การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
7258
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/03/08
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1799 รหัสสำเนา 12543
คำถามอย่างย่อ
ทำไมอิมามฮุซัยน (อ.) จึงไม่ลุกขึ้นยืนในสมัยของมุอาวิยะฮ ?
คำถาม
ทำไมอิมามฮุซัยน (อ.) จึงไม่ลุกขึ้นยืนในสมัยของมุอาวิยะฮ ?
คำตอบโดยสังเขป

สำหรับคำตอบที่ว่าเพราะเหตุใดท่านอิมามฮุซัยนฺ (.) จึงไม่ลุกขึ้นยืนต่อสู้ในสมัยมุอาวิยะฮฺนั้น สามารถกล่าวได้ว่าอาจเป็นเพราะประเด็นเหล่านี้ :

1. เป็นเพราะการให้เกียรติและเคารพในสนธิสัญญาของพี่ชายและอิมามของท่าน ท่านอิมามฮะซัน มุจญฺตะบา (.) ซึ่งท่านได้ทำสนธิสัญญาฉบับนี้กับมุอาวิยะฮฺ และมุอาวิยะฮฺเองแสร้งให้เกียรติสนธิสัญญาดังกล่าวนั้น

2. มุอาวิยะฮฺหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าด้วยเลือดกับอิมาม ฮุซัยนฺ (.) เนื่องจากเกียรติยศ ศักดิ์ศรี และชาติตระกูลของอิมามที่สูงส่งกว่า ประกอบคำทำนายของท่านนบีมุฮัมมัด (ซ็อล ) ที่ว่าราชวงศ์อุมัยยะฮฺต้องล่มสลายหลังจากชะฮาดัตของท่นอิมามฮุซัยนฺ (.) ซึ่งมุอาวิยะฮฺพยายามหลีกหนีความจริงข้อนี้ นอกจากนั้นแล้วเขายังได้สั่งเสียงให้ตนในตระกูลหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าดังกล่าวด้วย แต่ยะซีดในฐานะที่เป็นคนหยิ่งผยอง เมาสุราเป็นนิจศีล เขาจึงไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งเสียของบิดาของเขา ฉะนั้น ตั้งแต่วันแรกที่ขึ้นปกครอง เขาได้ประกาศการเผชิญหน้ากับท่านอิมามฮุซัยนฺ (.) และขีดเส้นตายว่าต้องสังหารท่านอิมามให้จงได้

3. มุอาวิยะฮฺ เป็นนักการเมืองที่มีฝีมือและชาญฉลาด ดูจากภายนอกเหมือนเป็นผู้รักษาระเบียบและข้อบังคับของอิสลาม แต่ยังสามารถปกปิดความเลวร้ายภายในที่เขาได้สร้างขึ้นต่อหน้าสาธารณชนได้เป็นอย่างดี เรียกว่าเป็นคนที่มากด้วยเล่ห์เพทุบาย ขณะยะซีดในฐานะที่เป็นคนหนุ่มและขาดประสบการณ์ และดำเนินชีวิตไปในทางเสียหายมากด้วยราคะ และชอบเล่นกับลิงและสุนัข ใช้ชีวิตแบบคนโง่เขลาทั่วไป ซึ่งไม่มีผู้ใดปฏิเสธได้เลยถึงพฤติกรรมที่ชั่วร้ายของเขา ดังนั้นการนิ่งเงียบของอิมามฮุซัยนฺ (.) ต่อพฤติกรรมชั่วร้ายของเขา ถือว่าเป็นการยืนยันและสนับสนุนความชั่วของเขา และนั้นหมายถึงการทำลายรากของศาสนาอิสลามใหสิ้นไป

4. แต่อิมาม (.) ได้ลุกขึ้นต่อสู้ในสมัยของมุอาวิยะฮฺ เป็นไปได้ที่มุอาวิยะฮฺ จะทำลายขบวนการของท่านอิมามฮุซัยนฺ (.) ให้จบลงอย่างง่ายดาย ด้วยวิธีการและอำนาจที่มีอยู่ในมือขณะนั้น เขาต้องโฆษณาอย่างกว้างขวางว่าตนเป็นฝ่ายถูกต้อง แต่เราจะพบว่ายะซีดไร้ความสามารถในการทำลายเป้าหมายของอาชูรอ สิ่งที่เขาได้กระทำลงไปมันละลายหายไปหมดสิ้น

5. การขาดการสนับสนุนอย่างจริงใจจากประชาชน สำหรับอิมาม (.) ในสมัยของมุอาวิยะฮฺซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ ขณะที่ในสมัยของยะซีด, จะเห็นว่ามีจดหมายนับพันฉบับจากประชาชนชาวกูฟะฮฺ ที่ส่งมาเชิญท่านอิมาม (.) และพวกเขาพร้อมให้การสนับสนุนการยืนหยัดต่อสู้ของท่านอิมาม ดังนั้น ถ้าอิมาม (.) ไม่เข้าไปในอิรักเพื่อปฏิบัติตามคำเรียกร้อง ในทัศนะของประชาชนก็จะกล่าวว่าอิมามกลัวตาย หรือท่านอิมามไม่แยแสต่อความเลวร้ายหรือการอธรรม และอาชญากรรมที่พวกอุมัยยะฮฺได้ก่อขึ้น อีกด้านหนึ่งท่านอิมามไม่ใส่ใจต่อเสียงเรียกร้องของประชาชน ซึ่งทั้งหมดเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ไม่อาจทดแทนได้]

คำตอบเชิงรายละเอียด

สถานการของรัฐบาล สถานภาพของประชาชน และสถานะของอิมาม ฮุซัยนฺ (,) ในยุคสมัยของมุอาวิยะฮฺและสมัยของยะซีดมีความแตกต่างกันมากมาย ซึ่งประเด็นที่สำคัญที่สุดได้แก่

1. อิมามฮะซัน มุจญฺตะบา (.) ในช่วงอายุขัยและช่วงการปกครองของท่านนั้น  เมื่อท่านขอความช่วยเหลือจากประชาชนให้สงครามกับมุอาวิยะฮฺ ท่านต้องพบกับความผิดหวังอย่างรุนแรง บรรดาแม่ทัพของท่านต้องถูกซื้อตัวไปด้วยเม็ดเงินของมุอาวิยะฮฺ พวกเขาได้ปลดปล่อยตัวเองออกไป ดังนั้น เพื่อปกป้องอิสลามให้ดำรงสืบต่อไป และปกป้องชีวิตของเหล่าบรรดาสาวกที่จงรักภักดีกับท่าน และเพื่อให้ข้อพิสูจน์เสร็จสิ้นสำหรับท่าน ประชาชน และมุอาวิยะฮฺ ท่านจึงต้องทำสนธิสัญญาเพื่อความสงบสันติขึ้น ทั้งที่ไม่ใช่ความประสงค์ของท่านเลยแม้แต่น้อย แต่เป็นวิธีการเดียวที่จะช่วยปกป้องอิสลามให้ดำรงสืบต่อไปได้ บางส่วนของสนธิสัญญากล่าวว่า  :

. มุอาวิยะฮฺจะต้องยุติการทำร้ายและกลั่นแกล้งพวกชีอะฮฺ;

. ข้อตกลงทางการเงิน เช่น จะต้องคืนเงินที่ปล้นสะดมคืนให้กับพวกชีอะฮฺ พวกอันซอร และโดยเฉพาะพวกที่จงรักภักดีกับท่านอิมามอะลี (.)

. ให้มุอาวิยะฮฺเลิกสาปแช่งท่านอิมามอะลี บุตรของอบูฏอลิบ (.) ในที่สาธารณะ;

. ห้ามไม่ให้มุอาวิยะฮฺใช้ฉายานาม"อะมีรุลมุอ์มินีน"สำหรับตัวเอง;

. ห้ามไม่ให้มุอาวิยะฮฺแต่งตั้งผู้แทนการปกตรองหลังจากตน[1]

อิมามฮุซัยนฺ (.) หลังจากการเป็นชะฮีดของท่านอิมามฮะซัน (.), ท่านได้หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับยะซี เนื่องจากให้เกียรติและเคารพสนธิสัญญาที่ท่านอิมามฮะซัน (.) ได้ทำไว้กับมุอาวิยะฮฺ[2] แต่หลังจากมุอาวิยะฮฺได้จากโลกไป ไม่จำเป็นต้องให้เกียรติและเคารพในสนธิสัญญานั้นอีกต่อไป ดังนั้น ด้วยการเป็นชะฮีดของท่านอิมามฮะซัน (.) ระยะเวลาของสัญญาก็สิ้นสุดลงด้วย

2. มุอายะฮฺเองก็พยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าและการนองเลือดกับอิมามฮุซัยนฺ (.) และเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบในการรักษาการปกครองของตน จำเป็นต้องอดทนต่ออิมามทั้งสองท่าน อีกทั้งได้สั่งห้ามและกำชับคนอื่นไม่ให้เผชิญหน้ากับท่านอิมามด้วยเช่นกัน ห้ามมิให้มีการติดต่อกับท่าน ด้วยเหตุนี้ แม้แต่การเอาสัตยาบันจากอิมาม มุอาวิยะฮฺยังได้กำชับกับยะชีดไว้นักหนาว่า อย่าใช้กำลังและความรุนแรงกับอิมามฮุซัยนฺอย่างเด็ดขาด แต่ยะซีดเนื่องจากเป็นคนหนุ่ม ขาดประสบการณ์ และมีความยโสโอหัง เขาไม่ประสงค์ที่จะปฏิบัติตามคำสั่งเสียของบิดา ซึ่งนับตั้งแต่วันแรกที่ขึ้นมาปกครองเขาได้สั่งผู้ปกครองมะดีนะฮฺว่า ให้เอาสัตยาบันจากอิมามฮุซัยนฺ (.)  ให้จงได้หรือไม่ก็ให้ตัดศีรษะส่งมาให้ฉัน

และนี่คือวิธีการของยะซีด ซึ่งทำให้ต้องเผชิญหน้ากับท่านอิมามโดยตรง เนื่องจากท่านอิมาม (.) จะไม่ยอมให้สัตยาบันกับยะซีดอย่างแน่นอน ซึ่งเราได้ประจักษ์กับสายตาแล้วว่าในแผ่นดินกัรบะลาอ์ได้เกิดอะไรขึ้น การกระทำของยะซีดนั่นเองเป็นเหตุทำให้รางวงศ์ของอุมัยยะฮฺต้องสิ้นสุดลง[3]

3. มุอาวิยะฮฺเป็นนักการเมืองที่มีฝีมือ และรู้จักรักษาภาพลักษณะต่อหน้าสาธารณะชนได้เป็นอย่างดี เขาสามารถปกปิดความไม่ดีของเขา การทุจริตภายใน และความเลวร้ายที่ก่อขึ้นต่อหน้าสาธารณชนได้เป็นอย่างดี สร้างค่าที่นิยมต่อประชาชนจนกระทั่งประชาชนยอมรับว่าเป็นมุสลิม และเป็นเคาะลิฟะฮฺของท่านศาสดา (ซ็อล ) อีกทั้งได้ส่งเสริมการภารกิจในอิสลาม แต่ยะซีดไม่ได้มีทักษะและประสบการณ์เหล่านี้ เขาก่อความเสียหาย และล่วงละเมิดทางเพศอย่างอย่างเห็นได้ชัดเจน และเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาทั้งหมดยิ่งกว่าแสงแดดในตอนกลางวัน ทั้งโดยทั่วไปและเฉพาะเจาะจง เขาได้แสดงการปฏิเสธศรัทธาและไม่ยอมรับพระเจ้า เขามีความภาคภูมิใจต่อการเป็นผู้ตั้งภาคีของเหล่าบรรพชนของเขา ที่สำคัญเขาไม่เคยให้เกียรติท่านนบี (ซ็อล ) แม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้ จะเห็นว่าการดำรงสภาพความสันติในสมัยของยะซีด มีความหมายเท่ากับเป็นการสนับสนุนและส่งเสริมความชั่วร้ายที่เปิดเผย ซึ่งในที่สุดแล้วยิ่งเป็นการทำให้สังคมหลงผิดมากไปกว่าเดิม[4] และการสืบสานต่อการปกครองของยะซีด เท่ากับเป็นการอำลาจากอิสลาม และทำลายบทบัญญัติทั้งหมดของอิสลาม[5]

4. ก่อนหน้านี้ได้กล่าวไปแล้วว่ามุอาวิยะฮฺเป็นเจ้าเล่ห์เพทุบาย และเขาพยายามหลีกเลียงการเผชิญหน้ากับท่านอิมามฮุซัยนฺ (.) มาโดยตลอด แต่ถ้าอิมาม (.) ได้ลุกขึ้นยืนต่อสู้กับมุอาวิยะฮฺในตอนนั้น สถานการณ์จะเอื้ออำนวยให้แก่มุอาวิยะฮฺทันที่ เนื่องจากการโฆษณาชวนเชื่อ การเผยแพร่ข้อมูลในทางที่ผิดให้กว้างขวางออกไป ด้วยอุปกรณ์เครื่องต่างๆ และอำนาจที่มีอยู่ในมือขณะนั้น ซึ่งเป็นไปได้การเคลื่อนไหวของท่านอิมามฮุซัยนฺ (.) จะไร้ผลทันที ผู้คนจะไม่กล่าวขานถึงอีกต่อไป ที่สำคัญสถานการณ์จะกลายเป็นประโยชน์แก่มุอาวิยะฮฺทันที และอุมัยยะฮฺก็จะสามารถดำรงการปกครองสืบต่อไปอีกช้านาน แต่เนืองจากความโง่เขลาและการก่อกรรมชั่วร้ายของยะซีดอย่างเปิดเผย และการอ่อนประสบการณ์ด้านการเมือง ยะซีดจึงได้คิดจัดการกับอิมาม (.) ขั้นเด็ดขาด และหลังการชะฮาดัตของท่านอิมามฮุซัยน (.) ด้วยความไร้เดียงสาและการไม่ได้มีทักษะในการทำงาน เขาจึงไม่สามารถลบประวัติศาสตร์หน้านี้ให้หมดไปได้ มิหนำซ้ำนับวันประวัติศาสตร์หน้านี้ยิ่งถูกทำให้ยิ่งใหญ่ และกลายเป็นแบบอย่างของการต่อสู้ทั้งหลายบนหน้าแผ่นดิน สร้างความชัดเจนให้ประชาชนมากยิ่งขึ้น จนในที่สุดราชวงศ์อุมัยยะฮฺได้มาสิ้นสุดลงเนื่องจากฝีมือของเขา และนี่คือความแตกต่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนจากการปกครองของทั้งสอง ซึ่งสิ่งนี้ไม่ได้เป็นที่คลุมเครือสำหรับอิมามเลยแม้แต่นิดเดียว 

5. ในสมัยของมุอาวิยะฮฺ จะเห็นว่าไม่มีการเชิญชวนให้อิมาม (.) ยืนหยัดต่อสู้กับความอธรรมเลยแม้แต่น้อย ไม่มีการประกาศว่าจะสนับสนุนและให้การช่วยเหลืออิมามแต่อย่างใด เนื่องจากพฤติกรรมเจ้าเล่ห์ของมุอาวิยะฮฺ แต่หลังจากมุอาวิยะฮฺได้จากไป และการปกครองได้ตกไปถึงมือยะซีด สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปทันที การนองเลือดมุสลิม การอธรรม และการกดขี่ต่างๆ จนกระทั่งประชาชนชาวกูฟะฮฺได้ออกมาเรียกร้อง และส่งจดหมายเชิญท่านอิมาม (.) หลายพันฉบับด้วยกัน พวกเขาได้เรียกร้องให้ท่านอิมาม (.) ไปเป็นอิมามสำหรับพวกเขา และให้ยืนหยัดต่อสู้กับพวกอุมัยยะฮฺ โดยที่พวกเขาจะเป็นผู้ให้การสนับสนุนทุกอย่างแก่ท่านอิมาม (.)

หลังจากการตายของมุอาวิยะก็ทำให้ข้อตกลงสันติภาพหมดวาระไปด้วย ประกอบกับคนก่อกรรมชั่วเฉกเช่นยะซีดได้ขึ้นปกครอง อีกด้านหนึ่งจดหมายหลายพันฉบับที่ส่งถึงท่านอิมามฮุซัยนฺ (.) เพื่อเชิญชวนให้ท่านไปเป็นอิมามสำหรับพวกเขา สิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นเหตุผลที่ทำให้ไม่เหลือข้ออ้างอันใดอีกต่อไป ดังนั้น ถ้าอิมาม (.) ไม่ตอบรับคำเชิญและไม่เริ่มเคลื่อนไหวไปสู่อิรักในทัศนะของประชาชนทั่วไปแล้วการกระทำเช่นนั้น เท่ากับอิมาม (.) ไม่สนใจชะตากรรมของประชาชาติอิสลาม และในที่สุดแล้วเท่ากับไม่สนใจต่ออิสลาม ไม่สนใจต่อคำเรียกร้องของผู้ถูกกดขี่ ที่เรียกร้องให้ไปต่อสู้กับผู้ก่อความเสียหาย ผู้กดขี่และทุจริต และไม่มีความไม่เป็นธรรมแม้แต่น้อย แน่นอนว่าเรืองราวต่างๆ ก็จะไม่เกิดขึ้น แต่การออกไปของท่านอิมาม (.) ตรงกับช่วงเทศกาลฮัจญฺพอดีทุกสิ่งเป็นที่เปิดเผย เหตุการณ์อาชูรอจึงเป็นที่ชัดเจนที่ว่าโศกนาฎกรรมความโหดร้ายที่วงศ์วานบนีอุมัยยะฮฺ ได้สังหารลูกหลานของท่านเราะซูล (ซ็อล ) อย่างโหดร้ายที่สุด จับบรรดาเด็กและสตรีที่ยังมีชีวิตอยู่เป็นเชลยล่ามโซ่ตรวน ความชั่วร้ายที่อุมัยยะฮฺได้กระทำไว้นั้น กลายเป็นข้อพิสูจน์และเหตุผลสมบูรณ์สำหรับผู้ที่ใฝ่หาความจริง ตลอดหน้าประวัติศาสตร์จากเวลานั้นจนถึงบัดนี้และตราบที่โลกยังอยู่ ไม่มีที่ว่างสำหรับผู้ปกครองที่ปล้นสะดมอำนาจการปกครองอีกต่อไป แม้ว่าพวกเขาพยายามที่จะปกปิดความจริง และร่องรอยทางประวัติศาสตร์มากเท่าใด ผลกระทบและร่องรอยของขบวนการณ์ หมายถึงการฟื้นฟูหลักการและศาสนาของท่านเราะซูล (ซ็อล ) ก็จะยิ่งชัดเจนและทวีความสำเร็จมากยิ่งขึ้น แน่นอน การยืนหยัดต่อสู้ของท่านอิมามฮุซัยนฺ (.) จึงกลายเป็นประทีปนำทางและเป็นนาวาที่ให้ความช่วยเหลือประชาชาติให้รอดปลอดภัย ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะต้องรับสาส์นต่อจากท่านหญิงซัยนับ (.) และท่านอิมามซัยนุลอาบิดีน (.) และประกาศสาส์นนี้ออกไปให้ชาวโลกทั้งหลายได้ประจักษ์ความจริง พิธีกรรมการรำลึกถึงท่านอิมามฮุซัยนฺ (.) จึงกลายเป็นการฟื้นฟูอิสลามให้ดำรงสืบต่อไป และเป็นเหตุผลสำหรับผู้ที่ใฝ่หาความจริง

แหล่งอ้างอิงเพื่อการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป :

บิลาซะรีย์, อินซาบุลอัชรอฟ, เล่ม 2

อิบนุอะซากิร ตะฮฺซีบุตตารีค ดามัสกัส, เล่ม. 2

อัลลามะฮฺ มัจญฺลิส, บิฮารุลอันวาร เล่ม. 44

อิบนุ อะซีร อัลกามิลฟิลตารีค, เล่ม 3

อัดดัยนูรี อิบนุกุตัยบะฮฺ อัลอิมามะฮฺ วัซซิยาซะฮฺ

เชคมุฟีด อัลเอรชาด

ยะอ์กูบี อิบนุวาฎิฮ์ ตารีคยะกูบี

มัสอูดดี มุรูจญฺ อัซซิฮับ

เอซฟาฮานี อบุลฟะรัจญ์ มะกอติล อัฏฏอลิบีน

อัลยาซีน มุฮัมมัด ฮะซัน อัลอิมามฮะซัน บิน อะลี (.)



[1]  อะมีน อามิลีย์ ซัยยิด มุอ์ซิน อิมามฮะซันและอิมามฮุซัยนฺ (.) หน้า 70,54

[2] อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 148

[3]  มุฮัดดะซีย์ ญะวาด ฟัรฮังอาชูรอ หน้า 27 38 และหน้า 428,430

[4]  นิมอเยะฮฺ ความชั่วร้ายในรัฐบาลอิสลาม คำถามที่ 103 (ไซต์ 1019)

[5]  มุฮัดดะซีย์ ญะวาด ฟัรฮังอาชูรอ หน้า 484, 482, [5]  อะมีน อามิลีย์ ซัยยิด มุอ์ซิน อิมา

ฮะซันและอิมามฮุซัยนฺ (.) หน้า 282, 276

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

คำถามสุ่ม

  • ผมได้หมั้นหมายกับคู่หมั้นมานานเกือบ 10 ปี แล้วเราสามารถอ่านอักด์ชัรอียฺก่อนแต่งงานตามกฎหมายได้หรือไม่?
    6024 สิทธิและกฎหมาย 2555/04/07
    คำตอบจากบรรดามัรญิอฺตักลีดเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว ตามที่มีผู้ถามมา[1] ฯพณฯท่านอายะตุลลอฮฺ .. : 1. ฯพณฯ ท่านอายะตุลลอฮฺ คอเมเนอี : ด้วยการใส่ใจและตรวจสอบเงื่อนไขทางชัรอียฺแล้ว, โดยตัวของมันไม่มีปัญหาแต่อย่างใด 2.ฯพณฯ ท่านอายะตุลลอฮฺ ซิตตานียฺ : การอ่านอักด์นิกาห์กับหญิงสาวบริสุทธิ์ต้องขออนุญาตบิดาของเธอก่อน 3.ฯพณฯ ท่านอายะตุลลอฮฺ ซอฟฟี ฆุลภัยฆอนียฺ : การแต่งงานของชายผู้ศรัทธากับหญิงผู้ศรัทธา มีเงื่อนไขหลักหลายประการ (เช่น การได้รับอนุญาตจากผู้ปกครองของฝ่ายหญิงเป็นต้น) โดยตัวของมันแล้วไม่มีปัญหา แต่ถ้มีปัญหาอื่นจงเขียนคำถามมาให้ชัดเจน เพื่อจะได้ตอบไปตามความเหมาะสม 4.ฯพณฯ ท่านอายะตุลลอฮฺ มะการิม ชีรอซียฺ : ตามตัวบทกฎหมายของรัฐอิสลาม, การแต่งงานลักษณะนี้ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ...
  • ฮะดีษนี้เศาะฮี้ห์หรือไม่? รายงานจากอิมามญะฟัร(อ.)ว่า "ก่อนท่านนบี(ซ.ล.)จะนอน ท่านจะแนบใบหน้าที่หว่างอกของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(อ.)เสมอ" (บิฮารุลอันว้าร,เล่ม 43,หน้า 78)
    7701 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2554/11/24
    ฮะดีษแบ่งออกเป็นสองประเภท ก.กลุ่มฮะดีษที่มีสายรายงานที่เชื่อถือได้แข็งแรงและเศาะฮี้ห์ ขกลุ่มฮะดีษที่มีสายรายงานที่ไม่น่าเชื่อถืออ่อนแอและไม่เป็นที่รู้จัก.ฮะดีษที่ยกมานั้นหนังสือบิฮารุลอันว้ารอ้างอิงจากหนังสือมะนากิ้บของอิบนิชะฮ์รอชู้บแต่เนื่องจากไม่มีสายรายงานที่ชัดเจนจึงจัดอยู่ในกลุ่มฮะดีษที่ไม่น่าเชื่อถือแต่สมมติว่าฮะดีษดังกล่าวเศาะฮี้ห์
  • มีเศาะฮาบะฮ์นบีกี่ท่านที่เป็นชะฮีดในกัรบะลา?
    12503 ชีวประวัตินักปราชญ์ 2555/02/06
    ข้อสรุปที่นักวิจัยอาชูรอรุ่นหลังได้รับจากการค้นคว้าก็คือมีเศาะฮาบะฮ์นบี 5 ท่านอยู่ในกลุ่มสหายของอิมามฮุเซน(อ.) ในเหตุการณ์อาชูรอโดยมีรายชื่อดังต่อไปนี้อนัสบิรฮัรซ์, ฮานีบินอุรวะฮ์, มุสลิมบินเอาสะญะฮ์, ฮะบีบบินมะซอฮิร, อับดุลลอฮ์บินยักฏิร ...
  • จริงหรือไม่ที่ทุกคนมีญินเป็นคู่กำเนิด?
    13754 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/01/15
    มีฮะดีษหลายบทที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับคู่กำเนิดบางบทระบุว่าอัลลอฮ์ทรงมีดำรัสแก่อิบลีสว่า “ข้าจะไม่ประทานบุตรแก่มนุษย์คนใดเว้นแต่จะประทานบุตรแก่เจ้าเช่นกัน” ฉะนั้นมนุษย์แต่ละคนย่อมมีคู่กำเนิดเป็นญิน[1]ท่านนบี(ซ.ล.)เคยกล่าวว่า “พูดได้ว่าทุกคนต่างก็มีคู่กำเนิดเป็นญินด้วยกันทั้งสิ้น” สาวกถามว่าโอ้ศาสนทูตของพระองค์ท่านเองก็มีญินคู่กำเนิดด้วยหรือ? ท่านตอบว่า “มีสิแต่พระองค์ทรงทำให้เขายอมสยบต่อฉันโดยที่เขาไม่ทำอะไรนอกจากกำชับให้ทำความดี”[2]จากฮะดีษข้างต้นท่านนบี(ซ.ล.)ต้องการจะกำชับให้เราป้องกันและระวังภัยจากญินคู่กำเนิดที่จะล่อลวงเนื่องจากอยู่ใกล้ชิดเราดังนั้นเมื่อคำนึงถึงการที่อัลลอฮ์ทรงแต่งตั้งศาสดาเพื่อชี้นำมนุษยชาติและอีกด้านหนึ่งก็เป็นที่ทราบกันดีว่าชัยฏอนและพงศ์พันธุ์ของมันจ้องจะหลอกลวงให้มนุษย์หลงทางตลอดเวลาแน่นอนว่าบุคคลที่หลงลืมอัลลอฮ์เท่านั้นที่ชัยฏอนจะสามารถกุมบังเหียนได้ดังที่พระองค์ทรงตรัสในกุรอานว่า “และผู้ใดที่เพิกเฉยต่อการรำลึกถึงเราเราจะส่งชัยฏอนยังเขาเพื่อให้เป็นคู่สหาย”[3][1]มัจลิซี,มุฮัมมัดบากิร
  • มีการประทานโองการที่เกี่ยวกับอิมามอลี(อ.)ในเดือนใดมากที่สุด?
    7146 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/03/07
    เพื่อไขปัญหาดังกล่าว ในเบื้องต้นควรทราบข้อสังเกตุดังต่อไปนี้ 1. โดยทั่วไปแล้ว ฮะดีษที่กล่าวถึงเหตุแห่งการประทานโองการกุรอานมีสองประเภท หนึ่ง. เล่าถึงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในยุคของท่านนบี(ซ.ล.) โดยอ้างถึงโองการที่ประทานลงมาเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นๆ สอง. เล่าถึงโองการที่ประทานลงมาเกี่ยวกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยมิได้กล่าวถึงรายละเอียดเหตุการณ์ อย่างเช่นโองการที่เกี่ยวกับฐานันดรภาพของท่านอิมามอลี(อ.)และอิมาม(อ.)ท่านอื่นๆ[1] 2. โองการกุรอานประทานลงมาสู่ท่านนบี(ซ.ล.)เป็นระยะๆตามแต่เหตุการณ์ วันเวลาและสถานที่ที่แตกต่างกัน ทว่ามีบางโองการเท่านั้นที่มีฮะดีษช่วยระบุถึงปัจจัยต่างๆดังกล่าว หรืออาจจะมีฮะดีษที่ระบุไว้แต่มิได้ตกทอดถึงยุคของเรา 3. มีโองการมากมายที่กล่าวถึงฐานันดรภาพของท่านอิมามอลี(อ.)และมะอ์ศูมีน(อ.)ท่านอื่นๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการพิสูจน์และตีแผ่หลักการสำคัญอย่างเช่นหลักอิมามะฮ์ (ภาวะผู้นำภายหลังนบี) หากพิจารณาเหตุแห่งการประทานโองการต่างๆอย่างถี่ถ้วนแล้ว จะพบว่าโองการที่กล่าวถึงฐานันดรภาพและภาวะผู้นำของท่านอิมามอลี(อ.)มักจะประทานลงมาในเดือนซุลฮิจญะฮ์เป็นส่วนใหญ่ อาทิเช่นโองการต่อไปนี้ หนึ่ง. يا أَيُّهَا الرَّسُولُ بَلِّغْ ما أُنْزِلَ إِلَيْكَ مِنْ رَبِّكَ وَ إِنْ ...
  • การให้การเพื่อต้อนรับเดือนมุฮัรรอม ตามทัศนะของชีอะฮฺถือว่ามีความหมายหรือไม่?
    7212 สิทธิและกฎหมาย 2554/12/20
    การจัดพิธีกรรมรำลึกถึงโศกนาฏกรรมของท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ถือเป็นซุนนะฮฺ (แบบฉบับ) ซึ่งได้รับการสถาปนาและสนับสนุนโดยบรรดาอิมามมะอฺซูม (อ.)
  • ทำอย่างไรจึงจะสามารถทำนายฝันได้?
    7881 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/01/07
    แม้การฝันเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับทุกคนในชีวิตประจำวัน  แต่จนถึงบัดนี้นักวิชาการก็ยังไขปริศนาเกี่ยวกับความฝันไม่ได้อัลกุรอานกล่าวถึงท่านนบียูซุฟที่หยั่งรู้เหตุการณ์จริงจากความฝัน[1]และยังได้รับพรจากอัลลอฮ์ให้สามารถทำนายฝันได้อย่างแม่นยำ[2]ท่านเคยทำนายฝันของเพื่อนนักโทษในเรือนจำและมีโอกาสได้ทำนายฝันกษัตริย์แห่งอิยิปต์อีกด้วยจึงกล่าวได้ว่าการทำนายฝัน (หรือที่กุรอานเรียกว่าการ“ตีความ”[3]ฝัน) เป็นศาสตร์ที่มีอยู่จริงและพระองค์ทรงประทานแก่ศาสนทูตของพระองค์
  • มีความแตกต่างกันบ้างไหมระหว่างทัศนะของชีอะฮฺ กับทัศนะของซุนนียฺในปัญหาเกี่ยวกับท่านอิมามมะฮฺดียฺ (อ.)
    9236 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/21
    แน่นอนความเชื่อเรื่องอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) เป็นส่วนสำคัญของหลักศรัทธาอิสลามบนพื้นฐานคำบอกกล่าวของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ
  • เหตุใดซิยารัตอาชูรอจึงมีการประณามบนีอุมัยยะฮ์แบบเหมารวม “لَعَنَ اللَّهُ بَنى اُمَیَّةقاطِبَةً” คนดีๆในหมู่บนีอุมัยยะฮ์ผิดอะไรหรือจึงต้องถูกประณามไปด้วย?
    6560 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2554/06/28
    อิสลามสอนว่าไม่ว่าจะในโลกนี้หรือโลกหน้าอัลลอฮ์ไม่มีทางลงโทษบุคคลใดหรือกลุ่มใดเนื่องจากบาปที่ผู้อื่นก่อนอกเสียจากว่าเขาจะมีส่วนร่วมหรือพึงพอใจหรือไม่ห้ามปราม กุรอานและฮะดีษสอนว่าสิ่งที่จะเชื่อมโยงบุคคลให้สังกัดในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งคือความคล้ายคลึงกันในแง่ของแนวคิดและวิธีปฏิบัติดังที่กุรอานไม่ถือว่าบุตรชายผู้ดื้อรั้นของนบีนู้ฮ์เป็นสมาชิกครอบครัวท่านทั้งนี้ก็เนื่องจากมีแนวคิดและวิธีปฏิบัติที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงฉะนั้นบนีอุมัยยะฮ์ที่ถูกประณามในที่นี้หมายถึงผู้ที่มีแนวคิดและวิธีปฏิบัติสอดคล้องกับบรรพบุรุษที่เคยมีบทบาทในการสังหารโหดท่านอิมามฮุเซน(อ.) หรือเคยยุยงต่อต้านสัจธรรมแห่งอิมามัตรวมถึงผู้ที่ละเว้นการตักเตือนเท่านั้นทว่าเชื้อสายบนีอุมัยยะฮ์ที่ไม่มีประวัติด่างพร้อยใดๆย่อมไม่ถูกประณาม ...
  • อิมามโคมัยนีเชื่อว่าการร่ำไห้และการไว้อาลัยแด่อิมามฮุเซน(อ.)สามารถรักษาอิสลามให้คงอยู่ถึงปัจจุบันไช่หรือไม่? เพราะเหตุใด?
    7932 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/12/08
    คำถามนี้ไม่มีคำตอบแบบสั้น ปรดเลือกปุ่มคำตอบที่สมบูรณ์ ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    59405 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    56853 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    41682 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38440 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    38437 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    33464 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    27550 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27251 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27151 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25225 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...