ฮุกูกบะชัร, หน้า 484.

[10] อ้างแล้ว, หน้า 484.

[11] อิมามโคมัยนี้,ตะรีรุลวะซีละฮฺ, เล่ม 2, กิตาบฮุดูด, หน้า 445.

[12] บทนิซาอฺ,1.

[13] บทฮุจญฺรอต, 13.

[14] กุลัยนียฺ, กาฟียฺ, เล่ม 5, หน้า 510.

[15] อิสลาม ฮุกูก บะชัร

[16] อ้างแล้ว, หน้า 484.

[17] อิสลาม ฮุกูก บะชัร, หน้า 82-92.

[18] อ้างแล้ว

[19] บิฮารุลอันวาร, เล่ม 2, หน้า 303.

 

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • การทำความผิดซ้ำซาก เป็นให้ถูกลงโทษรุนแรงหรือ?
    11985 گناه 2555/08/22
    การทำความผิดซ้ำซากมีความหมาย 2 อย่าง กล่าวคือ 1-ทำความผิดซ้ำบ่อยครั้ง, 2- กระทำผิดโดยไม่ได้คิดลุแก่โทษ หรือไม่เคยกลับตัวกลับใจ การทำความผิดซ้ำซากนั้น จะมีผลติดตามมาซึ่งหนักหนาสาหัสมาก ทั้งโองการอัลกุรอานและรายงานฮะดีซ ได้กล่าวตำหนิไว้อย่างรุนแรง และยังได้กล่าวเตือนอีกว่าผลของการกระทำความผิดนั้น เช่น การเปลื่ยนจากความผิดเล็กเป็นความผิดใหญ่, การออกนอกวงจรของผู้มีความสำรวมตน, ความอับโชคเฮงซวยทั้งหลาย, อิบาดะฮฺไม่ถูกตอบรับ, ลากพามนุษย์ไปสู่เขตแดนของผู้ปฏิเสธศรัทธาและพระเจ้า และ ... หนึ่งในผลของการทำความผิดซ้ำซากคือ การได้รับโทษทัณฑ์อันรุนแรงทั้งโลกนี้และโลกหน้า เหมือนกับบุคคลที่ได้ทำบาปใหญ่ ถ้าเป็นครั้งที่สองเขาจะถูกลงโทษและถูกเฆี่ยนตี ถ้าเป็นครั้งที่สามประหารชีวิต ...
  • มีฮะดีษบทใดบ้างที่กล่าวถึงบุตรซินา?
    8860 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/01/19
    อิสลามถือว่าบุตรที่เกิดจากการผิดประเวณี (บุตรซินา) มีสถานะเฉพาะตัวซึ่งท่านนบี(ซ.ล.)และบรรดาอิมาม(อ.)ได้กล่าวไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้ตามแหล่งอ้างอิงดังต่อไปนี้1. มรดกของบุตรซินาวะซาอิลุชชีอะฮ์,เล่ม 26,หน้า 274, بَابُ أَنَّ وَلَدَ الزِّنَا لَا یَرِثُهُ الزَّانِی وَ لَا الزَّانِیَةُ وَ لَا مَنْ تَقَرَّبَ بِهِمَا وَ لَا یَرِثُهُمْ بَلْ مِیرَاثُهُ لِوُلْدِهِ أَوْ نَحْوِهِمْ وَ مَعَ عَدَمِهِمْ لِلْإِمَامِ وَ أَنَّ مَنِ ادَّعَى ابْنَ جَارِیَتِهِ وَ لَمْ یُعْلَمْ کَذِبُهُ قُبِلَ قَوْلُهُ وَ لَزِمَهُ
  • บรรดามลาอิกะฮฺมีอายุขัยนานเท่าใด ?มลาอิกะฮฺชั้นใกล้ชิดต้องตายด้วยหรือไม่? เป็นอย่างไร?
    15614 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/09/25
    ตามรายงานกล่าวว่ามวลมลาอิกะฮฺถูกสร้างหลังจากการสร้างรูฮฺของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) และบรรดาอิมาม (อ.) พวกเขาทั้งหมดแม้แต่ญิบรออีล,
  • ฟิรอูนถูกลงโทษต่อพฤติกรรมที่เป็นบททดสอบของอัลลอฮ์ได้อย่างไร?
    10835 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/04/02
    หนึ่งในจารีตของพระองค์ที่ไม่เปลี่ยนแปลงก็คือ “การทดสอบปวงบ่าว” ซึ่งกระทำผ่านเหตุการณ์และปัจจัยต่างๆ บางครั้งพระองค์ใช้ผู้กดขี่เป็นบททดสอบทั้งๆที่ตัวผู้กดขี่เองไม่ทราบว่าตนเองเป็นบททดสอบ กรณีเช่นนี้จึงหาได้ลดทอนความน่ารังเกียจของพฤติกรรมของพวกเขาไม่ และไม่ทำให้สมควรได้รับการลดหย่อนโทษแต่อย่างใด ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่าพระองค์ไม่ได้สั่งให้เขาเป็นบททดสอบสำหรับผู้อื่น ทว่าพระองค์ทรงตระเตรียมการในลักษณะที่ว่า เมื่อใดก็ตามที่ผู้กดขี่แสดงพฤติกรรมกดขี่ด้วยการตัดสินใจของตนเอง การกดขี่ดังกล่าว (ซึ่งขัดต่อคำสอนของพระองค์) ก็จะกลายเป็นบททดสอบสำหรับผู้อื่น และเนื่องจากการกดขี่ดังกล่าวเกิดขึ้นโดยเจตนาของผู้กดขี่เอง จึงสมควรได้รับบทลงโทษ ...
  • ปรัชญาของการทำกุรบานในพิธีฮัจญ์คืออะไร?
    12307 สิทธิและกฎหมาย 2555/04/28
    บทบัญญัติและข้อปฏิบัติทั้งหมดในศาสนาอิสลามนั้นตราขึ้นโดยคำนึงถึงความเหมาะสมและคุณประโยชน์สำหรับทุกสิ่งมีชีวิตอย่างทั่วถึง บทบัญญัติของอิสลามประการหนึ่งที่เป็นข้อบังคับสำหรับผู้ประกอบพิธีฮัจย์ก็คือการเชือดกุรบานในวันอีดกุรบาน ณ แผ่นดินมินา จุดเด่นของการทำกุรบานในพิธีฮัจญ์คือ “การที่ผู้ประกอบพิธีฮัจย์ได้คำนึงถึงการเชือดเฉือนอารมณ์ไฝ่ต่ำของตนเอง ,การแสวงความใกล้ชิดยังพระผู้เป็นเจ้า, การช่วยเหลือผู้ยากไร้ ฯลฯ ซึ่งแม้ว่าในบางกรณีจะไม่ได้ใช้ประโยชน์จากเนื้อกุรบานก็จริง แต่ก็ทำให้ได้รับประโยชน์ทางจิตใจดังที่กล่าวไปแล้ว เป็นที่น่ายินดีที่ในหลายปีมานี้มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายตามโรงเชือดสัตว์ที่นครมักกะฮ์ โดยเฉพาะการแช่แข็งเนื้อสัตว์ทำให้สามารถแจกจ่ายเนื้อเหล่านี้ให้แก่ผู้ยากไร้ ซึ่งช่วยไม่ให้เนื้อสัตว์เหล่านี้สูญเสียไปอย่างเปล่าประโชน์ ถึงแม้ว่าการจัดการทั้งหมดนี้จะไม่ส่งผลร้อยเปอร์เซนต์ แต่ก็เชื่อได้ว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งแล้ว โดยอีกไม่ช้ากระบวนการดังกล่าวอาจจะแล้วเสร็จร้อยเปอร์เซ็นต์ ...
  • ควรนำเสนอประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับการรู้จักกับพระเจ้าแก่ชมรมเยาวชนในพื้นที่อย่างไร?
    6763 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/04/19
    หากพิจารณาประเด็นต่างๆที่เกี่ยวกับหลักความเชื่อ ต้องถือว่าประเด็นการรู้จักพระเจ้าถือเป็นประเด็นหลักที่สำคัญที่สุด อีกทั้งครอบคลุมประเด็นปลีกย่อยมากมาย หากคุณต้องการอธิบายเกี่ยวกับประเด็นนี้จะต้องคำนึงถึง 2 หลักการเป็นสำคัญ หนึ่ง. ควรเลือกประเด็นที่จะหยิบยกมาพูดคุยให้เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตรรกะ สอง.จะต้องคำนึงถึงบุคลิกและพื้นฐานความรู้ของผู้ฟังอย่างเคร่งครัด เกี่ยวกับหลักการแรก ควรคำนึงถึงประเด็นต่อไปนี้ คุณจะต้องเลือกประเด็นในการพูดคุยเกี่ยวกับการรู้จักพระเจ้าที่มีความครอบคลุมมากกว่า เพื่อที่จะได้อธิบายเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวได้ง่ายขึ้น จะต้องหลีกเลี่ยงที่จะพูดคุยเกี่ยวกับประเด็นลึกๆ ของการรู้จักพระเจ้า นำเสนอข้อมูลต่าง ๆ โดยคำนึงถึงลำดับการเรียงเนื้อหาที่เหมาะสม และจะต้องหลีกเลี่ยงการพูดเยิ่นเย้อ ให้ทยอยนำเสนอประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับการรู้จักพระเจ้า และควรใช้วิธีการที่สามารถเข้าใจง่ายและมีความหลากหลาย ควรใช้ประโยชน์จากจิตใต้สำนึกแสวงหาพระเจ้าที่มีในเยาวชนให้มากที่สุด ควรจะปล่อยให้เยาวชนได้มีโอกาสคิดและสรุปข้อมูล เพื่อให้สามารถเข้าใจประเด็นต่าง ๆได้ ควรใช้หนังสือต่างๆ ที่เสนอข้อมูลอย่างชัดแจนและมีการลำดับเนื้อเรื่องที่ดี เกี่ยวกับหลักการที่สองควรจะคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ ควรจะนำเสนอประเด็นต่าง ๆ เกี่ยวกับการรู้จักพระเจ้าที่สอดคล้องกับพื้นฐานความรู้ของเยาวชนกลุ่มนั้น ๆ และหากต้องการนำเสนอข้อมูลใหม่ๆ ...
  • กรุณาอธิบายถึงแก่นอันเป็นพื้นฐานหลักของแนวคิดชีอะฮฺ พร้อมกับคุณลักษณะต่างๆ?
    19505 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/21
    พื้นฐานแนวคิดหลักของชีอะฮฺและวิชาการทั้งหมดของชีอะฮฺได้รับจากอัลกุรอาน อัลกุรอานไม่ว่าจะเป็นความหมายภายนอกโองการหรือภายใน,หรือแม้แต่การนิ่งเฉยหรือการแสดงออกของท่านเราะซูล (ซ็อลฯ) ถือว่าเป็นข้อพิสูจน์และเหตุผลทั้งสิ้นและผลของสิ่งเหล่านี้,คำพูดการนิ่งเฉยและการกระทำของอิมาม (อ.) ก็เป็นเหตุผลด้วย นอกจากอัลกุรอานแล้วยังถือว่าการพิสูจน์ด้วยสติปัญญาก็เป็นเหตุผลด้วยเหมือนกันซึ่งการค้นคว้าได้รับการสนับสนุนและเน้นย้ำไว้อย่างยิ่ง แนวทางในการได้รับแนวคิดเช่นนี้สามารถกล่าวสรุปได้ดังนี้ 1. มีความเชื่อในความเป็นเอกะของพระเจ้าผู้ทรงสูงส่งอาตมันบริสุทธิ์ของพระองค์บริสุทธิ์จากความบกพร่องและคุณลักษณะไม่สมบูรณ์ต่างๆ,พระองค์พรั่งพร้อมด้วยคุณลักษณะสมบูรณ์ทั้งหลายทั้งปวง 2. มีความเชื่อในเรื่องความดีและความชั่วของภูมิปัญญากล่าวคือภูมิปัญญารับรู้ว่าพระเจ้าทรงบริสุทธิ์จากกระทำสิ่งชั่วร้าย 3. มีความเชื่อในเรื่องความบริสุทธิ์ของบรรดาศาสดาแห่งพระเจ้าและบรมศาสดาท่านสุดท้าย 4. มีความเชื่อว่าการแต่งตั้งและการกำหนดตัวแทนของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ต้องมาจากพระเจ้าเท่านั้นโดยผ่านศาสดาหรืออิมามคนก่อนหน้านั้นจำนวนตัวแทนของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) มี 12 คนบุคคลแรกจากพวกเขาคือท่านอิมามอะลีบุตรของอบีฏอลิบ (อ.) ส่วนคนสุดท้ายจากพวกเขาคือท่านอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) ซึ่งณปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่รอคอยพระบัญชาจากพระเจ้าให้ปรากฏกายออกมา 5. มีความเชื่อในเรื่องชีวิตหลังความตายการได้รับรางวัลตอบแทนและการลงโทษในการกระทำ ...
  • ฮะดีษที่กล่าวว่า ท่านศาสดา (ซ.ล.) กล่าวว่า “จงทานแอปเปิ้ลเมื่อท้องว่าง (ในช่วงเช้า) เพราะจะช่วยชำระล้างกระเพาะ” เป็นฮะดีษที่ถูกต้องหรือไม่?
    11196 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/06/23
    แอปเปิ้ลเป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่นอกจากจะมีประโยชน์ทางด้านสารอาหารแล้ว ยังมีสรรพคุณทางด้านการรักษาและเป็นยาอีกด้วย ซึ่งเหล่าบรรดาแพทย์ทั้งสมัยก่อนและสมัยใหม่ได้กล่าวและเขียนเกี่ยวกับมันมากมาย เกี่ยวกับประโยชน์และสรรพคุณของแอปเปิ้ล นอกจากทัศนะของเหล่าบรรดาแพทย์ทั้งหลายแล้ว เราจะพบฮะดีษบางบทจากบรรดามะอ์ศูมีนในหนังสือทางประวัติศาสตร์ด้วยเช่นกัน หนึ่งในนั้นคือฮะดีษที่ได้กล่าวมาในคำถามข้างต้นที่กล่าวว่า “و قال النبی (ص) کلوا التفاح علی الريق فإنه وضوح المعده”[1] จงทานแอปเปิ้ลเมื่อท้องว่าง (ในยามเช้า) เพราะจะช่วยชำระล้างกระเพาะ” และฮะดีษนี้รายงานจากอิมามอลี (อ.) โดยมีเนื้อหาดังนี้ “كُلُوا التُّفَّاحَ فَإِنَّهُ يَدْبُغُ الْمَعِدَةَ” จงกินแอปเปิ้ล เนื่องจากแอปเปิ้ลจะช่วยชำระล้างกระเพาะ ฮะดีษดังกล่าวนอกจากจะปรากฏในหนังสือมะการิมุลอัคลากแล้ว ยังจะพบได้ในหนังสือบิฮารุลอันวารของท่านมัจลิซีย์และมุสตัดร็อกของท่านนูรีย์อีกด้วย นอกจากนี้ท่านอิมามศอดิก (อ.) ก็ได้กล่าวถึงสรรพคุณของแอปเปิ้ลว่า “หากประชาชนได้รู้ถึงสรรพคุณที่มีอยู่ในแอปเปิ้ล พวกเขาจะใช้แอปเปิ้ลรักษาผู้ป่วยของตนเพียงอย่างเดียว”
  • การที่กล่าวว่า อัลลอฮฺทรงลืมปวงบ่าวบางคนของพระองค์หมายความว่าอย่างไร?
    7387 การตีความ (ตัฟซีร) 2554/10/22
    อัลลอฮฺ (ซบ.) ตรัสไว้ในอัลกุรอาน, ถึง 4 ครั้งด้วยกันเกี่ยวกับการลืมของปวงบ่าว โดยสัมพันธ์ไปยังพระองค์ ดังเช่น โองการหนึ่งกล่าวว่า : วันนี้เราได้ลืมพวกเขา ดังที่พวกเขาได้ลืมการพบกันในวันนี้” โองการข้างต้นและโองการที่คล้ายคลึงกันนี้สนับสนุนประเด็นดังกล่าวได้เป็นอย่างดีว่า ในปรโลก (หรือแม้แต่โลกนี้) จะมีชนกลุ่มหนึ่งถูกอัลลอฮฺ ลืมเลือนพวกเขา, แต่จุดประสงค์ของการหลงลืมนั้นหมายถึงอะไร?การพิสูจน์ในเชิงสติปัญญา และเทววิทยาที่มีอยู่ในปัจจุบันในตำราของอิสลามกล่าวว่า การหลงลืมหมายถึงการไม่ครอบคลุมทั่วถึงเหนือสภาพของสิ่งถูกสร้าง แน่นอน สิ่งนี้อยู่นอกเหนืออาตมันสมบูรณ์ของอัลลอฮฺ ดังเช่นพระดำรัสของพระองค์ตรัสว่า “องค์พระผู้อภิบาลมิใช่ผู้หลงลืมการงาน”จากคำพูดของบรรดาอิมามมะอฺซูม (อ.) ได้ประจักษ์ชัดเจนว่า จุดประสงค์ของการหลงลืมของอัลลอฮฺ (ซบ.) มิได้หมายถึงการลืมเลือน การไม่มีภูมิความรู้ และการไม่รู้แต่อย่างใด, เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ...
  • หนทางหลุดพ้นจากความลุ่มหลงโลกคืออะไร?
    9491 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/21
    โลกที่มนุษย์อยู่อาศัยนี้มาจากคำว่า«ادنی» มาจากคำว่า«دنیء» และคำว่า«دنائت»

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60845 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58538 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42934 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    40621 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39573 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34686 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28770 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28646 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28637 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26525 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...