การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
8054
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2553/12/22
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1798 รหัสสำเนา 11567
คำถามอย่างย่อ
ปัจจุบันสวรรค์และนรกมีอยู่หรือไม่ ?
คำถาม
ปัจจุบันสวรรค์และนรกมีอยู่หรือไม่ ?
คำตอบโดยสังเขป

พิจารณาจากโองการและรายงานต่างๆ แล้ว จะเห็นว่าสวรรค์และนรกที่ถูกสัญญาไว้มีอยู่แล้วในปัจจุบัน ซึ่งในปรโลกจะได้รับการเสนอขึ้นมา ซึ่งมนุษย์ทุกคนจะถูกจัดส่งไปยังสถานที่อันเหมาะสมของแต่ละคน ตามความเชื่อ ความประพฤติ และการคุณธรรมของตัวเอง ทว่าสำหรับสวรรค์และนรกนั้นได้ถูกจินตนาการไปอีกอย่างหนึ่งว่า จะได้ประจักษ์บนโลกนี้และปรากฏองค์ชัดเจนในโลกบัรซัคเพื่อเป็นตัวอย่าง และเป็นสาเหตุสร้างความเบิกบานและความเจ็บช้ำให้แก่มนุษย์ แน่นอนเกี่ยวกับผลสะท้อนทางการกระทำ ความเชื่อ และความคิดของมนุษย์ในปรโลกของเขา และการอธิบายสวรรค์และนรกมีทัศนะแตกต่างกันมากมาย แต่ทั้งหมดสามารถกล่าวโดยรวมได้ว่า

1) สวรรค์ที่ท่านนบีอาดัม (.) และท่านหญิงฮะวาได้เข้าไปและออกมาสู่โลกนี้

2) สวรรค์และนรกของการกระทำครอบคลุมอยู่เหนือมนุษย์ทั้งหลาย

3) สวรรค์และนรกบัรซัค คือภาพปรากฏและเป็นตัวอย่างของสวรรค์และนรกที่ได้ถูกสัญญาเอาไว้ ซึ่งสวรรค์และนรกนั้นมิใช่สิ่งที่มนุษย์สัญญาเอาไว้ ทว่าเป็นสิ่งที่ขึ้นอยู่กับเจตจำนงเสรีและการกระทำของมนุษย์

คำตอบเชิงรายละเอียด

ความเชื่อเรื่องสวรรค์และนรกในฐานะที่เป็นสถานพำนักถาวรสำหรับมนุษย์ หลังจากวันแห่งการฟื้นคืนชีพ ตลอดจนความเชื่อเรื่องการวิธีการสร้างหรือความสมบูรณ์ของทั้งสอง เป็นหนึ่งในหลักความเชื่อที่มีต่อความเร้นลับ ซึ่งความศรัทธาและความรู้ที่มีต่อทั้งสองถ้านอกจากโองการและรายงานแล้วไม่อาจเกิดขึ้นได้ ขณะเดียวกันตราบที่มนุษย์ยังมองไม่เห็นปรโลกหน้า เขาก็ไม่อาจสัมผัสได้ถึงความเร้นลับที่มีอยู่ในโลกนั้น ความคลุมเครือที่มีต่อทั้งสองก็จะไม่มีวันหมดไปได้ แต่การมีความคลุมเครืออยู่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่า สิ่งนี้จะสามารถทำลายความเชื่อหลักที่มีต่อทั้งสอง วันแห่งการฟื้นคืนชีพ และเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในวันนั้นให้หมดไปได้ เช่น ความคลุมเครือที่มีต่อสวรรค์และนรกที่ว่า ปัจจุบันนรกและสวรรค์ถูกสร้างขึ้นแล้วหรือไม่ ? ถ้าหากสร้างขึ้นแล้วทั้งสองอยู่ที่ไหน ? และปัจจุบันมีสภาพเป็นอย่างไร พื้นผิวราบเรียบซึ่งมนุษย์จะถูกลงโทษในนั้น หรือว่าเป็นพื้นครึ่งหนึ่งส่วนอีกครึ่งมนุษย์คือผู้ทำให้สมบูรณ์ หรือว่านรกและสวรรค์นั้นถูกสร้างสมบูรณ์แล้ว ซึ่งในวันปรโลกมนุษย์จะถูกนำเข้าไปสู่ หรือว่านรกและสวรรค์นั้นจะถูกสร้างขึ้นในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ ? และ.....

สำหรับการอธิบายคำถามข้างต้นนี้จำเป็นต้องพิจารณาประเด็นต่อไปนี้ กล่าวคือ ...

. ผลแห่งการกระทำของมนุษย์คือการก่อให้เกิดปรโลกของเขา

. ประเภทของสวรรค์และนรก และทัศนะต่างๆ เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว

ทัศนะต่างๆ ที่ได้ถูกนำเสนอไปแล้วเดี่ยวกับผลแห่งการกระทำของมนุษย์ ที่ต่อรางวัลและการลงโทษในปรโลก

1. ผลรางวัลในปรโลกเป็นไปในลักษณะของข้อตกลง ตามการกระทำ เจตคติ และความคิดของมนุษย์ เช่น การลงโทษตามหลักการ หรือการปรับผู้ขับขี่ทีฝ่าฝืนกฎจลาจร ดังนั้น ระหว่างการกระทำบนโลกนี้กับเหตุการณ์ในปรโลก มิได้มีความสัมพันธ์ในเชิงของความแน่นอนตายตัว

2. รางวัลและผลบุญในโลกหน้าเป็นการเปลี่ยนค่าพลังงานให้เป็นวัตถุ หมายถึงพลังงานที่มนุษย์ได้ใช้ไปบนโลกนี้ ในการกระทำความดีหรือบาปกรรม ในวันแห่งการฟื้นคืนชีพพลังงานเหล่านั้นจะเปลี่ยนเป็นวัตถุ กลายเป็นสาเหตุของการสรรเสริญหรือสาปแช่งตัวเอง

3. การกระทำ ความคิด และสถานภาพของมนุษย์มีทั้งภายนอกและภายใน บนโลกนี้มนุษย์จะได้สัมผัสเฉพาะภายนอกของการกระทำเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่รู้ผลภายในของการกระทำเป็นอย่างไร จนกระทั่งว่าผลของการกระทำเหล่านั้นหลังจากเสียชีวิตไปแล้วจะปรากฏให้เห็นในโลก บัรซัต และจะปรากฏชัดเจนในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ และผลภายในของการกระทำนั้นเอง ที่เป็นสาเหตุทำให้มนุษย์ได้รับผลรางวัลตอบแทนหรือการลงโทษ

4. การกระทำ ความคิด และสภาพของมนุษย์ที่เกิดจากอวัยวะต่างๆ บนร่างกาย สิ่งเหล่านี้ล้วนมีผลต่อวิถีด้านในของมนุษย์ และจะก่อให้เกิดรูปลักษณะขึ้น ถึงแม้ว่ามนุษย์จะไม่ทราบหรือไม่เคยรับรู้ถึงผลด้านในของการกระทำของตนมาก่อนก็ตาม ซึ่งบนโลกนี้จะเห็นเป็นรูปร่างหน้าตาโดยทั่วไปของมนุษย์ ส่วนในปรโลกเขาจะได้เห็นภาพภายในอันแท้จริงของเขา บนโลกถ้ามนุษย์ได้ประกอบกิจด้วยความรู้แจ้ง ภายในของเขาก็จะมีแต่ความสะอาด ซึ่งภาพที่จะปรากฏในวันนั้นก็จะเป็นไปตามกรรม อันเป็นเหตุทำให้พวกเขาได้รับการสรรเสริญ หรือกล่าวประณาม.

ในทัศนะแรกนั้นจะเห็นว่าไม่เข้ากันกับโองการและรายงาน และไม่สามารถอธิบายถึงการลงโทษ และความโปรดปรานในปรโลกได้ เพียงแค่อธิบายถึงสภาพบางสภาพที่อาจเกิดขึ้นในโลกบัรซัค และวันแห่งการฟื้นชีพ (สวรรค์และนรก) ไม่ใช่ทั้งหมด

) ทัศนะที่ได้นำเสนอเกี่ยวกับสวรรค์และนรก

1. สัญญาและคำตักเตือน บ่งชี้ให้เห็นถึงสภาพของสวรรค์และนรก เป็นเพียงมิติของการอบรม ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีสวรรค์หรือนรกอยู่จริงก็ได้ เพียงแค่มนุษย์มีความหวังในสวรรค์และเกรงกลัวนรก เท่านั้นก็จะทำให้เขาเป็นผู้มีความบริสุทธิ์แล้ว และได้ออกห่างจากความชั่วร้ายและสิ่งไม่ดีทั้งหลาย การได้ไปถึงสวรรค์หรือออกห่างจากนรก จุดประสงค์ของพระเจ้า เพียงแค่ต้องการชี้นำและปรับปรุงมนุษย์ให้ดีขึ้นเท่านั้นเอง

2. สวรรค์ก็คือสังคมหนึ่งที่ไม่มีระดับชั้นของเตาฮีด ส่วนนรกนั้นคล้ายกับระบบทุนนิยม ซึ่งไม่มีสิ่งใดเกินเลยไปจากนี้ ดังนั้น ผู้ที่มีความมุ่งหวังในสวรรค์ จำเป็นต้องสร้างระบบแรงงานเพื่อให้ไปถึงสวรรค์บนโลกนี้ และจะได้ออกห่างจากระบบทุนนิยม

3. สวรรค์ในอีกมิติหนึ่งก็คือ โลกนี้นั่นเอง ด้วยความสมบูรณ์และการวิวัฒนาการด้านเทคโนโลยี สามารถเปลี่ยนแปลงให้ดีได้ และสามารถปลดปล่อยตัวเองให้พ้นจากนรกบนพื้นดินได้

4. สวรรค์ หมายถึงการมีคุณสมบัติของความดีงาม ส่วนนรกหมายถึง การมีคุณสมบัติของความชั่วร้าย ดังนั้น ผู้ที่เรียกร้องสวรรค์และต้องการปลดปล่อยตัวเองให้รอดพ้นจากความชั่ว สิ่งแรกที่จะต้องทำคือการทำลายความชั่วร้ายให้หมดไปและแทนทีสิ่งนั้นด้วยความดี

และนี่คือ 4 ข้อกล่าวอ้างที่บรรดาวัตถุนิยมและพวกสังคมนิยมได้นำเสนอ แน่นอนว่าสิ่งนี้ขัดแย้งกับโองการ และรายงานต่างๆ นอกจากนั้นยังแย้งกับเป้าหมายของบรรดาศาสดาที่ถูกส่งลงมาประกาศสั่งสอน เนื่องจากสวรรค์และนรกที่อัลกุรอานกล่าวถึงภายหลังจากความตายจะถูกนำเสนอแก่มนุษย์ในวันแห่งการตัดสิน เป็นสถานพำนักถาวรสำหรับตนมีความเป็นนิรันดร ไม่เหมือนกับโลกนี้

5. สวรรค์ที่ท่านศาสดาอาดัม (.) และทานหญิงฮะวา หลังจากถูกสร้างแล้วได้ถูกนำตัวไปไว้ในนั่น และเมื่อระยะเวลาได้ผ่านพ้นไปช่วงหนึ่งท่านก็ออกจากที่นั่นมา และลงสู่พื้นโลก ซึ่งสวรรค์ตรงนั้นคือขั้นหนึ่งของโลกนี้ มิเช่นนั้นแล้วท่านอาดัม (.) จะไม่ออกมาจากที่นั้นอย่างแน่นอน

6. สวรรค์หรือนรกแห่งโลกบัรซัค คือสถานที่แสดงภาพด้านในของการกระทำของมนุษย์ หลังจากมนุษย์ได้จากโลกนี้ไปแล้วดวงวิญญาณจะถูกนำไปพำนักไว้ที่นั่น พวกเขาจะได้พบกับเนื้อแท้แห่งการกระทำของตน พวกเขาจะได้เห็นด้านที่แท้จริงของการกระทำ ซึ่งบางคนอาจได้รับความสุข และบางคนก็อาจถูกลงโทษในที่นั่นก่อนที่วันแห่งการฟื้นคืนชีพจะมาถึง

และนี่คือสวรรค์และนรกก่อนวันแห่งการฟื้นคืนชีพ เป็นระดับหนึ่งของโลก บนโลกนี้ทุกคนจะมีสถานภาพของตัวเอง โดยเฉพาะหมู่มวลมิตรของอัลลฮฺ (ซบ.) ทัศนะดังกล่าวนี้กับแนวคิดที่ 3 และ 4 ที่ว่าผลของการกระทำของมนุษย์คือที่มาของการตอบแทนหรือการลงโทษเข้ากันได้เป็นอย่างดี[1]

7. สวรรค์และนรกในปรโลก สามารถเข้าใจได้จากโองการและรายงานว่า สวรรค์และนรกดังกล่าวนั้นปัจจุบันมีอยู่แล้ว ส่วนหนึ่งของสวรรค์และนรกนั้น ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ) ได้เห็นขณะขึ้นมิอ์รอจญ์[2] ในลักษณะที่ว่ามนุษย์ทุกคนเมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว สำหรับเขาแล้วมีอยู่ 2 สถานที่ได้ถูกตระเตรียมไว้แล้วกล่าวคือ สวรรค์ และนรก ดังนั้น ถ้าเขาจากโลกนี้ไปด้วยการประพฤติดี และมีศรัทธามั่นคงเขาก็จะได้เข้าสู่สรวงสวรรค์ มิเช่นนั้นแล้วเขาจะถูกส่งไปสู่นรก แต่อย่างไรก็ตามมนุษย์จะได้เข้าสู่สวรรค์อันบรมสุขหรือไม่ หรือว่าเขาจะถูกลงโทษในนรกทั้งหมดขึ้นอยู่กับกระทำของตนบนโลกนี้

รายงานที่เชื่อถือได้จากท่านอิมามซอดิก (.) กล่าวว่า อัลลอฮฺ ไม่ทรงสร้างผู้ใดขึ้นมา เว้นเสียแต่ว่าพระองค์ได้สร้างสถานพำนักในสวรรค์และนรกให้แก่เขาด้วย ดังนั้น หากเป็นชาวสวรรค์เขาก็จะได้เข้าสู่สวรรค์ แต่ถ้าเป็นชาวนรกเขาก็จะถูกส่งตัวไปนรก จะมีผู้ส่งเสียงเรียกเขาว่า โอ้ ชาวสวรรค์เอ๋ย สูเจ้าจงมองดูชาวนรกซิ พวกเขาจะมาแล้วจ้องมองไปที่ชาวนรก และสถานพำนักของเขาที่ได้ถูกตระเตรียมเอาไว้ ซึ่งสถานที่พำนักเหล่านั้นถ้าหากได้ฝ่าฝืนคำสั่งของพระเจ้า เขาก็จะได้เข้าไปในสถานพำนักเหล่านั้น แต่ถ้ามนุษย์ได้สร้างความดีงามและช่วยให้ตัวเองรอดพ้นจากไฟนรกได้ เขาก็จะได้พำนักในสวรรค์ หลังจากนั้นผู้ร้องเรียกได้เรียกให้ชาวนรกเงยหน้ามองไปยังด้านบน พวกเขาก็จะเห็นบ้านที่สร้างเตรียมไว้ให้เขาในสวรรค์ และความโปรดปรานต่างๆ มากมายที่ได้ถูกเตรียมเอาไว้ ได้มีคำกล่าวแก่เขาว่า ถ้าหากเจ้าได้เคารพภักดีต่อพระเจ้า เจ้าก็จะได้ครอบครองสถานที่นั้น หลังจากนั้นได้ทำให้เขาสำนึกว่าถ้าเขาตายในสภาพที่เศร้าเสียใจ เขาก็จะได้พำนักอยู่ในนรก ฉะนั้น สถานพำนักของชาวนรกที่ถูกเตรียมไว้ให้ในสวรรค์ จะถูกมอบแก่ผู้กระทำความดีงาม ส่วนสถานพำนักของชาวสวรรค์ ที่ถูกสร้างไว้ในนรกจะถูกมอบแก่ผู้ประกอบกรรมชั่วทั้งหลาย และนี่คือการตีความโองการที่อัลลอฮฺ ตรัสแก่ชาวสวรรค์ทั้งหลายว่า พวกเธอได้รับมรดกตกทอดของพวกเธอแล้ว และพวกเธอจะพำนักในนั้นตลอดไป[3] อัลกุรอานกล่าวว่าพวกเขาจะได้รับมรดกสวนสวรรค์ชั้นฟริเดาส์ และพวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล และขอสาบานว่า แน่นอนเราได้สร้างมนุษย์มาจากธาตุแท้ของดิน[4]

ด้วยเหตุนี้ สวรรค์และนรกในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ คือสถานที่พำนักถาวรสำหรับมนุษย์ ซึ่งปัจจุบันมีอยุ่แล้วแต่จะสมบูรณ์ด้วยความคิด เนียต และการกระทำของมนุษย์ แต่จะไม่ปรากฏออกมาก่อนตราบจนกว่าจะถึงวันแห่งการฟื้นคืนชีพ ซึ่งไม่มีผู้ใดได้เห็นนอกจากท่านศาสดา (ซ็อล ) ซึ่งท่านได้เห็นขณะขึ้นมิอ์รอจญ์ ดังนั้น

1.สวรรค์ของท่านศาสดาอาดัม (.) และท่านหญิงฮะวา

2. สวรรค์และนรกซึ่งก่อนที่จะตายได้เคยเห็นขณะฝันหรือตื่นก็ตาม หรือเห็นขณะที่กำลังจะจากโลกไป หรือหลังจากตายจากโลกไปแล้วและอยู่ในโลกบัรซัค อันเป็นหลุมฝังศพสำหรับมนุษย์ สวรรค์และนรกในบัรซัคเป็นภาพหนึ่งของสวรรค์และนรกในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ มิใช่สวรรค์และนรกดังกล่าวนั้น

แหล่งอ้างอิง

1. ฮุซัยนฺ เตหะรานี มุฮัมมัด ฮุซัยน์ มะอาดชะนอซีย์

2. มุฮัดดิซ กุมมี เชคอับบาซ มะนาซิลอุครอ หน้า 81-170

3. ชีรระวอนนีย์ อะลี แปลการรู้จักมะอาด ญะอฺฟัรซุบฮานีย์

4. กุรบานนีย์ ซัยนุลอาบิดีน เบะซูเยะญะฮอน อะบะดีย์

5. เราะฮีมพูร ฟุรูฆ อัซซาดาต มะอาดจากมุมมองของท่านอิมามโคมัยนี

6. เฏาะบาเฏาะบาอี มุฮัมมัด ฮุซัยนฺ ชีวิตหลังความตาย

7. เฏาะบาเฏาะบาอี มุฮัมมัด ฮุซัยนฺ วิเคราะห์ปัญหาอิสลาม หน้า 354, 382



[1] ฮุซัยนี เตหะรานี มุฮัมมัด ฮุซัยนฺ มะอาดชะนอซีย์ เล่ม 2 หน้า 157 และ 192

[2] อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 290,320 ตัฟซีรต่างๆ ตอนอธิบายโองการที่ 1 บทอัลอิสรอ

[3]  บิฮารุลอันวาร เล่ม 8 หน้า 125,287 คัดลอกมาจาก เชคอับบาสกุมมี มะนาซิลุลอาคิเราะฮฺ หน้า 129, 130

[4] อัลกุรอาน บทอัลมุอ์มินูน 10-11

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • บางครั้งอัลกุรอานได้กล่าวแก่ท่านศาสดาของพระองค์ว่า เจ้ามิใช่ผู้รับผิดชอบอีมานของประชาชน และประเด็นเหล่านี้ขัดแย้งกับการญิฮาดอิบติดาอียฺ หรือไม่ ?
    5930 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/04/21
    ทัศนะของอัลกุรอานเกี่ยวกับการญิฮาดมี 2 ลักษณะกล่าวคือญิฮาดอิบติดาอียฺหรือญิฮาดดะฟาอ์ทั้งสองมีวัตถุประสงค์คือฟื้นฟูสิทธิความเป็นมนุษย์และสิทธิของเตาฮีดซึ่งถือได้ว่าเป็นสิทธิของมนุษย์ที่มีความสำคัญยิ่งเตาฮีดจัดว่าเป็นขบวนการธรรมชาติที่สุดซึ่งอิสลามได้กำหนดญิฮาดขึ้นมาก็เพื่อปกป้องสิทธิเหล่านี้ดังนั้นการญิฮาดในอิสลามจึงได้รับอนุญาตทำนองเดียวกันการกำชับความดีและห้ามปรามความชั่วก็อยู่ในทิศทางเดียวกันด้วยเหตุนี้
  • อิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) ท่านใดที่อ่านดุอาอฺฟะรัจญฺ?
    8362 انتظار فرج 2555/05/20
    คำว่า “ฟะรัจญฺ” (อ่านโดยให้ฟาเป็นฟัตตะฮฺ) ตามรากศัพท์หมายถึง »การหลุดพ้นจากความทุกข์โศกและความหม่นหมอง«[1] ตำราฮะดีซจำนวนมากที่กล่าวถึงดุอาอฺ และการกระทำสำหรับการ ฟะรัจญฺ และการขยายภารกิจให้กว้างออกไป ตามความหมายในเชิงภาษาตามกล่าวมา ในที่นี้ จะขอกล่าวสักสามตัวอย่างจากดุอาอฺนามว่า ดุอาอฺฟะรัจญฺ หรือนมาซซึ่งมีนามว่า นมาซฟะรัจญฺ เพื่อเป็นตัวอย่างดังต่อไปนี้ : หนึ่ง. ดุอาอฺกล่าวโดย ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ชื่อว่าดุอาอฺ ฟะรัจญฺ [2]«اللَّهُمَّ إِنِّي أَسْأَلُكَ يَا اللَّهُ ...
  • ฮะดีษว่าด้วยการต่อสู่ในยุคสุดท้ายที่เริ่มจากอิหร่านเชื่อถือได้เพียงใด?
    16434 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/01/15
    ตำราทั้งฝ่ายชีอะฮ์และซุนหนี่รายงานพ้องกันว่าจะมีขบวนการต่อสู้ครั้งสำคัญเกิดขึ้นเพื่อเป็นการปูทางสู่การปรากฏกายของอิมามมะฮ์ดี(อ.) โดยเหล่าผู้ถือธงดำในขบวนการนี้จะเป็นผู้เตรียมความพร้อมก่อนที่อิมามมะฮ์ดีจะขึ้นปกครองโลกทั้งผอง[1]รัฐบาลตระเตรียมการของชาวอิหร่านเพื่อปูทางสู่รัฐของอิมามมะฮ์ดีมีสองระยะด้วยกัน:หนึ่ง. เริ่มต่อสู้โดยการชี้นำของบุรุษชาวเมืองกุมซึ่งเป็นไปได้ว่าขบวนการของเขาเป็นจุดเริ่มต้นของการปรากฏกายของอิมามเนื่องจากมีฮะดีษระบุว่าขบวนการของอิมามจะเริ่มจากทางทิศตะวันออก.[2]สอง. การเรืองอำนาจโดยซัยยิดโครอซอนีโดยการสนับสนุนของผู้บัญชาการทัพชื่อชุอัยบ์บินศอลิห์[3]ดังที่กล่าวไปแล้วฮะดีษที่เกี่ยวกับการปรากฏกายของอิมามมะฮ์ดีบทหนึ่งระบุว่า:....عَنْ عَلِیِّ بْنِ عِیسَى عَنْ أَیُّوبَ بْنِ یَحْیَى الْجَنْدَلِ عَنْ أَبِی الْحَسَنِ الْأَوَّلِ ع قَالَ رَجُلٌ مِنْ أَهْلِ قُمَّ یَدْعُو النَّاسَ إِلَى الْحَقِّ یَجْتَمِعُ مَعَهُ ...
  • ความตายคืออะไร และเราสามารถยึดเวลาความตายออกไปได้ไหม ?
    9713 เทววิทยาดั้งเดิม 2553/12/22
    ความตายในทัศนะของนักปรัชญาอิสลามหมายถึงจิตวิญญาณได้หยุดการบริหารและแยกออกจากร่างกายแน่นอนทัศนะดังกล่าวนี้ได้สะท้อนมาจากอัลกุรอานและรายงานซึ่งตัวตนของความตายไม่ใช่การสูญสิ้นส่วนในหลักการของอิสลามมีการตีความเรื่องความตายแตกต่างกันออกไปซึ่งทั้งหมดมีจุดคล้ายเหมือนกันอยู่ประการหนึ่งกล่าวคือความตายไม่ใช่ความสูญสิ้นหรือดับสูญแต่อย่างใดทว่าหมายถึงการเปลี่ยนหรือการโยกย้ายจากบ้านหลังหนึ่งไปยังบ้านอีกหลังหนึ่งเนื่องจากมนุษย์นั้นประกอบไปด้วยร่างกายและจิตวิญญาณอีกอย่างหนึ่งความตายเท่ากับเป็นหยุดการทำงานของร่างกายภายนอกส่วนจิตวิญญาณได้โยกย้ายเปลี่ยนไปอยู่ยังปรโลกด้วยเหตุนี้ความตายจึงได้ถูกสัมพันธ์ไปยังมนุษย์
  • ศาสนาและวัฒนธรรมมีความสัมพันธ์กันอย่างไร?
    12537 เทววิทยาใหม่ 2554/06/02
    การที่จะสามารถนิยามความสัมพันธระหว่างศาสนาและวัฒนธรรมจารีตได้นั้นขั้นแรกต้องเข้าใจถึงลักษณะจำเพาะเป้าประสงค์และผลผลิตของทั้งศาสนาและวัฒนธรรมเสียก่อน.บางคนปฎิเสธความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาและวัฒนธรรมโดยสิ้นเชิงทัศนคตินี้ค่อนข้างจะไร้เหตุผลทั้งนี้ก็เพราะแม้ว่าวัฒนธรรมจารีตบางประเภทอาจจะผิดแผกและไม่เป็นที่ยอมรับโดยศาสนาเนื่องจากขัดต่อเป้าประสงค์ที่ศาสนามุ่งนำพามนุษย์สู่ความผาสุกแต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่ายังมีวัฒนธรรมจารีตอีกมากมายที่สอดคล้องและได้รับการยอมรับโดยศาสนายิ่งไปกว่านั้นยังมีวัฒนธรรมจารีตบางส่วนที่เกิดขึ้นจากคุณค่าที่ได้รับการฟูมฟักโดยศาสนาเช่นกัน. ...
  • จุดประสงค์ของท่านอิมามอะลี (อ.) จากการที่อัลลอฮฺทรงนิ่งเงียบต่อบางบทบัญญัติ? เพราะเหตุใดจึงตรัสว่าเพื่อการได้รับสิ่งนั้นไม่ต้องทำตนให้ลำบากดอก?
    6408 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/04/07
    ท่านอิมามอะลี (อ.) กล่าวในคำพูดของท่านว่า อัลลอฮฺ (ซบ.) มิทรงอธิบายแก่แท้ของทุกสิ่งเกี่ยวบทบัญญัติและวิชาการ, ทว่ายังมีอีกหลายสิ่งที่พระองค์มิทรงกำหนดให้เป็นหน้าที่แก่มนุษย์ พระองค์ทรงนิ่งเงียบกับสิ่งเหล่านั้น, เช่น หน้าที่ในการรับรู้วิชาการบางอย่างโดยละเอียด ซึ่งไม่มีผลต่อปรโลกแต่อย่างใด, แต่พระองค์ก็มิได้เฉยเมยเนื่องจากการหลงลืมแต่อย่างใด, เนื่องจากอัลลอฮฺทรงห่างไกลจากการหลงลืมทั้งปวง, ทว่าเนื่องจากสิ่งนั้นไม่มีมรรคผลอันใดแก่ปรโลกของมนุษย์ และด้วยเหตุผลที่ว่าการหมกมุ่นอยู่กับสิ่งเหล่านั้น เป็นสาเหตุทำให้มนุษย์ต้องละทิ้งความรู้อันก่อเกิดประโยชน์อย่างยิ่ง บางทีจุดประสงค์จาก การนิ่งเฉย เกี่ยวกับบางอย่าง, อาจเป็นเรื่องมุบาฮฺก็ได้ เช่น ความรู้เรื่องดาราศาสตร์, การคำนวณ, เรขาคณิต, บทกวี, หัตถกรรมโดยประณีต และ... การละเลยสิ่งเหล่านี้เนื่องจากไม่ให้ความสำคัญ และเป็นการไม่ใส่ใจของตัวท่านเอง แน่นอน มีวิชาการที่ค่อนข้างยากเช่น เรื่องเทววิทยา ปรัชญา หรือปรัชญาของบทบัญญัติ การจมดิ่งอยู่กับสิ่งเหล่านี้ – สำหรับบุคคลทั่วไปที่มิใช่นักวิชาการ หรือไม่มีความฉลาดเพียงพอ- นอกจากจะไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์อันเป็นประโยชน์แล้ว ยังอาจเป็นสาเหตุก่อให้เกิดเบี่ยงเบนทางความเชื่อได้อีกต่างหาก ...
  • เราจะมั่นใจได้อย่างไร สำหรับผู้รู้ที่ตักเตือนแนะนำและกล่าวปราศรัย มีความเหมาะสมสำหรับภารกิจนั้น?
    6584 نقش اندیشمندان دینی 2555/08/22
    ตามคำสอนของอิสลามที่มีต่อสาธารณชนคือ จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับความเข้าในคำสอนศาสนา ตนต้องค้นคว้าและวิจัยด้วยตัวเองเกี่ยวกับบทบัญญัติของศาสนา หรือให้เชื่อฟังปฏิบัติตามอุละมาอฺ และเนื่องจากว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่สามารถกระทำเช่นนั้นได้ทั้งหมด กล่าวตนเข้าศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับคำสอนของศาสนา ด้วยเหตุนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่เขาต้องเข้าหาอุละมาอฺในศาสนา อิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) ได้กำหนดมาตรฐานสำหรับการรู้จักผู้รู้ที่คู่ควรและเหมาะสมเอาไว้ว่า การได้ที่เราจะสามารถพบอุละมาอฺที่ดี บริสุทธิ์ และมีความเหมาะสมคู่ควร สำหรับชีอะฮฺแล้วง่ายนิดเดียว เช่น กล่าวว่า “ผู้ที่เป็นอุละมาอฺคือ ผู้ที่ปกป้องตัวเอง พิทักษ์ศาสนา เป็นปรปักษ์กับอำนาจฝ่ายต่ำของตน และเชื่อฟังปฏิบัติตามบัญชาของอัลลอฮฺ ฉะนั้น เป็นวาญิบสำหรับบุคคลทั่วไปที่จะต้องปฏิบัติตามเขา นอกจาคำกล่าวของอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) แล้วยังมีวิทยปัญญาอันล้ำลึกของผู้ศรัทธา ไม่ว่าเขาจะอยู่ ณ ที่ใดก็ตามเขาจะใช้ประโยชน์จากมัน แม้ว่าจะอยู่ในหมู่ผู้ปฏิเสธศรัทธาก็ตาม ...
  • มีหนทางใดบ้างสำหรับรักษาสายตาอันร้ายกาจ?
    6635 چشم زخم و طلسم 2555/07/16
    สายตาอันร้ายกาจเกิดจากผลทางจิตวิญญาณ ซึ่งไม่มีเหตุผลในการปฏิเสธแต่อย่างใด,ทว่ามีเหตุการณ์จำนวนมากมายที่เราได้เห็นกับตาตัวเอง มัรฮูมเชคอับบาส กุมมี (รฮ.) แนะนำให้อ่านโองการที่ 51 บทเกาะลัม เพื่อเยียวยาสายตาอันร้ายกาจ, ซึ่งเมื่อพิจารณาสาเหตุแห่งการประทานลงมาของโองการแล้ว เหมาะสมกับการรักษาสายตาอันร้ายกาจอย่างยิ่ง นอกจากโองการดังกล่าวแล้ว ยังมีรายงานกล่าวเน้นถึง การอ่านอัลกุรอานบทอื่นเพื่อรักษาสายตาอันร้ายกาจไว้อีก เช่น อัลกุรอานบท »นาส« »ฟะลัก« »ฟาติฮะฮฺ« »เตาฮีด« นอกจากนี้ตัฟซีรอีกจำนวนมากยังได้กล่าวเน้นให้อ่านอัลกุรอานบทที่กล่าวมา ...
  • เด็กผู้ชายที่มีอายุ 12 ปีสามารถเข้าร่วมในการนมาซญะมาอัตแถวเดียวกับผู้ชายคนอื่นๆได้หรือไม่?
    5727 สิทธิและกฎหมาย 2555/03/08
    การที่ลูกหลานและเยาวชนเข้าร่วมกิจกรรมมัสยิดและร่วมนมาซญะมาอัตจะทำให้พวกเขาผูกพันกับการนมาซ ซึ่งไม่เพียงแต่ไม่เป็นที่ต้องห้าม ทว่าถือเป็นมุสตะฮับอย่างยิ่ง[1] แต่ประเด็นที่ว่า การที่เด็กที่ยังไม่สามารถแยกแยะถูกผิดได้และยังไม่บรรลุนิติภาวะจะเข้าร่วมในนมาซญะมาอัต และจะทำให้การนมาซของผู้อื่นมีปัญหาหรือไม่นั้น มีสองประเด็นดังต่อไปนี้ ผู้นมาซคนอื่นๆสามารถที่จะเชื่อมต่อกับอิมามญะมาอัตได้โดยวิธีอื่น ในกรณีนี้การนมาซญะมาอัตของผู้อื่นถือว่าไม่มีปัญหาแต่อย่างใด[2] การที่ผู้อื่นจะต้องเชื่อมต่อกับอิมามญะมาอัตโดยผ่านผู้ที่ยังไม่บรรลุนิตะภาวะเท่านั้น (เช่นมีเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะยื่นอยู่ที่แถวหน้าหลายคน ในกรณีนี้คำวินิจฉัยของอุลามามีดังนี้ “หากในระหว่างแถวที่มีการนมาซญะมาอัตมีเด็กที่สามารถแยกแยะถูกผิดได้ยืนอยู่ หากเรามิได้แน่ใจว่านมาซของเขาไม่ถูกต้อง ก็สามารถยืนแถวต่อจากเขาได้”[3] อนึ่ง กฏดังกล่าวมีไว้สำหรับกรณีที่มีเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะยืนอยู่หลายๆคนในแถวเดียวกัน แต่ถ้าหากเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะยืนอยู่ในแถวนมาซญะมาอัตหลายคน ทว่าไม่ได้ยืนอยู่ติดๆกัน โดยยืนในลักษณะกั้นกลางผู้ที่บรรลุนิติภาวะแล้วสองคน (ถึงแม้ว่าเราจะรู้ว่านมาซของพวกเขาไม่ถูกต้องก็ตาม) ก็ไม่ทำให้นมาซของผู้อื่นมีปัญหาแต่อย่างใด อ่านเพิ่มเติมได้ที่ “การจัดแถวในการนมาซญะมาอัตและฮุกุมของการเคลื่อนไหวในการนมาซ”, ...
  • คำพูดทั้งหมดของพระศาสดา (ซ็อล ฯ) ถือว่าเป็นวะฮฺยูหรือไม่?
    6935 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/21
    มุมมองของผู้เชี่ยวชาญ,ในประเด็นที่กำลังกล่าวถึงแตกต่างกันบางคนได้พิจารณาการตีความของโองการที่ 3,4 ของอัลกุรอานบทนัจมฺ[i]ซึ่งเชื่อว่าคำพูดทั้งหมดของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ตลอดจนการกระทำต่างๆของท่านมาจากวะฮฺยูทั้งสิ้นบางคนเชื่อว่าโองการที่ 4 ของบทอันนัจมฺนั้นกล่าวถึงอัลกุรอานกะรีมและบรรดาโองการต่างๆที่ประทานให้แก่ท่านศาสดา,แม้ว่าซุนนะฮฺ (แบบฉบับ) ของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) จะเป็นข้อพิสูจน์และเป็นเหตุผลก็ตามซึ่งคำพูดการกระทำและการนิ่งเฉยของท่านมิได้เกิดจากอารมณ์อย่างแน่นอนสิ่งที่เข้าใจได้จากสิ่งที่กล่าวถึงในตรงนี้คือสามารถกล่าวได้อย่างมั่นใจว่าทั้งความประพฤติและแบบอย่างของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) มิได้กระทำลงไปโดยปราศจากวะฮียฺอย่างแน่นอนดังเช่นคำพูดของท่านก็เป็นเช่นนี้ด้วยแม้ว่าจะเป็นคำพูดประจำวันคำพูดสามัญทั่วไปตลอดการดำรงชีวิตของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ก็ตามสิ่งนั้นก็จะไม่เกิดจากอารมณ์อย่างเด็ดขาดซึ่งตามความเป็นจริงแล้วเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้แน่นอนว่าท่านศาสดา (ซ็อลฯ) จะล่วงละเมิดกระทำความผิด[i]

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    58734 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    56130 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    41112 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    37960 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    37486 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    33006 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    27143 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    26724 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    26605 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    24662 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...