การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
8578
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2550/10/15
คำถามอย่างย่อ
เพราะเหตุใดชีอะฮฺจึงตั้งชื่อตนเองว่า อับดุลฮุซัยนฺ (บ่าวของฮุซัยนฺ) หรืออับดุลอะลี (บ่าวของอะลี) และอื่นๆ? ขณะที่อัลลอฮฺตรัสว่า : จงนมัสการและเป็นบ่าวเฉพาะข้าเท่านั้น
คำถาม
มนุษย์สามารถเป็นบ่าวได้เฉพาะแต่อัลลอฮฺเท่านั้น พระองค์ตรัสว่า : »จงนมัสการเฉพาะอัลลอฮฺเท่านั้น« แล้วเป็นเพราะสาเหตุใด ชีอะฮฺจึงตั้งชื่อว่า อับดุลฮุซัยนฺ (บ่าวของฮุซัยนฺ) หรืออับดุลอะลี (บ่าวของอะลี) อับดุซซะฮฺรอ อับดุลอิมาม และ...? ทำไมบรรดาอิมามจึงตั้งชื่อบุตรว่า อับดุลอะลี อับดุซซะฮฺรอ? ถูกต้องแล้วหรือหลังจากท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ชะฮีดไปแล้ว และเราได้ตั้งชื่อบุตรหลานว่า อับดุลฮุซัยนฺ หมายถึงคนรับใช้ของฮุซัยนฺ ซึ่งคำว่า คอดิม หมายถึงคนจัดเตรียมนำน้ำและอาหาร และรับใช้ และสิ่งนี้เข้ากับสติปัญญาหรือที่ว่า บุคคลหนึ่งได้นำเอาน้ำและอาหารไปให้ท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) แล้วน้ำทำวุฏูอฺได้ถูกเตรียมไว้สำหรับเขาในหลุมฝังศพ เพื่อจะได้กล่าวว่า เขาคือคนรับใช้ท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.)?
คำตอบโดยสังเขป

1.คำว่า “อับดฺ” ในภาษาอาหรับมีหลายความหมายด้วยกัน : หนึ่ง หมายถึงบุคคลที่ให้การเคารพ นอบน้อม และเชื่อฟังปฏิบัติตาม, สอง บ่าวหรือคนรับใช้ หรือผู้ถูกเป็นเจ้าของ

2. สถานภาพอันสูงส่งของบรรดาอิมาม (อ.) ผู้บริสุทธิ์นั้นเองที่เป็นสาเหตุทำให้บรรดาผู้เจริญรอยตาม ต้องการเปิดเผยความรักและความผูกพันที่มีต่อบรรดาท่านเหล่านั้น จึงได้ตั้งชื่อบุตรหลานว่า “อับดุลฮุซัยนฺ หรืออับดุลอะลี” หรือเรียกตามภาษาฟาร์ซีย์ว่า ฆุล่ามฮุซัยนฺ ฆุล่ามอะลี และ ...อื่นๆ

3.คนรับใช้ นั้นแน่นอนว่ามิได้หมายถึงการช่วยเหลือทางโลก หรือเฉพาะการดำรงชีพในแต่ละวันเท่านั้น, ทว่าสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าและมีค่ามากไปกว่านั้นคือ การฟื้นฟูแนวทาง แบบอย่าง และการเชื่อฟังผู้เป็นนายั่นเอง, เนื่องจากแม้ร่างกายของเขาจะไม่ได้อยู่ในโลกนี้แล้ว, แต่จิตวิญญาณของเขายังมีชีวิตและมองดูการกระทำของเราอยู่เสมอ

4.วัตถุประสงค์ของการใช้ประโยชน์คำว่า “อับดฺ” ในการตั้งชื่อตามกล่าวมา (เช่นอับดุลฮุซัยนฺ) เพียงแค่ความหมายว่าต้องการเผยให้เห็นถึงความรัก และการเตรียมพร้อมในการรับใช้เท่านั้น ถ้าเป็นเพียงเท่านี้ถือว่าเหมาะสมและอนุญาต, เนื่องจากการตั้งชื่อว่า อับดุลฮุซัยนฺ ในความหมายว่า ภักดีคือเป็นบ่าวทาสรับใช้ ส่อไปในทางของการตั้งภาคีย่อมได้รับความโกรธกริ้วจากอัลลอฮฺ แน่นอน

5.ชื่อเหล่านี้มิได้มีกล่าวไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์แต่อย่างใด นอกจากนั้นคำแนะนำของบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ ได้แนะนำให้ตั้งชือว่า อะลี ฮะซัน และฮุซัยนฺ มุฮัมมัด หรืออับดุรเราะฮฺมานมากกว่า

คำตอบเชิงรายละเอียด

คำว่า “อับดฺ” ในภาษาอาหรับมีหลายความหมายด้วยกัน : หนึ่ง หมายถึงบุคคลที่ให้การเคารพ นอบน้อม และเชื่อฟังปฏิบัติตาม, สอง บ่าวหรือคนรับใช้ หรือผู้ถูกเป็นเจ้าของ[1] (ในอีกที่หนึ่งคำว่า อาบิด หมายถึงผู้รับใช้) ตามหลักภาษาอาหรับแล้ว ความหมายทั้งสองนี้ ถือเป็นความหมายที่ดีและได้รับการยอมรับ เช่น อัลกุรอาน ถือได้ว่าเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับการใช้ภาษาอาหรับ ซึ่งได้ใช้ทั้งสองความหมาย

ก. ความหมายแรก: «یا ایها الناس اعبدوا ربکم الذی خلقکم...»[2]

หรือโองการกล่าวว่า [3]«قال انی عبدالله آتانی الکتاب...»

ทั้งสองโองการนี้จะสังเกตเห็นว่า อัลลอฮฺทรงถือว่าการแสดงความเคารพภักดี คู่ควรและเหมาะสมเฉพาะพระองค์เท่านั้น

ข. ความหมายที่สอง : « ضرب الله مثلاً عبداً مملوکاً لایقدر علی شیء...»[4]

โองการนี้กล่าวถึงความอ่อนแอของเทวรูปเมื่ออยู่ต่ออำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระผู้อภิบาล โดยเปรียบเทียบว่า บ่าวของข้าที่ไร้ความสามารถและอ่อนแอเมื่ออยู่ต่อหน้าบุรุษที่มีอิสระ ซึ่งมากด้วยทรัพย์สิน และเขาได้บริจาคแก่คนยากจน

ความสูงส่งและความมีเกียรติยิ่งของบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) เป็นสาเหตุสำคัญทำให้บรรดามุสลิม (ชีอะฮฺ) มีความปิติและยกย่องในความสูงศักดิ์ของท่านเหล่านั้น พวกเขาจึงแสดงออกด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อบ่งบอกให้เห็นถึงความรัก และความผูกพันของพวกเขาที่มีต่อบรรดาอิมาม ดังนั้น การตั้งชื่อว่า อับดุลฮุซัยนฺ และ ...หรือตั้งตามภาษาฟาร์ซียฺว่า ฆุล่ามฮุซัยนฺ ฆุล่ามริฎอ และ... ก็เพื่อบ่งบอกให้เห็นถึงความรักและความผูกพันที่มีต่อครอบครัวของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ผู้สะอาดบริสุทธิ์ทั้งหลาย

แต่สำหรับคำตอบที่ว่า ภายหลังจากท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ได้ชะฮีดแล้ว มีวัตถุประสงค์อะไรในการตั้งชื่อว่า อับดุลฮุซัยนฺ ขอตอบว่า : หนึ่งเนื่องจากการับใช้และการบริการหรือการยอมตนเป็นบ่าวของบรรดาอิมามมะอฺซูม มิได้เป็นความจำเป็นสำหรับโลกนี้, ทว่าการรำลึกถึงท่านเหล่านั้น การให้เกียรติ การยึดมั่นอยู่กับแนวทางหรือแบบอย่างของท่าน, กี่มากน้อยแล้วที่มีผู้รับใช้อิมามต่างกาลเวลา มีเกียรติและมีความประเสริฐยิ่งกว่าบ่าว ที่รับใช้ชีวิตทางโลกในยุคสมัยที่ท่านอิมามมีชีวิตอยู่เสียด้วยซ้ำไป. สอง การเป็นชะฮีดของบรรดาอิมามมะอฺซูม (อ.) เฉพาะร่างกายเท่านั้นที่สูญสิ้นไป, แต่จิตวิญญาณอันสูงส่งของท่านยังมีชีวิตอยู่เสมอ ดังที่เราได้อ่านในบทซิยาเราะฮฺบรรดาอะอิมมะฮฺผู้บริสุทธิ์ว่า

«و اشهد انک تسمع کلامی و ترد سلامی» หมายถึงท่านได้ยินเสียงอ่านของเรา และตอบรับสลามของเรา[5] ดังนั้น ผู้เป็นนายของพวกเขายังมีชีวิตอยู่เสมอ แม้จะไม่มีกายแต่มิได้ตายจากไปไหน เพื่อว่าบ่าวเหล่านี้จะได้ถอดถอนมือออกจากพวกเขา, ทว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่ ท่านเหล่านั้นมองเห็นและล่วงรู้ถึงการกระทำของเราตลอดเวลา. สาม การรับใช้ของบุคคลหนึ่งที่มีต่อแขกผู้มาเยี่ยมเยือนสถานฝังศพของบรรดาอิมาม ไม่มีความแตกต่างกันไม่ว่าอิมามจะจากไปแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่ก็ตาม ฉะนั้น บุคคลที่ได้รับใช้บรรดาผู้มาเยี่ยมเยือนสถานฝังศพบรรดาอิมามในทุกรูปแบบ ผู้รับใช้นั้นก็จะเป็นบ่าวหรือคนรับใช้ของท่านอิมามเสมอไป

สิ่งจำเป็นต้องกล่าวถึงคือ คำว่า อุบูดียะฮฺ หมายถึงการแสดงความเคารพภักดี, การแสดงความนอบน้อมถ่อมตน และการเชือ่ฟังปฏิบัติตาม ต่อผู้เป็นนายหรือผู้มีกรรมสิทธิ์เหนือเรา, นั่นคือ อัลลอฮฺพระผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลาย และแผ่นดิน ดั่งที่กล่าวไว้ในโองการแรกว่า (โอ้ บรรดาปวงมนุษย์เอ๋ย) ด้วยเหตุนี้ จะพบว่าปรัชญาของการแสดงความเคารพภักดีคือ บุคคลนั้น ต้องมีความคู่ควร เหมาะสม เพราะอิบาดะฮฺนั้นเป็นอมัลเฉพาะเจาะจงสำหรับบุคคลผู้ซึ่ง หนึ่ง ได้สร้างเรามา, สอง อบรมสั่งสอนและให้การเลี้ยงดูเรา, ดังนั้น ถ้าหากวัตถุประสงค์ของบุคคลในการตั้งชื่อตามที่กล่าวมาในความหมายแรกของ อับดฺ (การแสดงความภักดี) ถือว่าออกนอกอิสลามและความศรัทธา และเป็นชิริก

ด้วยเหตุนี้เอง ในสังคมที่คาดว่าจะมีการใส่ร้ายหรือคิดไปในแง่ไม่ดี บรรดาอิมาม (อ.) จึงได้แนะนำชื่อที่ดีกว่าไว้เป็นจำนวนมาก เช่น รายงานจากท่านอิมามซอดิก (อ.) กล่าวว่า : »กล่าวกับผู้รายงานว่า เธอจงตั้งชื่อบุตรหลานของเธอเมื่อฟังแล้วบ่งบอกให้เห็นว่าเขาเป็นบ่าวของอัลลอฮฺ เช่น อับดุรเราะฮฺมาน«[6] ทำนองเดียวกันรายงานกล่าวว่า ท่านได้แนะนำให้ตั้งชื่อบุตรว่า “มุฮัมมัด”[7] หรือเป็นที่ทราบกันดีท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ได้ตั้งชื่อบุตรชายทั้งสามคนของท่านว่า “อะลี”[8]

เมื่อได้ศึกษาประวัติศาสตร์ และหนังสือริญาลเข้าใจได้กว่า นามชื่อเช่น อับดุลอะอฺลา อับดุลมะญีด อัลดุสสลาม และ..ได้รับการแนะนำไว้อย่างมาก[9] ส่วนนามชื่อ เช่น อับดุลฮุซัยนฺ หรือนามที่คล้ายคลึงกันนี้ในสมัยก่อนมิได้รับความนิยมมากเท่าใดนัก, และมิเคยปรากฏในหนังสือริญาลแต่อย่างใด, แต่หลังจากทั้งหมดได้ทราบถึงเกียรติยศ และฐานันดรอันสูงศักดิ์ของบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) และเมื่อสังคมมีความเสรีในด้านการอภิปราย และบรรยายสาระของศาสนา ประชาชนจึงมีความประสงค์ที่เผยความรัก และความผูกพันของตนที่มีต่อบรรดาอิมามผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้น จึงได้ตั้งชื่อบุตรหลานของตนตามชื่อของบรรดาอิมามเหล่านั้น

สรุป :

สิ่งที่สามารถสรุปได้ตรงนี้คือ นามชื่อเช่น อับดุลริฎอ อับดุลอะลี และ ..เป็นการเผยให้เห็นถึงความรักและความเตรียมพร้อมการรับใช้บรรดาอิมาม, เป็นการประกาศว่าทุกย่างก้าวจะเจริญรอยตามบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) แม้ว่าท่านเหล่านั้นจะเสียชีวิตไปแล้วก็ตาม และถ้านามชื่อเหล่านั้นได้ถูกตั้งขึ้นในที่ๆ ซึ่งไม่เกรงว่าจะนำไปสู่ชิริกแล้ว ถือว่าไม่เป็นไร, แม้ว่าจะสามารถเลือกนามชื่อที่ดีกว่าซึ่งได้รับการแนะนำจากบรรดาอิมามไว้ก็ตาม แต่ถ้าไม่ต้องการตกเป็นเป้าโจมตีของผู้ที่ชอบหาข้ออ้าง หรือข้อตำหนิแล้วละก็ดีกว่าให้หลีกเลี่ยงนามชื่อเหล่านี้

 

 


[1] ความหมายแรก «ان العامة اجتمعوا علی تفرقه مابین عبادالله والعبید المملوکین» มะกอยีซ อัลลุเฆาะฮฺ, เล่ม 4, หน้า 205.

[2]»โอ้ มนุษย์เอ๋ย จงเคารพภักดีพระผู้อภิบาลของพวกเจ้า ผู้ทรงบังเกิดพวกเจ้า« บทบะเกาะเราะฮฺ, 21

[3]» กล่าวว่า แท้จริงฉันเป็นบ่าวของอัลลอฮฺ« บทมัรยัม, 30.

[4]»อัลลอฮฺทรงยกอุทาหรณ์ถึงบ่าวผู้เป็นทาสคนหนึ่ง ซึ่งไม่มีอำนาจในสิ่งใด« บทอันนะฮฺลุ, 75.

[5] ซิยาเราะฮฺอิมามริฎอ (อ.) มะฟาตีฮุลญินาน.

[6] วะซาอิล อัชชีอะฮฺ, เล่ม 7, หน้า 125.

[7] อ้างแล้วเล่มเดิม

[8] อะลีอักบัร, อะลีเอาซัต, และอะลีอัซฆัร.

[9] มุอฺญิมษะกอต, เล่ม 9, หน้า 255-356, เล่ม 10 และ 11

 

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • บทบัญญัติเกี่ยวกับปลาสเตอร์เจียน คืออะไร?
    10538 ประเภทของปลา 2555/05/20
    ปลาสเตอร์เจียน เป็นปลาที่มนุษย์ใช้เป็นอาหารมานานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งไข่ปลา ที่เรียกว่า คาเวียร์ ซึ่งนับเป็นอาหารราคาแพงที่สุดชนิดหนึ่งของโลก แต่ทั่วไปมักเรียกว่า ปลาคาเวียร์ บุคคลที่ตักลีดกับมัรญิอฺ เช่น ท่านอิมามโคมัยนี (รฎ.) ถ้าสงสัยว่าปลาคาเวียร์มีเกล็ดหรือไม่,เขาสามารถรับประทานได้ แต่ถ้าตักลีดกับมัรญิอฺ บางท่าน ซึ่งในกรณีนี้ไม่อนุญาตให้รับประทาน, แต่ถ้าใช้ประโยชน์อย่างอื่นนอกจากรับประทาน เช่น ซื้อขายถือว่าไม่เป็นไร, ด้วยเหตุนี้, ในกรณีนี้แต่ละคนต้องปฏิบัติตามทัศนะของมัรญิอฺที่ตนตักลีด ...
  • อิมามโคมัยนีเชื่อว่าการร่ำไห้และการไว้อาลัยแด่อิมามฮุเซน(อ.)สามารถรักษาอิสลามให้คงอยู่ถึงปัจจุบันไช่หรือไม่? เพราะเหตุใด?
    8698 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/12/08
    คำถามนี้ไม่มีคำตอบแบบสั้น ปรดเลือกปุ่มคำตอบที่สมบูรณ์ ...
  • โองการที่ 144 ซูเราะฮ์อาลิอิมรอนบ่งบอกว่าท่านนบี(ซ.ล.)เป็นชะฮีดหรือไม่?
    10322 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/18
    ขณะที่เกิดข่าวลือในหมู่มุสลิมขณะทำสงครามอุฮุดว่าท่านนบีถูกสังหารแล้ว อันทำให้มุสลิมบางส่วนถอนตัวจากสงคราม ถึงขั้นที่บางคนหวังจะขอประนีประนอมกับพวกศัตรูและยอมออกจากศาสนาอิสลาม ในสถานการณ์ดังกล่าว โองการข้างต้นได้ประทานลงมาเพื่อตำหนิมุสลิมที่คิดจะปลีกตัวจากสงครามอย่างเผ็ดร้อน โดยสอนว่ามุสลิมจะต้องมั่นคง ในศาสนาไม่ว่าท่านนบีจะมีชีวิตอยู่หรือถูกสังหารไปแล้วก็ตาม จงอย่าหวั่นไหวในศรัทธาเด็ดขาดฉะนั้น กริยา قُتِلَ (ถูกสังหาร) เป็นเพียงสมมุติฐานหนึ่งที่กุรอานนำเสนอว่า แม้ท่านนบีจะเพลี่ยงพล้ำถึงขั้นถูกสังหารก็ตาม มุสลิมจะต้องมั่นคงในศาสนาและไม่หวั่นไหวในภารกิจของตน ด้วยเหตุนี้ โองการดังกล่าวจึงใช้พิสูจน์ว่าท่านนบี(ซ.ล.)เป็นชะฮีดไม่ได้ ...
  • คำอธิบายอัลกุรอาน บทอัฏฏีน จากตัฟซีรฟะรอต มีฮะดีซบทหนึ่งกล่าวว่า วัตถุประสงค์ของคำว่า ฏีน หมายถึงอิมามฮะซัน (อ.) และวัตถุประสงค์ของ ซัยตูน คืออิมามฮุซัยนฺ (ฮ.) ถามว่าฮะดีซเหล่านี้ และฮะดีซที่คล้ายคลึงกันเชื่อถือได้หรือไม่?
    11242 فضائل و مناقب 2555/05/20
    อัลกุรอาน นอกจากจะมีความหมายภายนอกแล้ว,เป็นไปที่ว่าอาจมีความหมายภายในซ่อนเร้นอยู่อีก เช่น ความหมายภายนอกของคำว่า ฏีนและซัยตูน ซึ่งอัลลอฮฺ กล่าวไว้ในโองการที่ 1 และ 2 ของบท ฏีนว่า ขอสาบานด้วยพวกเขาว่า, สามารถกล่าวได้ว่าอาจหมายถึงผลมะกอก และมะเดื่อตามที่ประชาชนทั้งหลายเข้าใจ กล่าวคือ ผลมะกอกและมะเดื่อ ที่มาจากต้นมะกอกและต้นมะเดื่อ, แต่ขณะเดียวกันก็สามารถกล่าวถึงความหมายด้านในของโองการได้ ซึ่งสองสิ่งที่ฮะดีซพาดพิงถึงคือ ท่านอิมามฮะซันและอิมามฮุซัยนฺ (อ.) เป็นผลไม้จากต้นวิลายะฮฺ[1] ทำนองเดียวกัน สามารถกล่าวได้ว่า โองการยังมีวัตถุประสงค์อื่นอีก, ดังที่รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงสิ่งนี้เอาไว้, ซึ่งวัตถุประสงค์จาก ฏีน หมายถึง เมืองแห่งเราะซูล ส่วนวัตถุประสงค์ของ ซัยตูน หมายถึง บัยตุลมุก็อดดิส กิบละฮฺแห่งแรกของมวลมุสลิม[2] ตัฟซีรกุมมีกล่าวว่า ...
  • มีฮะดีษกล่าวว่า ใครก็ตามที่ได้ถือศิลอดในสามวันสุดท้ายของเดือนชะอ์บาน เขาจะได้รับมรรคผลเท่ากับการถือศิลอดหนึ่งเดือน จากฮะดีษดังกล่าวเราสามารถที่จะถือศิลอดสามวันนี้แทนการถือศิลอดกอฏอ(ชดเชย)สำหรับหนึ่งเดือนรอมฏอนได้หรือไม่?
    7851 สิทธิและกฎหมาย 2554/11/17
    ไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ เนื่องจากฮะดีษต่างๆ ที่กล่าวถึงปริมาณและรายละเอียดผลบุญของการนมาซและถือศิลอดในวันต่างๆ และเดือนต่างๆ หรือผลบุญของการนมาซหรือการถือศิลอดในบางสถานที่ เช่นที่มักกะฮ์และมาดีนะฮ์นั้น บ่งชี้ให้ทราบเพียงว่า การกระทำดังกล่าวตามเงื่อนไขของเวลาและสถานที่ที่กำหนดไว้มีผลบุญที่มากมายมหาศาลเท่านั้น แต่หากต้องการที่จะทำอิบาดะฮ์เหล่านี้เพื่อชดเชยหรือทดแทนอิบาดะฮ์ต่างๆ ในอดีตที่เป็นวาญิบ อาทิเช่นนมาซ, การถือศิลอด ฯลฯ ในกรณีที่เนียต(ตั้งเจตนา)ว่าจะกระทำเพื่อชดเชย ก็จะถือว่าได้ชดเชยไปเทียบเท่ากับหนึ่งวัน หาใช่มากกว่านั้นแน่นอนว่าการถือศิลอดดังกล่าวจะถือเป็นการชดเชยศิลอดเดือนเราะมะฎอนก็ต่อเมื่อผู้ถือศิลอดจะต้องเนียตเกาะฎอ(ชดเชย)ศิลอดเดือนรอมฏอนด้วย มิเช่นนั้น หากเขาเนียตว่าจะถือศิลอดมุสตะฮับ การถือศิลอดนั้นจะไม่นับว่าชดเชยการถือศิลอดเดือนรอมฏอนแต่อย่างใด ซึ่งจริงๆแล้ว หากผู้ใดที่ยังมีหน้าที่ต้องถือศิลอดวาญิบชดเชย ย่อมไม่สามารถถือศิลอดมุสตะฮับ(สุหนัต)ได้ กรณีนี้ต่างจากการนมาซ เนื่องจากเราสามารถที่จะทำการนมาซมุสตะฮับได้ทั้งที่ยังมีภาระที่จะต้องกอฏอนมาซที่เคยขาด
  • ฮุกุมของการขับร้องเพลงวันประสูติพร้อมกับการบรรเลง (ในงานเฉพาะสตรี)เป็นอย่างไร?
    6285 สิทธิและกฎหมาย 2554/09/11
    ในทัศนะของอิสลามเพลงบรรเลง[1]หรือการขับร้องที่มีลักษณะ“ฆินาอ์”ถือเป็นฮะรอมกล่าวคือไม่ว่าจะเป็นการร้อง, การแสดง, การฟังและการรับค่า
  • จุดประสงค์ของประโยคที่อัลกุรอาน กล่าว่า “สตรีคือไร่นาของบุรุษ” หมายถึงอะไร?
    11258 زن 2555/09/08
    ความหมายของประโยคดังกล่าวที่ว่า “สตรีคือไร่นาของบุรุษ” หมายถึงเป็นการอุปมาสตรีเมื่อสัมพันธ์ไปยังสังคมมนุษย์ ประหนึ่งไร่นาของสังคมมนุษย์นั่นเอง ดั่งประที่ประจักษ์ว่าถ้าหากสังคมปราศจากซึ่งไร่นาแล้วไซร้ พืชพันธ์ธัญญาหาร ต่างๆ ก็จะไม่มีและสูญเสียจนหมดสิ้น สังคมจะปราศจากซึ่งอาหาร สำหรับการดำรงชีพ เวลานั้นพงศ์พันธ์ของมนุษย์ก็จะไม่มีหลงเหลือสืบต่อไปอีกเช่นกัน ดังนั้น ถ้าหากโลกนี้ไม่มีสตรี เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ไม่อาจสืบสานสายตระกูลต่อไปอีกได้ เชื้อสายมนุษย์จะสิ้นสุดลงในที่สุด[1] ตามความเป็นจริงแล้ว อัลกุรอาน ต้องการที่จะแสดงให้สังคมได้เห็นว่า การมีอยู่ของสตรีนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสังคม อย่าเข้าใจผิดว่าสตรีคือที่ระบายความใคร่ หรือกามรมย์ของบุรุษแต่เพียงอย่างเดียว ดังที่บางสังคมเข้าใจเช่นนั้น พวกเขาจึงใช้สตรีไปในวิถีทางที่ผิด ฉะนั้น อัลกุรอานต้องการแสดงให้เห็นว่า ความน่ารักของสตรีมิใช่ที่ระบายตัณหาราคะของผู้ชาย ทว่าพวกนางคือสื่อสำหรับปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้ดำรงสืบต่อไป[2] ดังนั้น โองการข้างต้นคือตัวอธิบายให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างบุรุษและสตรี ดั่งเช่นที่ไร่นาสาโทถ้าปราศจากเมล็ดพันธ์พืช จะไม่มีประโยชน์อันใดอีกต่อไป ในทำนองเดียวกันเมล็ดพันธ์ ถ้าปราศจากไร่นาก็ไม่มีประโยชน์เช่นกัน มีคำพูดกล่าวว่า จากโองการข้างต้นเข้าใจความหมายได้ว่า หน้าที่ของบุรุษคือ ต้องใส่ใจและดูแลภรรยาของตนอย่างดี เพื่อการได้รับประโยชน์ และขณะเดียวกันก็เป็นการสร้างประโยชน์ให้เกิดแก่สังคม
  • มีหนทางใดบ้างสำหรับรักษาสายตาอันร้ายกาจ?
    8163 چشم زخم و طلسم 2555/07/16
    สายตาอันร้ายกาจเกิดจากผลทางจิตวิญญาณ ซึ่งไม่มีเหตุผลในการปฏิเสธแต่อย่างใด,ทว่ามีเหตุการณ์จำนวนมากมายที่เราได้เห็นกับตาตัวเอง มัรฮูมเชคอับบาส กุมมี (รฮ.) แนะนำให้อ่านโองการที่ 51 บทเกาะลัม เพื่อเยียวยาสายตาอันร้ายกาจ, ซึ่งเมื่อพิจารณาสาเหตุแห่งการประทานลงมาของโองการแล้ว เหมาะสมกับการรักษาสายตาอันร้ายกาจอย่างยิ่ง นอกจากโองการดังกล่าวแล้ว ยังมีรายงานกล่าวเน้นถึง การอ่านอัลกุรอานบทอื่นเพื่อรักษาสายตาอันร้ายกาจไว้อีก เช่น อัลกุรอานบท »นาส« »ฟะลัก« »ฟาติฮะฮฺ« »เตาฮีด« นอกจากนี้ตัฟซีรอีกจำนวนมากยังได้กล่าวเน้นให้อ่านอัลกุรอานบทที่กล่าวมา ...
  • ฮะดีษที่ว่า “ผู้ใดสิ้นลมโดยปราศจากสัตยาบัน ถือว่าเขาตายในสภาพญาฮิลียะฮ์” รวมถึงตัวท่านนบี(ซ.ล.)ด้วยหรือไม่?
    8902 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/01/19
    สัตยาบัน(บัยอัต)มีสองด้านด้านหนึ่งคือผู้นำ(นบี,อิมาม) อีกด้านหนึ่งคือผู้ตามในเมื่อท่านนบีเป็นผู้นำจึงถือเป็นฝ่ายได้รับสัตยาบันมิไช่ฝ่ายที่ต้องให้สัตยาบันแน่นอนว่าฮะดีษนี้ต้องการจะสื่อว่าลำพังการรู้จักอิมามยังไม่ถือว่าเพียงพอแต่จะต้องเจริญรอยตามด้วยอย่างไรก็ดีฮะดีษข้างต้นมิได้หมายรวมถึงท่านนบี(ซ.ล.)เนื่องจากเหตุผลที่กล่าวไปแล้วส่วนประเด็นการแต่งตั้งตัวแทนภายหลังจากท่านนบี(ซ.ล.)นั้นเรามีหลักฐานที่ชัดเจนระบุว่าท่านนบี(ซ.ล.)ได้แต่งตั้งท่านอิมามอลี(อ.)เป็นตัวแทนภายหลังจากท่านรายละเอียดโปรดคลิกอ่านจากคำตอบแบบสมบูรณ์ ...
  • การพูดคุยกับผู้หญิงที่ไม่เคยเห็น จะเป็นอะไรหรือไม่?
    9224 สิทธิและกฎหมาย 2554/11/21
    ตามหลักการคำสอนของอิสลามศาสนาบริสุทธิ์, การติดต่อสัมพันธ์ในทุกรูปแบบระหว่างชายหนุ่มและหญิงสาว,ถ้าการติดต่อสัมพันธ์กันนั้นเกรงว่าจะนำไปสู่ข้อครหาหรือเกรงว่าจะนำไปสู่บาปแล้วละก็ถือว่ไม่อนุญาตและมีปัญหาด้านกฏเกณฑ์แน่นอน

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60900 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58596 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42980 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    40769 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39627 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34786 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28852 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28734 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28680 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26565 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...