การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
7490
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/07/16
 
รหัสในเว็บไซต์ fa8723 รหัสสำเนา 15157
หมวดหมู่ تاريخ بزرگان
คำถามอย่างย่อ
ฮะดีษ“หากไร้ซึ่งฟาฏิมะฮ์...”มีสายรายงานอย่างไร? กรุณาชี้แจงความหมายด้วยครับ
คำถาม
ฮะดีษ“หากไร้ซึ่งฟาฏิมะฮ์...”มีสายรายงานอย่างไร? กรุณาชี้แจงความหมายด้วยครับ
คำตอบโดยสังเขป
ผู้เขียนหนังสือญุนนะตุ้ลอาศิมะฮ์ได้อ้างอิงฮะดีษนี้จากหนังสือกัชฟุ้ลลิอาลีประพันธ์โดย ศอลิห์ บิน อับดิลวะฮาบ อร็อนดิส นอกจากนี้หนังสือมุสตัดร็อก สะฟีนะตุ้ลบิฮารก็ได้รายงานจากหนังสือมัจมะอุ้นนูร็อยน์ประพันธ์โดย มัรฮูม ฟาฎิล มะร็อนดี และผู้ประพันธ์หนังสือฎิยาอุ้ลอาละมีนซึ่งเป็นตาของเจ้าของผลงานญะวาฮิรุ้ลกะลาม ก็ได้รายงานฮะดีษนี้ไว้เช่นกัน
หากจะอธิบายประโยคที่ว่าหากไร้ซึ่งฟาฏิมะฮ์ ฉันจะไม่สร้างเจ้าทั้งสอง(นบีและอิมามอลี)”ก็สามารถตีความได้ว่า หากไร้ซึ่งฐานะภาพแห่งความเป็นบ่าว ฐานะภาพแห่งการเป็นนบีและอิมามก็จะไม่มีวันบรรลุเป้าประสงค์ได้ ทั้งนี้เนื่องจากนุบูวัตและอิมามัตเป็นทางผ่านไปสู่ความเป็นบ่าวของอัลลอฮ์โดยดุษณี แม้ว่าท่านนบี(..)และท่านอิมามอลี(.)จะมีฐานะภาพดังกล่าว แต่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์มีฐานะภาพดังกล่าวชัดเจนกว่า เนื่องจากไม่ดำรงตำแหน่งอื่นเช่นนุบูวัตและอิมามัต ด้วยเหตุนี้ ฮะดีษดังกล่าวจึงเน้นย้ำเกี่ยวกับท่านหญิงเป็นพิเศษ.
คำตอบเชิงรายละเอียด

มีฮะดีษมากมายที่กล่าวถึงฐานะภาพของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บางฮะดีษระบุว่าเธอมีฐานะภาพพิเศษอันน่าพิศวง ฮะดีษบางบทกล่าวว่า คำว่าฟาฏิมะฮ์หมายถึงสตรีที่คนทั่วไปไม่อาจล่วงรู้ฐานะภาพที่แท้จริงของเธอได้[1] ประหนึ่งว่ารหัสยะของอัลลอฮ์แฝงอยู่ในท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ซึ่งหากสามารถรู้จักฐานะภาพที่แท้จริงของเธอ ก็จะทำให้สามารถรู้จักพระองค์อย่างถ่องแท้ได้ ดังที่สถานะความเป็นฟาฏิมะฮ์ก็ทำให้ทราบถึงสถานะอันได้รับการปกปิดไว้ในเขตหวงห้ามของอัลลอฮ์เกินกว่าผู้ใดจะเข้าถึง

เป็นที่ทราบกันดีว่า ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์มิได้เป็นทั้งนบีและอิมาม นั่นแสดงว่าตัวแปรที่ทำให้ท่านหญิงได้รับฐานะภาพอันสูงส่งนี้มิไช่ตำแหน่งนุบูวัตและอิมามัต ตัวแปรอันเปรียบประดุจอัญมณีน้ำงามนี้ ไม่ว่าเราจะเรียกว่าอย่างไรก็ไม่อาจเข้าถึงแก่นแท้ได้ แต่หากจะถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูด ก็คงจะบัญญัติศัพท์ได้ว่าอัญมณีแห่งความเป็นบ่าว(อับด์)” อันหมายถึงการเป็นบ่าวของอัลลอฮ์โดยดุษณี สลายอัตตาและเชื่อมั่นอย่างสุดใจว่าทุกอย่างเป็นกรรมสิทธิของอัลลอฮ์ สิ่งนี้ทำให้บ่าวมีสถานะเปรียบดังกระจกเงาที่สะท้อนความยิ่งใหญ่ของพระองค์ ด้วยเหตุนี้เองที่ท่านอิมามญะอ์ฟัร(.)กล่าวไว้ว่าการเป็นบ่าวคืออัญมณีที่มีภาวะแห่งพระผู้อภิบาลเป็นแกนกลาง[2] อัญมณีเม็ดนี้แหล่ะ ที่เป็นความเร้นลับสุดยอดของวิถีแห่งอิรฟานที่มนุษย์แสวงหา

มีฮะดีษหนึ่งกล่าวว่า การรู้จักท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ไม่ต่างจากการค้นพบลัยละตุ้ลก็อดร์[3] บรรดานักจาริกจิตวิญญาณทุกคนปรารถนาจะเข้าถึงแก่นแท้ของลัยละตุ้ลก็อดร์ และอาริฟที่บรรลุความใกล้ชิดพระองค์แล้วเท่านั้นที่จะได้สัมผัสการประทานกุรอานในค่ำคืนนี้
ในขณะที่บรรดาอิมาม(.)มีศักดิ์เป็นกุรอานพูดได้แสดงว่าแก่นแท้ของตำแหน่งอิมามเกี่ยวโยงกับการได้สัมผัสแก่นแท้ของกุรอาน และนี่คือเหตุผลที่ว่าแก่นแท้ของตำแหน่งอิมามมีความเชื่อมโยงกับฐานะภาพของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์

ตำแหน่งการเป็นนบีเป็นที่ปรากฏชัดเจนสำหรับบุคคลทั่วไป ส่วนตำแหน่งอิมามก็ได้รับการเผยแผ่โดยตำแหน่งนบีในฐานะผู้เติมเต็มศาสนา ซึ่งกลุ่มบุคคลพิเศษเท่านั้นที่เคารพเชื่อฟัง ตำแหน่งอิมามเองก็มีแก่นสัจธรรมประการหนึ่งที่ซ่อนเร้นจากบุคคลอื่น(นอกจากผู้ได้รับเอกสิทธิจากอัลลอฮ์) ซึ่งสัจธรรมดังกล่าวก็คือ ฐานะภาพอันลี้ลับของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ที่ปกปักษ์ไว้โดยเดชานุภาพของอัลลอฮ์และตำแหน่งอิศมัต(ไร้บาป)นั่นเอง

ฉะนั้น แก่นของนุบูวัต(ตำแหน่งนบี)ก็คืออิมามัต(ตำแหน่งอิมาม) และธาตุแท้ของอิมามัต ก็คืออุบูดียัต(ความเป็นบ่าว) สิ่งสำคัญในจุดนี้ก็คือ ท่านนบี(..)มีทั้งสามฐานะภาพดังกล่าวอย่างสมบูรณ์และเป็นหนึ่งเดียว แม้กระนั้น ความเป็นอิมามของท่านนบีเผยชัดเจนในบุคลิกของอิมามอลี(.) และสถานะความเป็นบ่าวก็เผยชัดเจนในบุคลิกของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ในระดับที่นับเป็นอัตลักษณ์ของแต่ละท่าน เมื่อพิจารณาลำดับฐานะภาพของท่านนบีก็จะเห็นได้ว่า ความเป็นบ่าวของท่านอยู่เหนือกว่าฐานะภาพนุบูวัตและอิมามัต ด้วยเหตุนี้ จึงไม่ผิดนักที่เราจะพูดว่า สิ่งที่เป็นอัตลักษณ์ของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(อุบูดียัต)ก็คือฐานะภาพสูงสุดสำหรับมนุษย์ อันเป็นเป้าประสงค์ของทั้งนุบูวัตและอิมามัต

ฮะดีษหากไร้ซึ่งฟาฏิมะฮ์...”
กลุ่มฮะดีษจากนบี(..)และอิมาม(.)ที่สาธยายถึงฐานะภาพของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ตลอดจนฮะดีษกุ๊ดซี(วจนะอัลลอฮ์ในสำนวนนบี)ที่เกี่ยวกับเรื่องนี้[4] ล้วนชี้ให้เห็นถึงแนวคิดที่เราได้นำเสนอข้างต้น แต่ฮะดีษที่ระบุถึงฐานะภาพอันลี้ลับของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์โดยตรง ซึ่งได้รับการบันทึกไว้โดยผู้รู้หลายท่าน ก็คือฮะดีษที่ว่า
لولاک لما خلقت الافلاک . و لولا علی لما خلقتک . و لولا فاطمه لما خلقتکما[5]
แม้ว่าในแง่ของวิชาคัดกรองสายรายงาน ฮะดีษนี้จะจัดเป็นฮะดีษฎออี้ฟแต่ผู้รู้ระดับสูงหลายท่านได้บันทึกไว้ในตำราของตน อาทิเช่น ส่วนท้ายของฮะดีษ (و لولا فاطمه لما خلقتکما) ได้รับการบันทึกไว้ในหนังสือ ญุนนะตุ้ลอาศิมะฮ์ หน้า 148 รายงานจากหนังสือกัชฟุ้ลลิอาลี ผลงานของ ท่านศอลิห์ บิน อับดิลวะฮาบ อร็อนดิส. มุสตัดร็อก สะฟีนะตุ้ลบิฮ้าร เล่ม 3 หน้า 334 รายงานจากหนังสือ มัจมะอุ้นนูร็อยน์ เขียนโดย ฟาฎิ้ล มะร็อนดี. นอกจากนี้ผู้ประพันธ์หนังสือ ฎิยาอุ้ลอาละมีน ผู้เป็นตาของท่านผู้ประพันธ์ ญะวาฮิรุ้ลกะลาม ก็ได้รายงานไว้เช่นกัน.
มีรซอ อบุ้ลฟัฎล์ เตหรานี กล่าวไว้ในหนังสือชิฟาอุศศุดู้ร ฟี ชัรฮิ ซิยาเราะตุ้ลอาชู้รหน้า 84 ว่าศอลิห์ บิน อับดิลวะฮาบและสายรายงานบางคนของเขาไม่เป็นที่รู้จัก แต่ก็มิได้หมายความว่าฮะดีษนี้ถูกกุขึ้นมา
ไม่ไช่เรื่องแปลกที่ฮะดีษที่เกี่ยวกับฐานะภาพอันสูงส่งของบรรดามะอ์ศูมีนจะมีสายรายงานที่ไม่เป็นที่รู้จักนัก ทั้งนี้เพราะในยุคของบรรดาอิมาม แม้ว่านักรายงานฮะดีษที่เกี่ยวกับบทบัญญัติฟิกเกาะฮ์จะที่ไม่เป็นที่จับตาของทางการ แต่นักรายงานฮะดีษที่เกี่ยวกับหลักศรัทธามักจะต้องหลบหลีกการจับตาเป็นพิเศษ จึงทำให้ไม่เป็นที่รู้จักในแวดวงนักรายงานฮะดีษ ส่งผลให้ไม่สามารถยืนยันสถานะทางฮะดีษศาสตร์ได้อย่างชัดเจน แต่กระนั้น การที่สายรายงานเหล่านี้ไม่เป็นที่รู้จัก ไม่ได้ทำลายความน่าเชื่อถือของฮะดีษแต่อย่างใด โดยเฉพาะหากมีคุณสมบัติตามเงื่อนไขวิชาการ อย่างไรก็ดี การที่บรรดาอิมามมักจะปรารภเกี่ยวกับประเด็นเหล่านี้กับนักรายงานฮะดีษกลุ่มนี้เสมอ ทำให้ทราบว่าคนกลุ่มนี้อาจจะเป็นสหายผู้รักษาความลับดังที่จะเห็นว่าฮะดีษประเภทดังกล่าวรายงานโดยบุคคลกลุ่มนี้บ่อยครั้ง[6]

ส่วนในแง่เนื้อหานั้น  ฮะดีษดังกล่าวประกอบด้วยสามส่วนด้วยกัน:
1. 
มนุษย์ผู้สมบูรณ์คือจุดประสงค์ของการสรรสร้างจักรวาล
2. การที่อิมามัตเหนือกว่านุบูวัต
3. การที่อุบูดียัตเหนือกว่าทั้งสองฐานะภาพข้างต้น
ประเด็นที่หนึ่งอ้างอิงจากประโยคแรกในฮะดีษที่ว่าหากไร้ซึ่งเจ้า(นบี) ข้าก็จะไม่สร้างจักรวาล" ซึ่งได้รับการยืนยันจากฮะดีษอื่นๆเช่นกัน ประโยคดังกล่าวต้องการจะสื่อว่าการกำเนิดมนุษย์ผู้สมบูรณ์คือเป้าหมายของการสร้างทุกสรรพสิ่ง เพราะอัลลอฮ์ทรงให้ความสำคัญแก่เขาในฐานะที่เป็นผู้สนองเจตน์จำนงของพระองค์บนหน้าแผ่นดิน เกี่ยวกับเรื่องนี้มีการอธิบายโดยผู้รู้สายจิตนิยมมากมาย ซึ่งจะขอหยิบยกมากล่าว  ที่นี้เพียงตัวอย่างเดียวดังต่อไปนี้:
หากไม่มีมิติแห่งเอกานุภาพของอัลลอฮ์ ก็จะไม่มีมิติแห่งพหุลักษณ์ของสรรพสิ่งต่างๆ หลักความสอดคล้องกันระหว่างปฐมเหตุและผลลัพท์กำหนดว่า ระหว่างปฐมเหตุซึ่งเป็นเอกะในทุกมิติ และผลลัพท์ซึ่งเป็นพหุลักษณ์นั้น จะต้องมีสิ่งที่เชื่อมต่อกัน โดยมีสถานะเชิงเอกะในด้านความสัมพันธ์กับปฐมเหตุ แต่ขณะเดียวกันก็สามารถสอดรับกับพหุลักษณ์ที่มีในสรรพสิ่งต่างๆได้ ภาวะดังกล่าวจะเกิดขึ้นในชั้นมิติแห่งจิตเท่านั้น  ไม่ไช่ว่าทุกจิตสามารถเป็นโซ่ข้อกลางได้ แต่จิตของนบี(..)และอะฮ์ลุลบัยต์(.)เท่านั้นที่มีศักยภาพที่จะทำหน้าที่ดังกล่าว ฉะนั้น หากไร้ซึ่งจิตของท่านนบี จักรวาลนี้ก็จะไร้ซึ่งจุดเชื่อมต่อที่มีสถานะเป็นเอกะ ซึ่งพหุลักษณ์ของทุกสรรพสิ่งก็จะไม่เกิดขึ้น.[7]

ส่วนประโยคต่อมาก็คือلولا علی لما خلقتکประโยคนี้ต้องการสื่อว่าอิมามัตสูงส่งกว่านุบูวัต ทั้งนี้เพราะคุณสมบัติเด่นของนุบูวัตหรือศาสนทูตก็คือ การเป็นทูตศาสนา ทว่าอิมามัตนั้นสูงส่งกว่าเนื่องจากเป็นตำแหน่งของผู้ที่เข้าถึงเตาฮี้ดระดับสมบูรณ์ และลอดผ่านภาวะแห่งฟะนาอ์(อนัตตา)เข้าสู่ความใกล้ชิดกับพระองค์แล้ว ด้วยเหตุนี้กุรอานจึงกล่าวถึงเรื่องราวของนบีอิบรอฮีมว่า ท่านได้ผ่านการทดสอบหลากหลายขั้นตอน จนกระทั่งบรรลุถึงตำแหน่งอิมามทั้งที่ก่อนหน้านี้เป็นนบีมาโดยตลอด อย่างไรก็ดี แม้ท่านนบีมุฮัมมัด(..)จะบรรลุตำแหน่งอิมามก็จริง ทว่าในเมื่อท่านเป็นที่รู้จักในฐานะนุบูวัตแล้ว อิมามัตจึงกลายเป็นอัตลักษณ์ของท่านอิมามอลี(.)ในสายตาของบุคคลทั่วไป

ที่กล่าวมาทั้งหมด มิได้ต้องการสื่อว่าท่านอิมามอลี(.)มีฐานะเหนือท่านนบี(..) แต่ต้องการสื่อว่าอิมามัตเหนือกว่านุบูวัต(ที่ปราศจากอิมามัต) ทั้งนี้ก็เนื่องจากเป็นที่ชัดเจนอยู่แล้วว่าท่านนบี(..)มีฐานะภาพเหนือกว่าอิมามอลี(.) ดังที่ท่านอิมามอลีกล่าวเองว่าฉันคือบ่าวทาสคนหนึ่งในจำนวนบ่าวทั้งหมดของนบีมุฮัมมัด(..)”[8]

ส่วนประโยคสุดท้ายที่ว่าหากไร้ซึ่งฟาฏิมะฮ์ ข้าจะไม่สร้างเจ้าทั้งสอง(นบีและอิมามอลี)” สื่อถึงฐานะภาพอันสูงส่งที่แม้จะมีในตัวท่านนบีและอิมามอลีอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ แต่ด้วยเหตุผลที่กล่าวไปแล้ว ทำให้ฐานะภาพนี้กลายเป็นอัตลักษณ์ของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ไปโดยปริยาย ฐานะภาพสูงสุดนี้ก็คืออุบูดียัต

ฉะนั้นจึงอธิบายประโยคดังกล่าวได้ดังนี้ว่า หากไร้ซึ่งฐานะภาพแห่งอุบูดียัตแล้ว นุบูวัตและอิมามัตก็จะไม่สมบูรณ์และไม่บรรลุเป้าประสงค์ เนื่องจากทั้งนุบูวัตและอิมามัตมีไว้ก็เพื่อที่จะบรรลุสู่ความเป็นอับด์(บ่าว)ที่ยอมสยบโดยดุษณีต่อพระองค์ แต่ใช่ว่าท่านนบี(..)และอิมามอลี(.)จะไม่มีฐานะภาพนี้ ท่านทั้งสองมีฐานะภาพดังกล่าวอย่างสมบูรณ์ แต่จากการที่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์มีเพียงฐานะภาพนี้ จึงทำให้โดดเด่นเป็นพิเศษในประโยคนี้ของฮะดีษ แต่ในทัศนะของพระองค์แล้ว เบื้องต้นของดวงจิตทั้งสามท่านถือเป็นหนึ่งเดียว

ข้อสรุปของประเด็นนี้ก็คือ หากผู้ใดสามารถบรรลุถึงฐานะแห่งอุบูดียัต เขาย่อมมีฐานะ(มิไช่ภาระหน้าที่)สูงกว่านุบูวัตและอิมามัต ซึ่งจริงๆแล้ว ท่านนบี(..)และบรรดาอิมาม(.)เองก็ได้รับตำแหน่งและภาระหน้าที่แห่งนุบูวัตและอิมามัตจากการบรรลุถึงอุบูดียัตทั้งสิ้น  และอุบูดียัตนี้แหล่ะ ที่เป็นฐานะสูงสุดของนบีและบรรดาอิมามในทัศนะของอัลลอฮ์
กล่าวคือ นุบูวัตและอิมามัตเป็นฐานะภาพที่มีภาระผูกพันกับมนุษย์ แต่อุบูดียัตคือฐานะภาพที่มีสัมพันธ์โดยตรงกับอัลลอฮ์ จากจุดนี้แน่นอนว่าอุบูดียัตย่อมเหนือกว่านุบูวัตและอิมามัต.



[1] บิฮารุ้ลอันว้าร,.มัจลิซี,เล่ม 43,หน้า 61, :إِنَّمَا سُمِّیَتْ فَاطِمَةَ لِأَنَّ الْخَلْقَ فُطِمُوا عَنْ مَعْرِفَتِهَا

[2] มิศบาฮุชชะรีอะฮ์,หน้า 7,.สำนักพิมพ์อะอ์ละมี

 العبودیة جوهر کنهها الربوبیة فما فقد من العبودیة وجد فی الربوبیة و ما خفی عن الربوبیة أصیب فی العبودیة

[3] บิฮารุ้ลอันว้าร,.มัจลิซี,เล่ม 43,หน้า 65 :

مُحَمَّدُ بْنُ الْقَاسِمِ بْنِ عُبَیْدٍ مُعَنْعَناً عَنْ أَبِی عَبْدِ اللَّهِ ع أَنَّهُ قَالَ إِنَّا أَنْزَلْناهُ فِی لَیْلَةِ الْقَدْرِ اللَّیْلَةُ فَاطِمَةُ وَ الْقَدْرُ اللَّهُ فَمَنْ عَرَفَ فَاطِمَةَ حَقَّ مَعْرِفَتِهَا فَقَدْ أَدْرَکَ لَیْلَةَ الْقَدْر...

[4] เพียงหนังสืออัลกิดดีซะฮ์ ฟิลอะฮาดีซิล กุ้ดซียะฮ์ประพันธ์โดย อิสมาอีล อัลอันศอรี มีฮะดีษกุ้ดซีเกี่ยวกับฐานะภาพท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ถึง 252 บท,สำนักพิมพ์ดะลีเลมอ

[5] อัลอัสรอรุ้ลฟาฎิมียะฮ์,เชคมุฮัมมัด ฟาฎิ้ล มัสอูดี:

 یا أحمد لولاک لما خلقت الأفلاک ، ولولا علی لما خلقتک ، ولولا فاطمة لما خلقتکما
(อัลญุนนะตุ้ลอาศิมะฮ์,149 /มุสตั้ดร็อก สะฟีนะตุ้ลบิฮาร,เล่ม3,หน้า 337 จากมัจมะอุ้นนูร็อยน์, 14 จากอัลอะวาลิม, 44)
هذا الحدیث من الأحادیث المأثورة التی رواها جابر بن عبد الله الأنصاری عن رسول الله صلى الله علیه وآله وسلم عن الله تبارک وتعالى
(
เชคมุฮัมมัดฟาฎิ้ล มัสอูดี,หน้า 231.)

[6] ดู: เลาลาฟาฏิมะฮ์,.มุฮัมมัดอลี เฆรอมี,หน้า 141-143.

[7] อ้างแล้ว,หน้า 34

[8] อัลกาฟี,เชคกุลัยนี,เล่ม 1,หน้า 89.

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39933 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • เหตุใดจึงห้ามกล่าวอามีนในนมาซ?
    11083 สิทธิและกฎหมาย 2555/04/02
    มีฮะดีษจากอะฮ์ลุลบัยต์ระบุว่าการกล่าวอามีนในนมาซไม่เป็นที่อนุมัติ และจะทำให้นมาซบาฏิล โดยหลักการแล้ว ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ถึงการไม่เป็นที่อนุมัติ ทั้งนี้ก็เพราะการนมาซเป็นอิบาดะฮ์ประเภทหนึ่ง ซึ่งย่อมไม่สามารถจะเพิ่มเติมได้ตามใจชอบ ฉะนั้น หากไม่สามารถจะพิสูจน์การเป็นที่อนุมัติของส่วนใดในนมาซด้วยหลักฐานทางศาสนา ก็ย่อมแสดงว่าพฤติกรรมนั้นๆไม่เป็นที่อนุมัติ เพราะหลักเบื้องต้นในการนมาซก็คือ ไม่สามารถจะเพิ่มเติมใดๆได้ หลักการสงวนท่าที(อิห์ติยาฏ)ก็หนุนให้งดเว้นการเพิ่มเติมเช่นนี้ เนื่องจากเมื่อเอ่ยอามีนออกไป ผู้เอ่ยย่อมไม่แน่ใจว่านมาซจะยังถูกต้องอยู่หรือไม่ ต่างจากกรณีที่มิได้กล่าวอามีน ...
  • ตามทัศนะของอัลกุรอาน, มนุษย์คือสิ่งมีอยู่ที่โง่เขลากดขี่,หรือว่าเป็นเคาะลีฟะตุลลอฮฺ?
    9585 การตีความ (ตัฟซีร) 2554/10/22
    1.ด้านหนึ่งอัลกุรอานได้ให้นิยามเกี่ยวกับตำแหน่งและฐานะภาพอันสูงส่งของมนุษย์เอาไว้, และอีกด้านหนึ่งโองการจำนวนมาก,ได้กล่าวประณามและดูหมิ่นมนุษย์เอาไว้เช่นกัน.2.การเคลื่อนไหวของมนุษย์มี 2 ลักษณะกล่าวคือ เคลื่อนไปสู่ความสูงส่งและความตกต่ำอย่างสุดโต่ง ชนิดที่ไม่มีขอบเขตจำกัดหรือมีพรมแดนแต่อย่างใด และสิ่งนี้สืบเนื่องมาจากศักยภาพอันสูงส่งในแง่ต่างๆ ของมนุษย์นั่นเอง3.มนุษย์คือสรรพสิ่งหนึ่งที่มี 2 องค์ประกอบสำคัญได้แก่, องค์ประกอบด้านจิตวิญญาณและกายภาพหรือสภาวะของความเป็นเดรัจฉาน4.มนุษย์แตกต่างไปจากสรรพสิ่งอื่น, เนื่องมนุษย์ใช้ประโยชน์จากความต้องการและเจตนารมณ์เสรี ขณะที่แนวทางการดำเนินชีวิตของเขาได้เลือกสรรไปตามพื้นฐานที่ได้ถูกวางและสะสมเอาไว้5.สำหรับบุคคลที่ได้เข้าถึงตำแหน่งเคาะลีฟะตุลลอฮฺ เขาก็จะได้รับการชี้นำจากอัลลอฮฺ และสามารถควบคุมอำนาจฝ่ายต่ำโดยเฉพาะอย่างยิ่งอำนาจแห่งความเป็นเดรัจฉานไว้ได้อย่างมั่นคง ...
  • สินไหมชดเชยการฆ่าผิดพลาด เป็นจำนวนเท่าไหร่? ทุกวันนี้ค่าเงินดีนารและดิรฮัม, เทียบเท่ากี่ดอลลาร์?
    8068 สิทธิและกฎหมาย 2555/05/20
    ค่าเงินดิรฮัมและดีนาร เป็นค่าเงินสมัยท่านเราะซูล (ซ็อล ฯ) และอิมามมะอฺซูม (อ.) ซึ่งปัจจุบันภารกิจด้านชัรอียฺและกฎหมายก็ยังใช้อยู่ และปัจจุบันบางภารกิจยังใช้ค่าเงินนั้นอยู่ ดีนาร, คือเหรียญซึ่งทำจากทองคำ ส่วนดิรฮัมทำด้วยเงิน, ดังนั้น ถ้ารู้น้ำหนักทองหรือเงินที่ใช้ทำเหรียญ ดินาร และดิรฮัม ก็จะทำให้เราเข้าใจถึงราคาปัจจุบันของเหรียญทั้งสองทันที, ปกติดินารชัรอียฺ ประมาณ 4/42 กรัม แต่ทัศนะของบางคนกล่าวว่า 4/46 กรัม[1] ดังนั้น ถ้าคิดเทียบอัตราค่าทองและเงินในปัจจุบัน ก็สามารถกำหนดราคาทองคำและเงิน โดยคำนวณเป็นเงินดอลลาร์ได้อย่างง่ายดาย แต่สำหรับภารกิจบางอย่าง ซึ่งอยู่ในฐานะของ สินไหมชดเชยการฆ่าผิดพลาด จำเป็นต้องจ่ายออกไปเป็นดิรฮัมและดินาร ซึ่งสามารถแบ่งได้หลายกรณีดังนี้ : 1.ถ้าหากผู้ตายเป็นชาย เป็นมุสลิม ...
  • อิสลามมีบทบัญญัติอย่างไรเกี่ยวกับการโคลนนิ่ง?
    8897 สิทธิและกฎหมาย 2554/08/09
    การโคลนนิ่งโดยเฉพาะการโคลนนิ่งมนุษย์ถือเป็นประเด็นปัญหาใหม่จึงไม่อาจจะพบโองการกุรอานหรือฮะดีษที่ระบุเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรงอย่างไรก็ดีผู้รู้และนักวิชาการชีอะฮ์ได้ใช้กระบวนการวินิจฉัยหลักฐานจากกุรอานและฮะดีษทำให้สามารถแสดงทัศนะเกี่ยวกับเรื่องนี้ซึ่งแบ่งออกเป็นสามทัศนะด้วยกัน
  • ใครเป็นผู้ประพันธ์ริซาละฮ์เศาะฟี้รซีโม้รก์? มีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร?
    7259 รหัสยทฤษฎี 2555/02/18
    ผู้ประพันธ์ริซาละฮ์เศาะฟี้รซีโม้รก์คือ ชะฮาบุดดีน ยะฮ์ยา บิน ฮะบัช บิน อมีร็อก อบุลฟุตู้ฮ์ ซุฮ์เราะวัรดี หรือที่รู้จักกันในฉายา “เชคอิชร้อก”“เศษะฟี้ร” หมายถึงเสียงที่ลากยาว รื่นหู และปราศจากคำพูดที่เปล่งจากริมฝีปากทั้งสอง ส่วน “ซีโม้รก์” เป็นชื่อสัตว์ปีกชนิดหนึ่งที่เปรียบเสมือนราชาแห่งฝูงวิหคในนิยาย ในเชิงวิชาอิรฟานหมายถึงผู้เฒ่าผู้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ อย่างไรก็ดี เรื่องราวของซีโม้รก์ได้รับการเล่าขานหลากเรื่องราวในตำรับตำราด้านวรรณกรรมเปอร์เซียและรหัสยนิยม(อิรฟาน)ในหนังสือเล่มนี้ เชคอิชร้อกได้แสดงถึงความสำคัญของการจาริกทางจิตวิญญาณสู่อัลลอฮ์ อีกทั้งอธิบายถึงสภาวะและอุปสรรคนานัปการในหนทางนี้ ...
  • โปรดบอกวิธีการทำลายพระนามของอัลลอฮฺที่ปรากฏอยู่ตามจดหมายต่างๆ หรือตามกระดาษอื่นๆ
    6249 สิทธิและกฎหมาย 2554/11/21
    เป็นความจำเป็นและวาญิบต้องให้เกียรติและแสดงความเคารพต่อพระนามของอัลลอฮฺการไม่ให้เกียรติหรือไม่แสดงความเคารพหรือดูถูกพระนามเหล่านั้นถือว่าฮะรอมดังนั้น
  • ถ้าหากพิจารณาบทดุอาอฺต่างๆ ในอัลกุรอาน จะเห็นว่าดุอาอฺเหล่านั้นได้ให้ความสำคัญต่อตัวเองก่อน หลังจากนั้นเป็นคนอื่น เช่นโองการอัลกุรอาน ที่กล่าวว่า “อะลัยกุม อันฟุซะกุม” แต่เมื่อพิจารณาดุอาอฺของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺจะพบว่าท่านหญิงดุอาอฺให้กับคนอื่นก่อนเป็นอันดับแรก, ดังนั้น ประเด็นนี้จะมีทางออกอย่างไร?
    9455 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/12/21
    ในตำแหน่งของการขัดเกลาจิตวิญญาณและยกระดับจิตใจตนเองนั้น, มนุษย์ต้องคำนึงถึงตัวเองก่อนบุคคลอื่นเพราะสิ่งนี้เป็นคำสั่งของอัลกุรอานและรายงานนั่นเอง, เนื่องจากถ้าปราศจากการขัดเกลาจิตวิญญาณแล้วการชี้แนะแนวทางแก่บุคคลอื่นจะบังเกิดผลน้อยมาก, แต่ส่วนในตำแหน่งของดุอาอฺหรือการวิงวอนขอสิ่งที่ต้องการจากพระเจ้า,ถือว่าเป็นความเหมาะสมอย่างยิ่งที่มนุษย์จะวอนขอให้แก่เพื่อนบ้านหรือบุคคลอื่นก่อนตัวเอง, ...
  • สตรีสามารถที่จะติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นในโลกไซเบอร์โดยไม่ขออนุญาตจากสามีหรือไม่?
    5759 สิทธิและกฎหมาย 2555/02/05
    คำตอบของบรรดามัรยิอ์เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวมีดังนี้อายาตุลลอฮ์คอเมเนอี “หากไม่จำเป็นที่จะต้องครอบครองทรัพย์สินของสามีก็ถือว่าไม่จำเป็นที่จะต้องขออนุญาตแต่จะต้องคำนึงว่าการติดต่อสื่อสารกับผู้ที่ไม่ใช่มะฮ์รอมส่วนใหญ่จะทำให้เกิด... หรืออาจจะทำให้ตกในการกระทำบาปซึ่งไม่อนุญาต”อายาตุลลอฮ์ซิซตานี “การติดต่อสื่อสารกับผู้ที่ไม่ใช่มะฮ์รอมถือว่าไม่อนุญาต”อายาตุลลอฮ์ศอฟีกุลฟัยกานี “โดยรวมแล้วการติดต่อสื่อสารในลักษณะนี้แม้ว่าสามีอนุญาติก็ไม่ถือว่าสามารถจะกระทำได้”ฮาดาวีเตหะรานี “หากการติดต่อสื่อสารในโลกไซเบอร์อยู่ในขอบเขตที่อนุญาตและไม่เกรงที่จะเกิดบาปเป็นที่อนุญาตและไม่จำเป็นที่จะต้องขออนุญาติจากสามี” ...
  • ท่านอิมามฮุเซน(อ.)มีบุตรสาวคนหนึ่งชื่อรุก็อยยะฮ์ไช่หรือไม่?
    8617 สิทธิและกฎหมาย 2554/12/04
    คำถามนี้ไม่มีคำตอบแบบสั้น ปรดเลือกปุ่มคำตอบที่สมบูรณ์ ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60481 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58061 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42587 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39933 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39229 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34341 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28388 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28315 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28249 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26184 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...