การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
8154
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2553/12/22
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1653 รหัสสำเนา 11560
คำถามอย่างย่อ
การแสวงหาความต้องการอื่น ๆ นอกจากพระเจ้า เช่นขอจากบบี (ซ็อล ฯ) และบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) เป็นชิริกหรือไม่ เพราะในความเป็นจริงผู้ตอบสนองความต้องการคือพระเจ้า
คำถาม
การแสวงหาความต้องการอื่น ๆ นอกจากพระเจ้า เช่นขอจากบบี (ซ็อล ฯ) และบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) เป็นชิริกหรือไม่ เพราะในความเป็นจริงผู้ตอบสนองความต้องการคือพระเจ้า
คำตอบโดยสังเขป

การให้ความเคารพ การย้อนกลับ การขอความต้องการไปยังผู้ทรงเกียรติ (พระศาสดาและบรรดาอิมาม) ถ้าหากมีเจตนาว่า พวกเขามีบทบาทต่อการเกิดผล และสามารถปลดเปลื้องความต้องการของเราได้ โดยเป็นอิสระจากพระเจ้า หรือปราศจากการพึ่งพิงไปยังอาตมันสากลของพระองค์ การมีเจตนารมณ์เช่นนี้ถือว่าเป็นชิริก อีกทั้งขัดแย้งกับเตาฮีดอัฟอาล (ความเป็นเอกภาพในการกระทำ) เนื่องจากพระองค์ปราศจากการพึ่งพิงไปยังสิ่งอื่นขณะที่สิ่งอื่นต้องพึ่งพิงไปยังพระองค์ ขัดแย้งกับเตาฮีดรุบูบียะฮฺ (อำนาจบริหารและบริบาลเป็นของพระองค์แต่เพียงผู้เดียว ส่วนบรรดาศาสดา มะลัก หรือปัจจัยทางธรรมชาติเป็นเพียงสื่อของพระองค์) ดังนั้น การมีเจตนาดังกล่าวถือว่าไม่เข้ากันและเป็นชิริกกับการบริบาลและการกระทำของพระองค์

แต่ถ้าการตะวัซซุล การให้ความเคารพ และการย้อนกลับมีเจตนารมณ์เพื่อว่า :

. เพื่อการเชื่อฟังปฏิบัติตามพระเจ้า

. การเผยแพร่ศาสนา เมื่อสัมพันธ์ไปยังความจริงที่ว่าพวกเขาได้สร้างศีลธรรม ความดีงามและการพัฒนาตลอดการออกกฎหมาย ซึ่งเป็นบุญคุณที่ท่านเหล่านั้นมีอยู่เหนือตัวเรา

. การสร้างแบบอย่างและการได้รับประโยชน์อันเฉพาะ จากความโปรดปรานอันเฉพาะของบรรดาท่านเหล่านั้น โดยที่เรามิได้คิดว่าท่านเหล่านั้นมิได้ปราศจากความต้องการไปยังอาตมันสากลในการบริบาลของพระเจ้า ฉะนั้น การคิดเช่นนี้ถือว่าไม่ขัดแย้งกับเตาฮีดรุบูบียะฮฺ (พระผู้ทรงบริบาล) ในฐานะที่พระองค์คือผู้ตอบสนองความต้องการ เนื่องจากในความเป็นจริงผู้กระทำ ผู้บริบาล และผู้ขจัดความต้องการของเรา ถึงแม้ว่าจะมาจากบรรดาท่านเหล่านั้น แต่เป็นไปในแนวตั้งของอำนาจบริบาลและการตอบสนองของพระเจ้า มิใช่เป็นไปในแนวนอนเพื่อที่ว่าสิ่งนั้นจะกลายเป็นชิริก

ด้วยเหตุนี้ มาตรฐานของการเป็นชิริก (ตั้งภาคีเทียบเคียงพระเจ้า) ในการแสวงหาความต้องการจากสิ่งอื่นอกจากพระเจ้า ขึ้นอยู่กับเจตนาของแต่ละบุคคล ฉะนั้น ถ้าหากบุคคลหนึ่งได้ตะวัซซุลไปยังพวกเขา โดยมอบความคู่ควรในการเคารพภักดี หรือการบริบาลโดยปราศจากการพึ่งพิงไปยังพระเจ้า การตะวัซซุลเช่นนี้ตามหลักความเชื่อแล้ว ถือว่าเป็นชิริก

แต่ถ้าเป็นไปเพื่อการเคารพภักดีพระเจ้า หรือการใช้ผลประโยชน์จากเกียรติยศและศักดิ์ศรีของพวกเขา และเพื่อให้ตัวตนบริสุทธิ์ของพวกเขาวิงวอนขอความต้องการของเราจากพระองค์ หรือโดยการอนุญาตของพระองค์ให้พวกเขาขจัดความต้องการของเรา การกระทำเช่นนี้มิใช่เพียงจะไม่เป็นชิริกเท่านั้น ทว่าผู้ที่ทำการตะวัซซุล ยังมีความหวังอย่างเต็มเปี่ยม เนื่องจากเขาได้ปฏิบัติไปตามพระบัญชาของพระเจ้า

คำตอบเชิงรายละเอียด

มนุษย์คือสรรพสิ่งมีสองมิติคือ กล่าวคือเป็นการรวมกันระหว่างวิญญาณอันเร้นลับกับร่างกายอันไม่จีรัง เป็นสสารวัตถุประเภทหนึ่งยากจนและต้องพึ่งพิง และเนื่องจากมีสององค์ประกอบสำคัญ ดังนั้น จำเป็นต้องกระทำเพื่อตอบสนองทั้งสององค์ประกอบด้วยความสมดุล ปราศจากความสุดโต่งไปด้านใดด้านหนึ่งเพื่อจะได้มีความสมบูรณ์แข็งแรง และสามารถดำรงสืบต่อไปได้อย่างปกติ มีความเจริญก้าวหน้าและมีการพัฒนาการไปสู่ความรุ่งเรืองสูงสุดอันแท้จริง (ไปสู่ตำแหน่งตัวแทนของพระเจ้า)

พระผู้อภิบาลผู้ทรงปรีชาญาณสูงสุดทรงกำหนดเป้าหมายแน่นอนในการการสร้างของมนุษย์ และทรงรอบรู้ความต้องการและความปรารถนาของมนุษย์ในทุกด้าน ทั้งก่อนหน้าที่จะสร้างรูปลักษณ์ของเขา หรือในเวลาเดียวกันที่ทรงสร้างพวกเขา พระองค์ทรงตระเตรียมการเพื่อขจัดความต้องต่างๆ ของพวกเขา นอกจากนี้พระองค์ยังทรงประสงค์ให้มนุษย์มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นสืบต่อไป ตามกระบวนการทางธรรมชาติด้วยเจตนารมณ์เสรี ความสมบูรณ์แข็งแรงทางกายภาพและจิตวิญญาณ โดยการใช้สื่อเครื่องมือและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ได้ทรงตระเตรียมไว้สำหรับเขา มิเช่นนั้นแล้วพระเจ้าทรงมีศักยภาพในการสร้างกายภาพของมนุษย์ให้สมบูรณ์ตั้งแต่ตอนแรก โดยที่เขาไม่ต้องมาวิวัฒนาการตนไปสู่ความสมบูรณ์อีก ดังการสร้างฟากฟ้าและแผ่นดิน หรือทรงสร้างจิตวิญญาณของมนุษย์ให้สมบูรณ์ตั้งแต่แรก ในแง่ของการแสดงความเคารพภักดี เพื่อว่าเขาจะได้เข้าไปสู่โลกแห่งความศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์ โดยปราศจากความขาดตกบกพร่อง  ดังเห็นได้จากการสร้างมวลมลาอิกะฮฺทั้งหลาย แต่ทว่าความประเสริฐของมนุษย์ที่มีเหนือสิ่งอื่นก็ตรงนี้เอง กล่าวคือขณะที่มนุษย์มีความต้องการทั้งด้านกายภาพและจิตวิญญาณ มนุษย์ยังสามารถพัฒนาตนไปสู่ตำแหน่งที่สูงส่งเหนือมวลมลาอิกะฮฺได้

ดังนั้น มนุษย์ผู้มีเจตนารมณ์เสรีหากต้องการขจัดความต้องการของตน จำเป็นต้องใช้ความโปรดปรานทั้งหมดของพระเจ้าที่แพร่หลายอยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อจะได้คงมีอยู่ด้วยความสุขสมบูรณ์ และสำหรับการขจัดความต้องการทางด้านจิตวิญญาณ จำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากหลักการและกฎเกณฑ์ต่างๆที่พระองค์ทรงกำหนด เพื่อที่ว่าจิตวิญญาณอันเร้นลับของตนจะได้สามารถเชื่อมโยงเข้ากับโลกแห่งความสูงส่ง และสามารถขจัดความต้องการของตนให้หมดไปได้

ในการใช้ปัจจัยที่เป็นตักวีนี เพื่อขจัดความต้องการทางกายภาพของมนุษย์ ตลอดจนการใช้ประโยชน์จากความต้องการอันกว้างไพศาลตลอดระยะเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่ต้องสงสัยเลยเนื่องจากมนุษย์มี 2 องค์ประกอบสำคัญนับตั้งแต่แรกเกิดพวกเขามีความคุ้นเคยกับมัน ฉะนั้น ตามความคิดเห็นของผู้ที่มีความเคร่งครัดในศาสนา สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นการใช้เครื่องมือหรือสื่อ อันเป็นสาเหตุของการขจัดความต้องการทางร่างกายของตน จะเป็นชิริก หรือเป็นการใช้ทรัพย์สินของพระเจ้าชนิดไม่ถูกที่ก็หาไม่

 

พระเจ้าผู้ทรงปรีชาญาณ ทรงขจัดความต้องการทางจิตวิญญาณของมนุษย์ ในรูปแบบของศาสนาและการออกกฎหมาย, โดยมอบอาหารที่สมบูรณ์แข็งแรงด้านความเชื่อศรัทธา การแสดงความเคารพภักดี จริยธรรม การอบรมสั่งสอน โดยผ่านกลุ่มชนนามว่าศาสดา (.) ซึ่งมาจากหมู่พวกเขาเอง ซึ่งพระองค์ทรงแต่งตั้งให้พวกเขาเป็นผู้ชี้นำสั่งสอน พระองค์ได้วางกฎหมายหมายหรือกฎเกณฑ์ขึ้น เพื่อเป็นแนวทางสำหรับมนุษย์ในการไปถึงยังตำแหน่งอันสูงศักดิ์ ขณะที่บรรดาศาสดาแห่งพระเจ้าเองต่างมีหน้าที่ในการรักษาขอบข่ายและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เหล่านั้น เพื่อว่าจะได้สามารถใช้หนทางดังกล่าวขจัดความต้องการด้านจิตวิญญาณของตน และสามารถเชื่อมต่อกับโลกแห่งความเร้นลับในอีกมิติหนึ่งซึ่งอยู่เหนือความรู้สึกของประสาทสัมผัสทั้งห้า และอยู่เหนือญาณวิสัยของมนุษย์ ซึ่งแน่นอนว่าในช่วงวันหนึ่งๆ ท่านได้ติดต่อกับโลกแห่งความเร้นลับนั้นเป็นช่วงเป็นระยะเวลา (ในรูปแบบของการอิบาดะฮฺประจำวัน) และในหมู่มนุษย์ด้วยกันเองมีบางคนที่ได้รับประโยชน์อย่างมหาศาลมากกว่าคนอื่น จากฎเกณฑ์ดังกล่าว ในลักษณะที่ว่าเขาได้ยกตัวเองพ้นไปจากโลกแห่งธรรมชาตินี้ไปสู่โลกในอีกมิติหนึ่ง บางคนประสบความสำเร็จถึงขั้นได้เป็นตัวแทนของพระเจ้าบนหน้าแผ่นดิน จากหนทางดังกล่าวนี้ บางคนก็ไม่อาจไปถึงยังความภิรมย์แห่งพระเจ้าได้ กล่าวคือ สื่อระหว่างโลกและบุคคลได้ตกค้างไปจากขบวน ดังนั้นการ ตกค้างนี่เองที่เขาจำเป็นต้องเลือกหนทางดังกล่าวเพื่อขจัดความต้องการแห่งจิตวิญญาณตน

ประเด็นนี้เองทำให้เกิดความสงสัยคลางแคลง ในความแตกต่างของการตะวัซซุลไปยังพวกเขา หรือการขอความช่วยเหลือจากผู้ทรงเกียรติเหล่านั้น กับความเป็นเอกเทศในการงาน หรือการบริบาลของพรเจ้า

แต่ทว่าดังที่กล่าวไปแล้วว่า การใช้ประโยชน์จากวัตถุสสาร เพื่อช่วยขจัดความต้องการทางกายภาพ ไม่เป็นชิริก เนื่องจากพระเจ้าได้ทรงสร้างสิ่งเหล่านั้นขึ้นมาเพื่อเอื้ออำนวยประโยชน์แก่มนุษย์ ดังที่อัลกุรอานก็กล่าวถึงประเด็นนี้เอาไว้[1] อีกทั้งพระองค์พระองค์ยังได้มอบสิทธิ์ในการใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านั้นแก่พวกเขาอีกต่างหาก และมนุษย์ก็ทราบดีว่าสิ่งถูกสร้างทั้งหมดเหล่านี้ ไม่มีสิ่งใดเป็นเอกเทศโดยปราศจากการพึ่งพิงไปยังพระองค์ ด้วยเหตุนี้ การยึดมั่นหรือการตะวัซซุลไปยังผู้บริสุทธิ์เหล่านั้น เพื่อให้เกียรติเคารพและขจัดความต้องการของตน ไม่มีสิ่งใดขัดแย้งกับการยอมรับในอำนาจบริบาล หรือการงานของพระเจ้า หรือการเป็นผู้ขจัดความต้องการของพระเจ้าแม้แต่นิดเดียว เนื่องจากในการตะวัซซุลนั้นกับบุคคลเหล่านั้นไม่ได้เป็นไปในแนวนอนอันก่อให้เกิดการเป็นชิริกแต่อย่างใด ทว่ามนุษย์ทราบเป็นอย่างดีว่า การงานของผู้บริสุทธิ์เหล่านั้น ตลอดจนอำนาจบริหารของพวกเขาอยู่ในแนวตั้งของการงานและการบริบาลของพระเจ้า ประกอบกับการมีอยู่ของพวกเขาก็คล้ายเหมือนกับสิ่งอื่น ที่ยากจนและต้องพึ่งพิงไปยังอาตมันบริสุทธิ์ของพระเจ้า แน่นอน ถ้าพระองค์ไม่ทรงเมตตา หรือไม่ทรงการุณย์กับพวกเขา พวกเขาก็ไม่อาจเกิดขึ้นมาได้ แล้วจะนับประสาอะไรกับการงานและการบริหารหรือการขจัดความต้องการของมนุษย์ ดังนั้น การเชื่อในการกระทำคือการขจัดความต้องการของมนุษย์ของพวกเขา เป็นไปในแนวตั้งของพระเจ้า สิ่งนี้จึงไม่ถือว่าเป็นชิริกแต่อย่างใด[2]

แต่

แต่เป็นเพราะสาเหตุใด พระเจ้าจึงได้มีบัญชาให้เราย้อนกลับไปยังพวกเขาเหล่านั้น และเป็นเพราะเหตุใดที่เราต้องอาศัยสื่อเหล่านั้น เพื่อรังสรรค์ประโยชน์ทางด้านจิตวิญญาณและโลกแห่งความเร้นลับด้วย ประเด็นนี้สามารถตอบได้หลายเหตุผลด้วยกันกล่าวคือ :

1. บุคคลเหล่านี้ "คือสื่อนำไปสู่ความภิรมย์ของพระเจ้า" เป็นช่องทางที่ความเมตตาจากพระเจ้า,จะไหลหลั่งผ่านมาทางนี้แด่มวลสรรพสิ่งทั้งหลายบนจักรวาลนี้ และถ้ามีไม่บุคคลศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้บนโลก, พระเจ้าก็จะไม่สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินและมวลสรรพสิ่งที่อยู่ระหว่างทั้งสองขึ้นมาการใดทั้งสิ้น ดังคำกล่าวของฮะดีซ กุดซีย์ ที่เชื่อถือได้ กล่าวว่าโอ้ บนีเอ๋ยถ้าหากไม่มีเธอ ข้าก็จะไม่สร้างจักรวาลนี้ขึ้นมา ถ้าหากไม่มีอะลี ข้าก็จะไม่ได้สร้างเธอขึ้นมา ถ้าไม่มีฟาฏิมะฮฺ ข้าก็จะไม่สร้างเธอทั้งสองคนขึ้นมา เนื่องจากการมีอยู่ของเธอทั้งสามคนคือความสมบูรณ์ของกันและกัน และเป็นสเหตุของการสร้างสรรพสิ่งอื่น[3]

ดังนั้น เพื่อการไปถึงยังแหล่งของพระเมตตาจำเป็นที่จะต้องใช้ประโยชน์จากเส้นทางดังกล่าว เพื่อว่าเราจะได้ไม่ถูกกีดกันจากพระเมตตาของพระองค์ ด้วยเหตุนี้ ในบทดุอาอ์ นุดบะฮฺ เราจึงอ่านว่า อยู่  ที่ใดหรือ ที่พำนักแห่งพระเจ้าพวกเราจะได้เข้าไปหา

2. บรรดาผู้ทีได้รับความโปรดปรานพิเศษจากพระเจ้า สื่อสร้างสรรค์ความใกล้ชิดของพระองค์ พวกเขาได้ย้อมตัวเองด้วยสีสันและคุณลักษณะของพระเจ้า การพิจารณาและมองไปยังพวกเขาประหนึ่งการจ้องมองไปยังพระเจ้า เนื่องจากความคุ้นเคยกับพวกเขา แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางอุปสรรคปัญหา ก็จะทำให้มนุษย์รำลึกถึงพระเจ้าและขอความคุ้มครองจากพระองค์ตลอดเสมอมา ดังคำวิงวอนในดุดอาอ์นุดบะฮฺที่กล่าวว่า :"อยู่  ที่ใดหรือ พระพักตร์อันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า ซึ่งหมู่มวลมิตรของพระองค์ได้หันหน้าไปสู่

3 บรรดาผู้ทีได้รับความโปรดปรานพิเศษจากพระเจ้า สื่อสร้างสรรค์ความใกล้ชิดของพระองค์ ดุอาอ์ของพวกเขาจะไม่ถูกปฏิเสธ แต่จะถูกตอบจากพระเจ้า นอกจากนั้นชะฟาอะฮฺของพวกเขายังได้รับการตอบรับจากพระเจ้าด้วย ดังนั้น จะเห็นว่าในดุอาอ์ นุดบะฮฺ ได้กล่าวต่อไปอีกว่าอยู่  ที่ใดกันเล่าผู้ปัดเป่าความทุกข์ยาก เมื่อเราได้วิงวอนดุอาอ์ของเราจะถูกตอบรับและเนื่องจากพระองค์เป็นผู้มีเมตตาสูงส่ง ไม่ทรงปฏิเสธการวิงวอนของผู้ใดทั้งสิ้น และถ้าสิ่งที่วิงวอนขอไปนั้นตรงกับความเห็นพร้องของพระองค์ด้วยแล้ว พระองค์จะไม่ปล่อยให้เขากลับมือเปล่าอย่างแน่นอน ซึ่งสิ่งนี้ระหว่างบุคคลร่วมสมัยกับบรรดาท่านเหล่านั้น และระหว่างผู้ที่เดินทางไปเยี่ยมเยือนท่านต่างได้เห็นกับตาตัวเองหลายต่อหลายครั้ง ด้วยเหตุนี้ จึงมีเสียงกล่าวเรียกพวกท่านทั้งหลายว่าความเคยชินของพวกท่านคือความดีงาม ชะตาชีวิตของพวกท่านคือเกียรติยศ ฐานันดรของพวกท่านคือความสัจจริง ความซื่อสัตย์ และความเมตตา[4]

4. ความสัมพันธ์โดยตรงกับโลกเร้นลับ มนุษย์ที่ไม่เคยพัฒนาและขัดเกลาตนเอง หรือไม่เคยผ่านขบวนการเหล่านี้มาก่อนเขาไม่สามารถกระทำได้แน่นอน ดังนั้น ควรที่จะยึดเอาอุปกรณ์หรือแนวทางที่พระองค์ทรงมอบให้แก่เราเป็นเครื่องมือช่วยเหลือ ด้วยเหตุนี้ อัลลอฮฺตรัสงว่าโอ้ บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย พึงสำรวมตนต่ออัลลอฮ์เถิด และจงแสวงหาสื่อไปสู่พระองค์ และจงต่อสู้และเสียสละในทางของอัลลอฮ์เถิด เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความสำเร็จ[5] นอกจากนั้นยังมีรายงานจำนวนมากมายกำกับไว้ว่า บรรดาอะฮฺลุลบัยต์ (.) คือสื่อของอัลลอฮฺ และ "ความเชื่อมั่นคงอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งของพระเจ้า ดังนั้น เป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้ศรัทธาคนหนึ่ง จำเป็นต้องรู้จักพวกเขา และยึดพวกเขาไว้ให้มั่น[6] ในดุอาอ์นุดบะฮฺ กล่าวว่าเชื่อว่า :อยู่  ที่ใดกันเล่ม สื่อที่เชื่อมต่อระหว่างแผ่นดินและท้องฟ้า ?"

5. การรู้จักการหันหน้าไปสู่และการตะวัซซุลกับบุคคลเหล่านี้ คือมูลเหตุที่ทำให้ความต้องการของเราถูกแก้ไขจัดการ มูลเหตุของความคุ้นเคย, มิตรภาพและความรัก ซึ่งมิตรภาพและความรักที่มีต่อบุคคลเหล่านี้คือ มูลเหตุของการศึกษาและความเป็นเลิศในการชี้นำบุคคล ในขณะที่ตัวตนอันบริสุทธิ์ของพวกเขามิเคยต้องการ ความช่วยเหลือของประชาชน เนื่องจากพวกเขาได้รับความการุณย์พิเศษจากพระเจ้า ไปถึงยังเป้าหมายปลายทาง

6 การย้นอกลับของประชาชนไปยังหมู่มวลมิตรของพระเจ้าคือ ผลรางวัลประการหนึ่งซึ่งพวกเขาได้รับเนื่องจากความอุตสาหะที่ได้เพียรพยายามเอาไว้ ดังที่อัลลอฮฺตรัสกับท่านศาสดามุฮัมมัดว่าและยามหนึ่งของราตรี เจ้าจงตื่นขึ้นมานมาซ ด้วยความสมัครใจของเจ้า หวังว่าพระผู้อภิบาลของเจ้าจะทรงให้จ้าได้รับตำแหน่งที่ได้รับการสรรเสริญ (ตำแหน่งชะฟาอะฮฺทั้งโลกนี้และโลกหน้า)”[7]

7. การย้อนไปสู่และการตะวัซซุลของประชาชนที่มีต่อตัวตนศักดิ์สิทธิ์คือ สาเหตุของการส่งเสริมให้ผู้อื่นได้ปฏิบัติตามแนวทางของพวกเขาด้านหนึ่ง นอกจากนั้นยังเป็นการตัดขาดจากความยโสโอหัง ให้ออกไปจากผู้ที่ดำรงอิบาดะฮฺอย่างเนืองนิด ผู้มีความยำเกรง และผู้ที่ขัดเกลาตนเองให้สะอาดบริสุทธิ์ และยังเป็นการป้องกันและไม่เปิดโอกาสให้แก่ผู้ปลอมแปลงและผู้หลอกลวงทั้งหลายอีกด้วย

8. สถานภาพอันสูงส่งของมนุษย์ผู้สมบูรณ์แบบนั้นมีความโดดเด่นยิ่งกว่ามวลมลักทั้งหลาย เนื่องจาก :

1 มวลมลักทั้งในโลกนี้และปรโลกคือผู้รับใช้บ่าวผู้บริสุทธิ์

2 กิจการงานของมวลมลัก ไม่ถือว่าเป็นความพิเศษอันใดสำหรับพวกเขาแม้แต่นิดเดียว

3 ในค่ำคืนแห่งมิอ์รอจญ์ ท่านศาสดา (ซ็อล ) อยู่ไนตำแหน่งที่ล่วงล้ำเกินญิบรออีลเสียอีก และในบางที่มวลมลาอิกะฮฺคือผู้บริหารงานของพระเจ้าพวกเขาคือผู้บริหารกิจการ[8] (พวกเขาอยู่ในแนวตั้งของผู้ประกอบกิจการงานของพระเจ้า) ต่างไปจากมนุษย์ เพราะมนุษย์คือผู้สร้างตัวเองขึ้นไปสู่ความใกล้ชิดกับพระเจ้า ซึ่งมวลมลาอิกะฮฺมิได้เป็นเช่นนั้น

9. แบบฉบับของบรรดาผู้อาวุโส ผู้สูงศักดิ์คือ ภารกิจบางส่วนถ้าหากผู้อยู่ใต้บังคับชาสามารถปฏิบัติได้ เขาจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของบุคคลเหล่านั้น เมื่อมีผู้มาพบพวกเขาจะได้ให้คำตอบหรือคำปรึกษาได้ เพื่อใช้วิธีการนี้เป็นการอบรมสั่งสอนบุคคลที่เลือกสรรพิเศษ และเป็นรางวัลในความพยายามที่พวกเขาได้ขวนขวายเอาไว้ อีกประการหนึ่งเพื่อให้บุคคลอื่นได้รู้จักตัวเขาและสถานภาพของเขา เพื่อจะได้มีความสะดวกในการไปมาหาสู่หรือติดต่อกับพวกเขา

อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้ทีมาพบปะกับพวกเขาต่างทราบดีว่า สื่อนี้ไม่ได้อยู่ในสานเดียวกันกับพระเจ้าผู้ทรงสูงส่งอย่างแน่นอน และพวกเขาไม่กระทำสิ่งใดอันมิใช่พระประสงค์ หรือมิได้รับอนุญาตจากพระองค์อย่างแน่นอน

สรุป สาระสำคัญตามที่กล่าวมา : สำหรับการเชื่อมต่อกับโลกแห่งความเร้นลับ หรือการปฏิบัติตามพระบัญชาของพระเจ้า การอบรม การขัดเกลา การพัฒนา และการขจัดความต้องการของตนเองทั้งโลกนี้และโลกหน้า จำเป็นต้องรู้จักสื่อ และต้องย้อนกลับ ต้องตะวัซซุล และต้องมอบความรักแก่หมู่มวลมิตรของพระเจ้า การตะวัซซุลไปยังพวกเขา หมายถึง การยึดมั่นไปยังมูลเหตุ และสายเชือกอันเหนียวแน่นมั่นคงของพระเจ้าพระผู้อภิบาลผู้ทรงสูงสุด พวกเขาคือสื่อซึ่งการมีอยู่และเกียรติยศของพวกเขาทั้งหมด สัมพันธ์ติดอยู่กับอาตมันบริสุทธิ์ของพระเจ้า กิจการงานของพวกเขา คำพิพากษา และการขจัดความต้องการทั้งหลายของพวกเขา อยู่ในแนวตั้งแห่งกิจการงานของพระเจ้า แน่นอนว่า การย้อนกลับไปหรือการตะวัซซุลกับบุคคลเหล่านี้ จึงไม่เป็นชิริกแต่อย่างใดทั้งสิ้น เนื่องจากผู้ขจัดความต้องการทั้งปวง มีเฉพาะอัลลอฮฺ แต่เพียงผู้เดียว

แหล่งทรัพยากรทางวิชาการสำหรับการศึกษาเพิ่มเติม :

Mousavi Esfahani, Seyed Mohammad Taqi, Mkyal Almkarm, เล่ม. 1 และ 2, แปล, Seyed Mehdi Haeri Qazvin

Mesbah - Yazdi, Mohammad Taqi ออมูเซซอะกออิด, เล่ม 1-3

Mesbah - Yazdi, Mohammad Taqi มะอาริฟอัลกุรอาน, เล่ม 1-3

Shirvani, Ali, มะอาริฟอิสลามมี ในผลงานของชะฮีด Mottahary , หน้า. 250-251 และ 90-110

นอกจากนี้ยังมีหนังสือ ด้านกะลาม หมวดวิพากษ์เกี่ยวกับชะฟาอะฮฺ เตาฮีดอัฟอาล และบทวิพากษ์เกี่ยวกับอิมามมะฮฺ



[1]  อัลกุรอานบท ญาซียะฮฺ 12,13 บทลุกมาน 20

[2]  โปรดย้อนกลับไปศึกษาคำถามที่ 95 เจตนารมณ์เสรีของมนุษย์ คำถามที่ 217 และ 51 และคำถามที่ 80

[3] คัดลอกมาจาก บัรนาส เซามิอะฮฺ สะรอยี มะฮฺดี หนังสือ คืนอานุภาพคืออะไร พิมพ์ที่ เกาซัร เฆาะดีร เล่ม 2 หน้า 79,81

[4]  ซิยารัตญิมิอ์กะบีร

[5]  อัลกุรอานบท อัลมาอิดะฮฺ 35, บทอาลิอิมรอน 103, บทอัลอิสรอ 57

[6]  ฮาเอรีย์ ซัยยิดมะฮฺดี, ฉบับแปลหนังสือ มิกยาลุลมะการิม เล่ม 1 หน้า 625,639 , นอกจากนี้หนังสือตัฟซีร อีกหลายเล่มตอนอธิบายโองการดังกล่าว

[7] อัลกุรอานบท บทอัลอิสรอ 79

[8]  อัลกุรอานบทนาซิอาต 5

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • อิสลามมิได้ห้ามรับประทานเนื้อดอกหรือ?
    9206 สิทธิและกฎหมาย 2555/03/14
    พืชผักผลไม้และเนื้อสัตว์ถือเป็นอาหารของมนุษย์มาตั้งแต่โบราณ แต่ก็มีมนุษย์บางกลุ่มที่มีรสนิยมสองขั้วที่ต่างกัน บางกลุ่มไม่แตะต้องเนื้อสัตว์เลย ส่วนบางกลุ่มในแอฟริกา ตะวันออกไกลและยุโรปบางประเทศกินเนื้อสัตว์แทบทุกประเภทแม้กระทั่งเนื้อมนุษย์ในบางกรณี การเปรียบเทียบระหว่างมนุษย์กับสัตว์เดรัจฉานถือว่าไม่ถูกต้องนัก การจะใช้เหตุผลที่ว่าเนื่องจากสัตว์เดรัจฉานกินเนื้อ ฉะนั้นมนุษย์จึงไม่ควรจะทานเนื้อ คงต้องถามกลับว่า สัตว์ป่าอย่างเช่น กวาง ยีราฟ ฯลฯ กินเนื้อเป็นอาหารหรือไม่? สัตว์ที่มีนิสัยดุร้ายอย่างหมีไม่ได้กินน้ำผึ้งและผักผลไม้ดอกหรือ? สิ่งนี้จะถือเป็นเหตุผลที่มนุษย์ไม่ควรทานน้ำผึ้งและพืชผักได้หรือไม่? ...
  • ถ้าหากรายงานที่กล่าวประณามการสั่งสมทรัพย์สมบัติถูกต้อง, ดังนั้น ทรัพย์สมบัติของคนเราหรือแม้แต่ทรัพย์สินของบรรดาอุละมาอฺจะอธิบายว่าอย่างไร?
    7037 ปรัชญาเศรษฐศาสตร์ 2554/11/21
    ประการแรก: รายงานที่กล่าวถึง,แม้ว่าจะมีสายรายงานที่อ่อนแอก็ตาม, แต่เมื่อพิจารณารายงานอื่นที่กล่าวถึงประเด็นนี้, ก็จะสามารถลบล้างความอ่อนแอของสายรายงานฮะดีซดังกล่าวได้เป็นอย่างดี
  • ปัจจุบันสวรรค์และนรกมีอยู่หรือไม่ ?
    8975 เทววิทยาดั้งเดิม 2553/12/22
    พิจารณาจากโองการและรายงานต่างๆแล้วจะเห็นว่าสวรรค์และนรกที่ถูกสัญญาไว้มีอยู่แล้วในปัจจุบันซึ่งในปรโลกจะได้รับการเสนอขึ้นมาซึ่งมนุษย์ทุกคนจะถูกจัดส่งไปยังสถานที่อันเหมาะสมของแต่ละคนตามความเชื่อความประพฤติ
  • การทำหมันแมวเพื่อป้องกันมิให้จรจัด แต่ก็มีผลกระทบไม่ดีด้านความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม ฮุกุ่มเป็นอย่างไรบ้าง?
    8679 สิทธิและกฎหมาย 2555/01/23
    สำนักฯพณฯท่านผู้นำอายะตุลลอฮฺอัลอุซมาคอเมเนอี (ขออัลลอฮฺทรงคุ้มครองท่าน):
  • ท่านอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) จะนำศาสนาใหม่และคัมภีร์ที่นอกเหนือจากอัลกุรอานลงมาหรือไม่?
    6375 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/21
    คำถามนี้ไม่มีคำตอบแบบสั้น ปรดเลือกปุ่มคำตอบที่สมบูรณ์ ...
  • ทำไมจึงเรียกการไว้อาลัยแด่ซัยยิดุชชูฮะดาว่า การอร่านร็อวเฎาะฮ์?
    6329 تاريخ کلام 2554/12/10
    สำนวน “ร็อวเฎาะฮ์” เกิดขึ้นเนื่องจากการนำบทต่างๆในหนังสือ “ร็อวเฎาะตุชชุฮะดา”มาอ่านโดยนักบรรยายหนังสือเล่มนี้เป็นหนึ่งในหนังสือเล่มแรกๆที่กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกัรบาลาซึ่งเขียนโดยมุลลาฮุเซนกาชิฟซับซะวอรี (เกิด 910 ฮ.ศ.) เป็นหนังสือภาษาฟาร์ซีหนังสือเล่มนี้ใช้อ่านในการไว้อาลัยมาเป็นเวลาช้านานแล้วดังนั้นพิธีต่างๆที่มีการไว้อาลัยจึงเรียกว่าการร็อวเฎาะฮ์ถึงปัจจุบัน
  • เพราะสาเหตุใด มุฮัมมัด บิน ฮะนีฟะฮฺ จึงไม่ได้ช่วยเหลือท่านอิมามฮุซัยนฺ ในขบวนการอาชูรอ และสิ่งที่กล่าวพาดพิงถึงท่านที่ว่า ท่านได้อ้างตัวการเป็นอิมามะฮฺถูกต้องหรือไม่?
    6706 تاريخ بزرگان 2555/04/07
    การตัดสินเกี่ยวกับบุคลภาพ ความประเสริฐ ความศรัทธาและจริยธรรมของมุฮัมมัด บิน ฮะนีฟะฮฺ หรือการค้นคว้าเกี่ยวกับคำสอบบิดเบือนตลอดหน้าประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เกี่ยวกับบุคลิกภาพ สถานะภาพของบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้ มิใช่สิ่งที่ง่ายดายแต่อย่างใดเลย แต่จากการศึกษาค้นคว้าหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่มีอยู่ปัจจุบัน พร้อมกับอาศัยสัญลักษณ์ที่กระจัดกระจายอยู่ตามตำราอ้างอิงต่าวๆ สามารถเข้าใจมุมมองหนึ่งจากชีวประวัติของบุรุษผู้นี้ได้ เช่น คำพูดที่พูดพาดพิงถึงบุตรชายคนนี้ของท่านอิมามอะลี (อ.) สามารถกล่าวสรุปได้ดังนี้, กล่าวคือเขาเป็นบุรุษที่มีความยิ่งใหญ่คนหนึ่ง เป็นที่รักใคร่ของท่านอิมามอะลี และอิมามฮะซะนัยฺ (อ.) เขามีความเชื่อศรัทธาต่อสถานการณ์เป็นอิมามของบรรดาอิมาม (อ.) เขามิเพียงไม่ได้กล่าวอ้างการเป็นอิมามเพียงอย่างเดียว ทว่าเขายังเป็นทหารผู้เสียสละคอยปกป้อง และรับใช้ท่านอิมามอะลี (อ.) อิมามฮะซัน และอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ด้วยดีมาโดยตลอด เกี่ยวกับสาเหตุที่ท่านมิได้เข้าร่วมเหตุการณ์ในกัรบะลาอฺ หนึ่งในสาเหตุนั้นก็คือ การยืนหยัดต่อสู้ของท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) นั้นมีชะฮาดัตรอคอยอยู่ และการที่เป้าหมายดังกล่าวจะบังเกิดสมจริงได้นั้น ก็ด้วยจำนวนสหายดังกล่าวที่ได้ร่วมเดินทางไปพร้อมกับท่านอิมามฮุซัยน (อ.) ด้วยเหตุนี้ ท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) เห็นว่าไม่มีความสมควรแต่อย่างใด ในการสู้รบหนึ่งซึ่งผลที่ออกมาทั้งสหาย และบุรุษลูกหลานในครอบครัวแห่งอะฮฺลุลบัยตฺของท่าน จะต้องเข้าร่วมโดวยพร้อมหน้ากัน
  • ใครคือบุคคลทีได้เข้าสรวงสวรรค์?
    10296 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/21
    จากการศึกษาอัลกุรอานหลายโองการเข้าใจได้ว่าสวรรค์คือพันธสัญญาแน่นอนของพระเจ้าและจะตกไปถึงบุคคลที่มีความสำรวมตนจากความชั่ว “มุตตะกี”หรือผู้ศรัทธา “มุอฺมิน” ผู้ที่ปฏิบัติตามพระบัญชาของพระเจ้า (ซบ.) และคำสั่งสอนของท่านเราะซูล (ซ็อลฯ) โดยสมบูรณ์บุคคลเหล่านี้คือผู้ได้รับความจำเริญและความสุขอันแท้จริงและเป็นผู้อยู่ในกลุ่มของผู้ประสบความสำเร็จทั้งหลายด้วยการพิจารณาพระบัญชาของอัลลอฮฺ (
  • เราสามารถปฏิบัติตามอัลกุรอานเฉพาะโองการที่เข้าใจได้หรือไม่?
    8359 فضایل اخلاقی 2557/01/21
    มนุษย์เราจำเป็นจะต้องขวนขวายหาความรู้อยู่ตลอดเวลา แน่นอนว่าหากเลือกปฏิบัติตามที่ตนรู้ตามกระบวนการดังกล่าวอย่างบริสุทธิ์ใจ อัลลอฮ์จะทรงชี้นำเขาสู่ความถูกต้องอย่างแน่นอน กุรอานกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า «وَ الَّذینَ جاهَدُوا فینا لَنَهْدِیَنَّهُمْ سُبُلَنا وَ إِنَّ اللَّهَ لَمَعَ الْمُحْسِنین»[1] “และเหล่าผู้ที่ต่อสู้ในแนวทางของเรา(อย่างบริสุทธิ์ใจ) แน่แท้ เราจะชี้นำพวกเขา และพระองค์ทรงอยู่เคียงข้างผู้บำเพ็ญความดี” ท่านนบีกล่าวว่า “مَنْ عَمِلَ بِمَا یَعْلَمُ وَرَّثَهُ اللَّهُ عِلْمَ مَا لَمْ یَعْلَمْ”[2] ผู้ที่ปฏิบัติตามสิ่งที่ตนรู้ พระองค์จะทรงสอนสั่งในสิ่งที่เขาไม่รู้” จำเป็นต้องทราบว่า กุรอานมีทั้งโองการที่มีสำนวนเข้าใจง่ายและมีความหมายไม่ซับซ้อน อย่างเช่นโองการที่บัญชาให้นมาซ ห้ามมิให้พูดปด ห้ามนินทา ฯลฯ ...
  • ในเมื่อการกดขี่เป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลกแล้ว เหตุใดอิมามมะฮ์ดี (อ.) จึงยังไม่ปรากฏกาย
    6834 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/21
    เมื่อคำนึงถึงประเด็นต่อไปนี้จะทำให้เราค้นหาคำตอบได้ง่ายยิ่งขึ้น1.     เราจะเห็นประโยคที่ว่าیملأ الارض قسطا و عدلا کما ملئت ظلما و جورا" ในหลายๆฮะดิษ[1] (ท่านจะเติมเต็มโลกทั้งผองด้วยความยุติธรรมแม้ในอดีตจะเคยคละคลุ้งไปด้วยความอยุติธรรม) สิ่งที่เราจะเข้าใจได้จากฮะดีษดังกล่าวก็คือ

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60544 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58136 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42667 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    40045 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39286 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34407 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28469 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28394 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28317 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26243 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...