การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
7626
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2555/01/23
 
รหัสในเว็บไซต์ fa11599 รหัสสำเนา 21052
คำถามอย่างย่อ
แนวทางความคุ้นเคยกับอัลกุรอาน และความหลงใหลคืออะไร?
คำถาม
ถ้าหากมีวัยรุ่นต้องการคำแนะนำจากท่าน ให้ช่วยโน้มน้าวเขาไปสู่อัลกุรอาน หรือมีความรักต่ออัลกุรอาน ท่านจะมีวิธีการแนะนำเขาอย่างไร?
คำตอบโดยสังเขป

ถ้าหากท่นได้อ่านอัลกุรอาน, เพียงแค่เนียตเพื่ออัลลอฮฺ พร้อมกับใคร่ครวญและปฏิบัติตาม, เท่านี้ความรักในอัลกุรอาน ก็จะเกิดขึ้นโดยปริยาย และจะทำให้มนุษย์มีความรักต่ออัลกุรอาน

คำตอบเชิงรายละเอียด

อะดีซจากท่านอิมามซอดิก (.) กล่าวว่า ความถูกต้องอันอมตะคือ ผลพวงที่เกิดจากความมักคุ้นที่มีต่ออัลกุรอาน นับตั้งแต่วัยเด็กเรื่อยมา :

เยาวชนทุกคนที่มีศรัทธา ได้อ่านอัลกุรอาน ฟังอัลกุรอาน และอัลกุรอานได้ผสมผสานเข้าไปในเนื้อหนังมังสาของเขา พระผู้เป็นเจ้าจะจัดให้เขาอยู่ในแถวเดียวกันกับมลาอิกะฮฺ และอัลกุรอาน และจะกลายเป็นผู้พิทักษ์ปกป้องเขาในวันฟื้นคืนชีพ..ดังนั้น ถ้าเขายิ่งมีความอดทนอดกลั้นมากเท่าใด ผลรางวัลของเขาก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น[1]

แต่อย่างไรก็ตามสำหรับการที่จะได้รับประโยชน์ด้านจิตวิญญาณของอัลกุอานนั้น จำเป็นต้องรักษาเงื่อนไขสำคัญเอาไว้ ซึ่งสำคัญที่สุดของเงื่อนไขเหล่านั้นคือ การเอาใจใส่เรื่องความสำรวมตนต่ออัลลอฮฺ มนุษย์จำเป็นต้องปฏิบัติตนให้เข้ากับอัลกุรอาน ทั้งสองด้าน เขาจำเป็นต้องรับทุกคำแนะนำสั่งสอนของอัลกุรอาน แล้วต้องปฏิบัติตามคำสอนเหล่านั้น เพื่อว่าจะได้ทำให้จิตใจของตนมีความสูงส่ง และได้รับประโยชน์จากด้านอื่นของอัลกุรอาน มิเช่นนั้นแล้ว การล่วงรู้ในคำแนะนำสั่งสอนของอัลกุรอาน หรือการอ่านอัลกุรอาน เพียงอย่างเดียวไม่สามารถปลดเปลื้องปมเงื่อนงำในกิจการงานของเขาได้ดอก

โปรดพิจารณาโองการอัลกุรอาน เกี่ยวกับประเด็นนี้ :

1. และเราได้ให้ส่วนหนึ่งจากอัลกุรอานลงมา ซึ่งเป็นการบำบัดและความเมตตาแก่บรรดาผู้ศรัทธา แต่อัลกุรอานมิได้เพิ่มอันใดแก่พวกอธรรม นอกจากการขาดทุนเท่านั้น[2]

2. “จงกล่าวเถิด "อัลกุรอานนั้นเป็นแนวทางที่เที่ยงธรรมและเป็นการบําบัดแก่บรรดาผู้มีศรัทธา ส่วนบรรดาผู้ไม่มีศรัทธานั้น ในหูของพวกเขามีจะหนวก และอัลกุรอานเป็นความบอดสำหรับพวกเขา ชนเหล่านี้จะถูกร้องเรียกจากสถานที่อันไกล"[3]

3. “แท้จริง อัลกุรอานนี้ชี้นำกลุ่มชนสู่ทางที่เที่ยงตรงยิ่ง และแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ศรัทธาที่ประกอบความดี[4]

4. “ดังนั้น เจ้าจงตักเตือนด้วยอัลกุรอานนี้แก่ผู้กลัวการลงโทษของฉันให้ระวัง[5]

บนพื้นฐานดังกล่าวนี้เอง, ก่อนที่จะอ่านอัลกุรอาน,จงหลีกเลี่ยงจากชัยฏอนไปสู่การคุ้มครองของอัลลอฮฺเถิดดังนั้น เมื่อเจ้าอ่านอัลกุรอาน ก็จงขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺให้พ้นจากชัยฏอนที่ถูกอเปหิ[6] และเมื่ออ่านอัลกุรอาน, จงรำลึกถึงสัญลักษณ์ต่างๆ ของพระผู้อภิบาลเถิด, และจงอย่าทำตนเยี่ยงคนหูหนวกตาบอดและบรรดาผู้ที่เมื่อถูกกล่าวเตือนให้รำลึกถึงโองการทั้งหลายของพระผู้อภิบาลของ พวกเขา พวกเขาจะไม่ผินหลังให้เป็นสภาพเช่นคนหูหนวกตาบอด[7] ทว่าพวกเธอจงก้มกราบศีรษะแนบพื้นดินด้วยน้ำตาและความความสำรวมเมื่ออัลกุรอานได้ถูกอ่านแก่พวกเขาแล้ว พวกเขาจะหมอบลง ใบหน้าจรดพื้นเพื่อกราบสุญด"[8] และหลังจากนั้นเมื่อได้ยินคำสอนของอัลกุรอาน สรรพลางของเขาจะสั่นด้วยความหวาดกลัว “. อัลลอฮฺได้ทรงประทานพระวจนะที่ดียิ่งลงมาเป็นคัมภีร์คล้องจองกันกล่าวซ้ำกัน ผิวหนังของบรรดาผู้ที่เกรงกลัวพระผู้อภิบาลของพวกตนจะมีขนลุกชัน แล้วผิวหนังของพวกเขาและหัวใจของพวกเขาจะสงบลงเพื่อรำลึกถึงอัลลอฮฺ นั่นคือการชี้นำทางของอัลลอฮฺ พระองค์จะทรงชี้นำทางแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และผู้ใดที่อัลลอฮฺทรงให้เขาหลงทาง เขาก็จะไม่มีผู้ชี้นำทาง[9]

และเหล่านี้คือเครื่องหมายที่แสดงให้เห็นถึงความรักหลงใหลต่ออัลกุรอาน ที่มีอยู่ในตัวมนุษย์และทุกท่วงท่าของชีวิตเขาจะขอความช่วยเหลือจากอัลกุรอาน และเขาจะเป็นผู้ช่วยเหลืออัลกุรอานที่ดีที่สุด ดังบทกวีของท่านฮาฟิซ ชีรอซียฺกล่าวว่า:

ความรักเมื่อสุกงอมถึงขั้น ก็จะกลายเป็นส่งปกป้องตัวคุณ

จงอ่านกุรอานด้วยความใคร่ครวญและสำนึก

 แล้วเวลานั้นจงพิจารณาอัลกุรอานด้วยความรัก ท่านก็จะสามารถติดตามการเติบโตทางจิตวิญญาณและความเป็นเลิศได้ :

 เมื่อตืนนอนยามเช้าฉันกำได้พบกับความสลามัตและการปกป้อง

 ทุกสิ่งที่ฉันมีทั้งหมดมาจากอัลกุรอาน

ในทางกลับกัน, ถ้าเป้าหมายของการเรียนรู้หรือการอ่านอัลกุรอาน, เพื่อเป็นปฏิปักษ์แล้วละก็ชีวิตแห่งโลกนี้ก็จะล่อลวงพวกเขาเพราะพวกเจ้าได้ยึดถือเอาสัญญาณต่าง  ของอัลลอฮฺเป็นของล้อเลียน และชีวิตแห่งโลกนี้ได้ล่อลวงพวกเจ้า[10] หรือมีเป้าหมายเพื่อวัตถุปัจจัยหรือความเห็นแก่ตัวในการสร้างความสัมพันธ์กับอัลกุรอาน, นอกจากจะไม่มีความก้าวหน้าหรือเติบโตทางจิตวิญญาณแล้ว, ทว่าความสัมพันธ์ของเขา  พระผู้อภิบาลเขาจะมิได้เป็นผู้มีความสัมพันธ์ต่ออัลกุรอานเลยแม้แต่น้อย ทว่าเขาจะถูกทำให้ตกต่ำเสียด้วยซ้ำไป มีรายงานจำนวนมากมายกล่าวถึงประเภทความสัมพันธ์ที่มีต่ออัลกุรอาน ซึ่งได้รับการวิเคราะห์วิจัยไว้มากมาย ซึ่งจะขอหยิบยกเป็นตัวอย่างดังนี้ :

1.ท่านศาสดา (ซ็อล ) กล่าวว่า : ประชาชาติที่ดีที่สุดคือ ผู้ที่มีความอ่อนน้อมถ่อมตน, นมาซและศีลอดไม่ว่าจะอยู่ในที่ลับสายตา หรือที่เปิดเผย,อัลกุรอานก็อยู่ในใจของเขามาโดยตลอด, ดังนั้น จะมีเสียงประกาศดังขึ้นว่า : โอ้ บุคคลที่อัลกุรอานอยู่ในใจของพวกเขา จงแสดงความนอบน้อมถ่อมตนกับอัลกุรอาน เถิดเพื่ออัลลอฮฺจะทรงเพิ่มพูนความเข้มแข็งในการยืนหยัดแก่ท่าน และจงอย่าแสวงหาความไม่ภาคภูมิใจจากคัมภีร์กุรอาน เนื่องจากอัลลอฮฺทรงให้กาลเวลามีชีวิตด้วยอัลกุรอาน, ดังนั้น จงประประดับประเวลาชีวิตของตนด้วยการปรากฏตัว  เบื้องพระพักตร์ของพระองค์ เพื่อว่าอัลลอฮฺจะทรงเพิ่มพูนการประดับประดาในตัวท่าน และจงอย่านำเอาอัลกุรอาน เป็นสิ่งประดับประดาตัวท่าน  ประชาชน เพราะอัลลอฮฺ จะกระชากท่านให้หน้าคะมำลงมา เวลานั้นจงอ่านอัลกุรอานให้ดียิ่ง, ประหนึ่งวามิได้สัมพันธ์อยู่กับวะฮฺยู แตะสาส์นของนบูวัตได้อยู่ในใจท่านตลอดเวลา เมื่อท่านอยู่กับอัลกุรอาน ท่านก็จะไม่ปฏิบัติตัวเยี่ยงคนโง่เขลาเบาปัญญา ที่ไม่รู้เรื่องใดๆ , ท่านจะไม่กริ้วโกรธหรือบันดาลโทสะเมื่อประสบกับความโมหะของคนอื่น, ท่านจะไม่ระรานด้วยการระรานของคนอื่น, ทว่าเพื่อให้เกียรติในความยิ่งใหญ่ของอัลกุรอาน ท่านจะอดทน ให้อภัย และปกปิดสายตาจากพฤติกรรมไม่ดีของพวกเขา ...”[11]

2. ท่านอิมามบากิร (.) กล่าวว่า : นักอ่านอัลกุรอานแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มด้วยกัน กล่าวคือ :

กลุ่มที่หนึ่ง : บุคคลหนึ่งได้ให้อัลกุรอานเป็นสื่อในการแสวงหาเครื่องยังชีพสำหรับตน เขาจะอ่านอัลกุรอานต่อหน้าชนชั้นผู้ปกครอง และจะขายเกียรติยศของเขาแก่ประชาชน

กลุ่มที่สอง : พวกเขาอ่านอัลกุรอานด้วยการพึงระมัดระวังความสมดุลภายนอก มีความตั้งใจอันเพียงพอ แต่จะหลงลืมคำสั่งสอนของอัลกุราอน ดังนั้น อัลลอฮฺ จะไม่ทรงเพิ่มพูนสิ่งในแก่นักอ่านเหล่านี้

กลุ่มที่สาม : พวกเขาได้อ่านอัลกุรอานโดยนำเอาโอสถของอัลกุรอาน มาบำบัดเยียวยาอาการป่วยไข้ และความเจ็บปวดแห่งจิตวิญญาณของตน เขาได้ท่องไปกับอัลกุรอานทั้งในยามทิวาและราตรี เขาได้ยื่นหยัดนมาซ และตื่นจากที่นอนด้วยด้วยอัลกุรอาน และนักอ่านอัลกุรอานกลุ่มนี้เองที่พระผู้อภิบาลทรงถอดถอนการลงโทษ และการทดสอบต่างๆ ออกไปเนื่องด้วยความสิริมงคลที่มาจากพวกเขา และพระองค์ยังทรงให้ห่างไกลจากบรรดาศัตรู ทรงประทานฝนแห่งความเมตตาจากฟากฟ้าให้หลั่งไหลสู่พื้นดิน เนื่องจากพวกเขา[12]

3.ญาบิรได้สนทนาถึงความศักดิ์สิทธิ์ของอัลกุรอาน ซึ่งมีบางกลุ่มชนเมื่อได้อ่านหรือได้ยินอัลกุรอาน เนื่องจากแรงโน้มน้าวของอัลกุรอาน พวกเขาจะสลบหมดสติไป ถึงขึ้นที่ฉันคิดว่าถ้าหากในช่วงนั้นจับเขาตัดมือและเท้า เขาก็จะไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด ท่านศาสดา (ซ็อล ) กล่าวว่า : ซุบฮานัลลอฮฺ นี่คือแนวทางของชัยฎอน อัลลอฮฺ มิทรงปรารถนาสิ่งนี้จากพวกเขา ทว่าการอ่านอัลกุรอ่านต้องทำให้จิตใจอ่อนนุ่มและมีความเยือกเย็น มีสัมมาคารวะ ร่ำไห้และมีความเกรงกลัวต่อพระองค์[13]



[1] กุลัยนียฺ, มุฮัมมัด บินยะอฺกูบ,กาฟียฺ, เล่ม 2 หน้า 603, ฮะดีซที่ 4, ดารุลกุตุบ อัลอิสลามียะฮฺ, เตหะราน ปี 1365.

[2] อัลกุรอาน บทอัลอิสรอ, 82.

[3] อัลกุรอาน บทฟุซลัต,44

[4] อัลกุรอาน บทอัลอิสรอ, 9

[5] อัลกุรอาน บทก็อฟ, 45

[6] อัลกุรอาน บทนะฮฺลุ,98

[7] อัลกุรอาน บทฟุรกอน, 73

[8] อัลกุรอาน บทมัรยัม, 58, บทอิสรออฺ 107, 109.

[9] อัลกุรอาน บทอัซซุมัร, 23

[10] อัลกุรอาน บทญาซียะฮฺ, 35.

[11] อุซูลกาฟียฺ, เล่ม 2 หน้า 604, ฮะดีซที่ 1

[12] อ้างแล้วเล่มเดิม, หน้า 627, ฮะดีซที่ 1

[13] อ้างแล้วเล่มเดิม, หน้า 616, ฮะดีซที่ 1

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

คำถามสุ่ม

  • ท่านนบีเคยกล่าวปฏิญาณถึงตำแหน่งศาสนทูตของตน และตำแหน่งผู้นำของอิมามอลีในอะซานหรือไม่?
    7415 ชีวประวัติมะอฺซูม (อ.) 2554/06/22
    จากการที่คำถามข้างต้นมีคำถามปลีกย่อยอยู่สองประเด็นเราจึงขอแยกตอบเป็นสองส่วนดังนี้1. ท่านนบีกล่าวปฏิญาณถึงตำแหน่งของตนในอะซานหรือไม่?จากการศึกษาฮะดีษต่างๆพบว่าท่านนบีกล่าวยืนยันถึงสถานภาพความเป็นศาสนทูตของตนอย่างแน่นอนทั้งนี้ก็เพราะท่านนบีก็มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามศาสนกิจเฉกเช่นคนอื่นๆนอกเสียจากว่าจะมีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่าท่านนบีได้รับการอนุโลมให้สามารถงดปฏิบัติตามบทบัญญัติใดบ้าง อย่างไรก็ดีไม่มีหลักฐานยืนยันว่าท่านได้รับการอนุโลมไม่ต้องเปล่งคำปฏิญาณดังกล่าวในอะซานในทางตรงกันข้ามมีหลักฐานยืนยันมากมายว่าท่านเปล่งคำปฏิญาณถึงเอกานุภาพของอัลลอฮ์และความเป็นศาสนทูตของตัวท่านเองอย่างชัดเจนและแน่นอน.2. ท่านนบีกล่าวปฏิญาณถึงตำแหน่งผู้นำของอิมามอลีหรือไม่?ต้องยอมรับว่าเราไม่พบหลักฐานที่บ่งชี้ชัดเจนว่าท่านเคยกล่าวปฏิญาณดังกล่าวนอกจากนี้ในสำนวนฮะดีษต่างๆจากบรรดาอิมามที่ระบุเกี่ยวกับบทอะซานก็ไม่ปรากฏคำปฏิญาณที่สาม(เกี่ยวกับวิลายะฮ์ของอิมามอลี)แต่อย่างใดอย่างไรก็ดีเรามีฮะดีษมากมายที่ระบุถึงผลบุญอันมหาศาลของการเอ่ยนามท่านอิมามอลี(อ)ต่อจากนามของท่านนบี(ซ.ล)(โดยทั่วไปไม่เจาะจงเรื่องอะซาน) ด้วยเหตุนี้เองที่อุละมาอ์ชีอะฮ์ล้วนฟัตวาพ้องกันว่าสามารถกล่าวปฏิญาณดังกล่าวด้วยเหนียต(เจตนา)เพื่อหวังผลบุญมิไช่กล่าวโดยเหนียตว่าเป็นส่วนหนึ่งของอะซานทั้งนี้ก็เนื่องจากมีข้อสันนิษฐานว่าประโยคดังกล่าวมิได้เป็นส่วนหนึ่งของอะซานอันถือเป็นศาสนกิจประเภทหนึ่ง. ...
  • สำนักคิดทั้งสี่ของอะฮฺลุซซุนะฮฺ เกิดขึ้นได้อย่างไร และการอิจญฺติฮาดของพวกเขาได้ถูกปิดได้อย่างไร?
    7332 สิทธิและกฎหมาย 2555/01/23
    วิชาการในอิสลามและฟิกฮฺอิสลามหลังจากเหตุการณ์ในยุคแรกของอิสลามปัญหาตัวแทนและเคาะลิฟะฮฺของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) แล้วได้แบ่งออกเป็น
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    56822 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • สามารถครอบครองที่ดินบริจาคได้หรือไม่? สามารถขายที่ดินบริจาคได้หรือไม่?
    5500 สิทธิและกฎหมาย 2554/11/21
    โปรดพิจารณาคำวินิจฉัยของมัรญิอฺตักลีดเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวท่านอายะตุลลอฮฺอัลอุซมาคอเมเนอี (ขออัลลอฮฺทรงปกป้องท่าน
  • ทำอย่างไรจึงจะลดความรีบร้อน?
    7472 จริยธรรมทฤษฎี 2555/05/23
    ความรีบร้อนลนลานถือเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงในทัศนะของศาสนา ซึ่งในที่นี้ก็หมายถึงการรีบกระทำสิ่งใดโดยพละการนั่นเอง การรีบร้อนแตกต่างจากการรีบเร่งทั่วไป เพราะการรีบเร่งหมายถึงการรีบกระทำการใดทันทีที่ทุกอย่างพร้อม สิ่งที่ตรงข้ามกับการรีบร้อนก็คือ “ตะอันนี” และ “ตะษับบุต”อันหมายถึงการตรึกตรองอย่างรอบคอบก่อนลงมือกระทำการใดๆ เมื่อพิจารณาถึงข้อเสียของการรีบร้อน และข้อดีของการตรึกตรองอันเป็นคุณลักษณะของกัลยาณชนเฉกเช่นบรรดาศาสดา ทำให้ได้ข้อสรุปว่าก่อนกระทำการใดควรตรึกตรองอย่างมีสติเสมอ และหากหมั่นฝึกฝนระยะเวลาหนึ่ง แม้จะเป็นเรื่องยากก็ตาม แต่สุดท้ายก็จะติดเป็นนิสัย อันจะลบเลือนนิสัยรีบร้อนที่มีอยู่เดิม และจะสร้างเสริมให้เป็นผู้ที่มีความสุขุม ...
  • มีหลักฐานอนุญาตให้มะตั่มให้แก่ท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) หรือทำร้ายตัวเองของมุสลิมในช่วงเดือนมุฮัรรอม หรือเดือนอื่นหรือไม่?
    7659 ประวัติหลักกฎหมาย 2554/12/21
    การจัดพิธีกรรมรำลึกถึงท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) นับได้ว่าเป็นหนึ่งในอิบาดะฮฺที่ดีที่สุดและการกระทำทุกสิ่งที่สังคมยอมรับว่านั่นเป็นส่วนหนึ่งของการจัดพิธีกรรมถือว่าอนุญาต, เว้นเสียแต่ว่าสิ่งนั้นได้สร้างเสื่อมเสียหรือมีอันตรายจริง, หรือเป็นสาเหตุทำให้แนวทางชีอะฮฺต้องได้รับการดูถูกเหยียดหยามอย่างรุนแรงซึ่งการทุบอก
  • หนังสือดุอามีความน่าเชื่อถือเพียงพอหรือไม่?
    5867 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/09
    มีสามประเด็นที่ควรพิจารณา1. ตำราที่ยกมาทั้งหมดล้วนเป็นที่ไว้วางใจของผู้ประพันธ์ทั้งสิ้นดังจะทราบได้จากอารัมภบทของหนังสือ"มะซ้ารกะบี้ร"และ"บะละดุ้ลอะมีน"อัลลามะฮ์มัจลิซีเองก็ให้การยอมรับตำราเหล่านี้และกล่าวถึงผู้ประพันธ์อย่างให้เกียรติ2. แนวปฏิบัติของบรรดาฟุก่อฮาอ์(ปราชญ์ทางนิติศาสตร์อิสลาม)คือการพิสูจน์ความถูกต้องของสายรายงานฮะดีษเสียก่อน
  • มัซฮับมาลิกีหรือฮะนะฟีไม่ถูกต้องกระนั้นหรือ?
    8345 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/08/03
    คุณควรหาคำตอบให้ได้ว่าความชอบดังกล่าวเกิดจากความนิยมชมชอบทั่วไปหรือตั้งอยู่บนพื้นฐานของเหตุและผล  หากตั้งอยู่บนพื้นฐานของเหตุและผลนั่นหมายความว่ามัซฮับอื่นๆยังมีข้อบกพร่องอยู่แนวคิดเกี่ยวกับภาวะผู้นำของบรรดาอะฮ์ลุลบัยต์ ถือเป็นข้อได้เปรียบที่ชัดเจนที่แนวทางชีอะฮ์มีเหนือมัซฮับอื่นๆในอิสลามกล่าวคือชีอะฮ์ถือว่าอิมามมีภารกิจเสมือนนบีทุกประการ
  • อิสลามและอิมามโคมัยนีมีทัศนคติอย่างไรเกี่ยวกับการหยอกล้อและการพักผ่อนหย่อนใจ?
    6719 สิทธิและกฎหมาย 2554/09/20
    เป้าประสงค์ของการสร้างมนุษย์ตามทัศนะของอิสลามคือการอำนวยให้มนุษย์มีพัฒนาการเพราะทุกสรรพสิ่งบนโลกล้วนถูกสร้างมาเพื่อเป้าหมายดังกล่าวทั้งนี้เนื่องจากมนุษย์คือสิ่งถูกสร้างที่ประเสริฐสุดดังที่กุรอานกล่าวว่า "ข้ามิได้สร้างมนุษย์และญินมาเพื่ออื่นใดเว้นแต่ให้สักการะภักดีต่อข้า"[i] นักอรรถาธิบาย(ตัฟซี้ร)ลงความเห็นว่าการสักการะภักดีในที่นี้หมายถึงภาวะแห่งการเป็นบ่าวซึ่งเป็นปัจจัยสำหรับพัฒนาการที่แท้จริงของมนุษย์เพื่อการนี้อิสลามให้ความสำคัญต่อทั้งด้านร่างกายและจิตใจมนุษย์ดังที่อิมามอลี(อ.)กล่าวไว้ว่าผู้ที่มีอีหม่านจะต้องมีสามช่วงเวลาในแต่ละวันของเขา: ส่วนหนึ่งสำหรับการอิบาดะฮ์ส่วนหนึ่งสำหรับการทำมาหากินและกิจการทางโลกส่วนหนึ่งสำหรับความบันเทิงที่ฮะล้าลและใช้ประโยชน์จากความโปรดปรานของพระองค์โดยที่ส่วนสุดท้ายจะช่วยให้สองส่วนแรกเป็นไปอย่างราบรื่น[ii]อิสลามไม่เคยคัดค้านการพักผ่อนหย่อนใจหรือการหยอกล้อที่ถูกต้องไม่เคยห้ามว่ายน้ำในทะเลซ้ำบรรดาอิมาม(อ.)ได้สอนสาวกให้ทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้ในเชิงปฏิบัติท่านนบี(ซ.ล.)เองก็เคยหยอกล้อกับมิตรสหายเพื่อให้มีความสุขท่านอิมามโคมัยนีไม่เคยคัดค้านการพักผ่อนหย่อนใจและการหยอกล้อที่อยู่ในขอบเขตท่านกล่าวเสมอว่าการพักผ่อนหย่อนใจควรเป็นไปอย่างถูกต้องท่านไม่เคยคัดค้านรายการบันเทิงตามวิทยุโทรทัศน์บางครั้งท่านชื่นชมยกย่องทีมงานของรายการต่างๆเหล่านี้ด้วยแต่ท่านก็ให้คำแนะนำอันทรงคุณค่าเกี่ยวกับประเด็นนี้โดยถือว่าทุกรายการจะต้องมีจุดประสงค์เพื่อรับใช้อิสลามและแฝงไว้ซึ่งคำสอนทางจริยธรรมอย่างไรก็ดีการที่จะศึกษาทัศนะของอิมามโคมัยนีนั้นจำเป็นต้องอ้างอิงจากเว็บไซต์ของศูนย์เรียบเรียงและเผยแพร่ผลงานของอิมามโคมัยนีหรือหาอ่านจากหนังสือชุดเศาะฮีฟะฮ์นู้รตามลิ้งค์ด้านล่างนี้ (เปอร์เซีย)http://www.imam-khomeini.org/farsi/main/main.htm[i]ซูเราะฮ์
  • กรุณาอธิบายสาเหตุและเงื่อนไขของวะลียุลฟะกีฮ์ ตลอดจนเหตุผลที่เลือกพณฯอายะตุลลอฮ์ อุซมา คอเมเนอี ขึ้นดำรงตำแหน่งวะลียุลฟะกีฮ์.
    6352 สิทธิและกฎหมาย 2554/06/12
    ในทัศนะของชีอะฮ์, วิลายะฮ์ของฟะกีฮ์(ผู้เชี่ยวชาญศาสนา)ในยุคที่อิมามเร้นกายนั้นเป็นผลต่อเนื่องมาจากวิลายะฮ์ของบรรดาอิมามมะอ์ศูม(อ) กล่าวคือในยุคที่อิมามมะอ์ศูม(อ)ยังไม่ปรากฏกายหน้าที่การปกครองดูแลประชาคมมุสลิมจะได้รับการสืบทอดสู่บรรดาฟะกีฮ์ซึ่งฟุก่อฮา(พหูพจน์ฟะกีฮ์

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    59368 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    56822 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    41644 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38395 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    38391 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    33428 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    27522 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27214 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27111 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25181 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...