การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
10771
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/08/14
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1220 รหัสสำเนา 15870
หมวดหมู่ รหัสยทฤษฎี
คำถามอย่างย่อ
จะเชิญชวนชาวคริสเตียนให้รู้จักอิสลามด้วยรหัสยนิยมอิสลาม(อิรฟาน)ได้อย่างไร?
คำถาม
ใช้รหัสยนิยมอิสลาม(อิรฟาน)เป็นสื่อกลางให้ชาวคริสเตียนรู้จักอิสลามได้อย่างไร?
คำตอบโดยสังเขป

คุณสามารถกระทำได้โดยการแนะนำให้รู้จักคุณสมบัติเด่นของอิรฟาน(รหัสยนิยมอิสลาม) และเล่าชีวประวัติของบรรดาอาริฟที่มีชื่อเสียงของอิสลามและสำนักคิดอะฮ์ลุลบัยต์
1). อิรฟานแบ่งออกเป็นสองประเภทด้วยกัน อิรฟานเชิงทฤษฎี และอิรฟานภาคปฏิบัติ เนื้อหาหลักของวิชาอิรฟานเชิงทฤษฎีก็คือ
. แจกแจงเกี่ยวกับแก่นเนื้อหาของเตาฮี้ด(เอกานุภาพของอัลลอฮ์)
. สาธยายคุณลักษณะของมุวะฮ์ฮิด(ผู้ยึดถือเตาฮี้ด)ที่แท้จริง
เตาฮี้ดในแง่อิรฟานหมายถึงการเชื่อว่า นอกเหนือจากพระองค์แล้ว ไม่มีสิ่งใดที่มีอยู่โดยตนเอง ทั้งหมดล้วนเป็นภาพลักษณ์ของอัลลอฮ์ในฐานะทรงเป็นสิ่งมีอยู่เพียงหนึ่งเดียวทั้งสิ้น
กล่าวคือ สัมพันธภาพระหว่างอัลลอฮ์กับสรรพสิ่งที่พระองค์สร้างนั้นเปรียบเสมือนต้นไม้กับเงา เงามีอยู่ได้ก็เพราะมีต้นไม้ ซึ่งจริงๆแล้วเงาเป็นเพียงผลพลอยจากการที่ต้นไม้บังแสงแดดเท่านั้น
ในปริทรรศน์ของอิรฟาน มุวะฮ์ฮิดที่แท้จริงก็คือ มนุษย์ผู้สมบูรณ์ผู้เป็นดั่งภาพลักษณ์ของพระนามและคุณลักษณะทั้งหมดของพระองค์อย่างครบถ้วนบนหน้าแผ่นดิน
ในมุมมองของอิรฟานภาคปฏิบัติ มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่มีสองภาค ภาควิญญาณและภาคสัตว์ การจาริกทางจิตวิญญาณคือวิธีเสริมสร้างภาควิญญาณให้เข้มแข็งเพื่อให้ประสบความผาสุก เพื่อจะเสริมสร้างภาควิญญาณ นักจาริกจะต้องขัดเกลาและบริหารจิตใจตามบทบัญญัติศาสนา กล่าวได้ว่าเนื้อหาทั้งหมดของอิรฟานล้วนสอนให้รู้ถึงแนวทางขัดเกลาและฝึกฝนตนเองตามหลักชะรีอะฮ์ในฐานะที่เป็นวิธีฝึกฝนที่ดีที่สุด ซึ่งจะทำให้มนุษย์ตระหนักถึงการกำกับดูแลของพระองค์เสมอและจะบังเกิดความรักในพระองค์ การตระหนักและการสำรวมตนจะทำให้มนุษย์บรรลุความใกล้ชิดพระองค์ ได้รับฐานะแห่งฟะนาอ์และรื่นรมย์กับความผาสุกอันนิรันดร์ ความผาสุกนี้เองเป็นเป้าหมายที่ศาสนาพร่ำสอนให้เราไขว่คว้ามาให้ได้ อย่างไรก็ดี กระบวนการอิรฟานจำเป็นต้องมีครูผู้นำทาง และบรรดาอิมาม(.)คือผู้นำทางที่แท้จริงในหนทางแห่งอิรฟาน
2). เมื่อพิจารณาคำสอนของอะฮ์ลุลบัยต์จะพบว่า อิรฟานอิสลามนั้นมีคุณสมบัติพิเศษที่สำนักรหัสยะอื่นๆไม่มี อาทิเช่น
1. เคารพบทบัญญัติชะรีอะฮ์
2. ยอมรับหลักญิฮาดและการต่อสู้
3. เสริมปัญญาและความรู้
4. ช่วยเหลือผู้ทุกข์ยาก
5. รักษาเกียรติของตน
6. ประกอบอาชีพ และหลีกเลี่ยงการปลีกตนเช่นนักบวช

3). จากการศึกษาชีวประวัติของอาริฟที่ต่อสู้กับสิ่งชั่วร้ายในสังคมเคียงข้างการบำเพ็ญกุศล ชี้ให้เห็นว่าอิรฟานอิสลามมีศักยภาพพอที่จะบ่มเพาะมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งสามารถนำเสนอความงดงามของอิรฟานสู่สายตาของผู้ประสงค์จะศึกษาได้เป็นอย่างดี

คำตอบเชิงรายละเอียด

คุณสามารถกระทำได้โดยการแนะนำให้รู้จักคุณสมบัติเด่นของอิรฟาน(รหัสยนิยมอิสลาม) และเล่าชีวประวัติของบรรดาอาริฟที่มีชื่อเสียงของอิสลามและสำนักคิดอะฮ์ลุลบัยต์
1) อิรฟานแบ่งออกเป็นสองประเภทด้วยกัน อิรฟานเชิงทฤษฎี และอิรฟานภาคปฏิบัติ เนื้อหาหลักของวิชาอิรฟานเชิงทฤษฎีก็คือ
1.1 แจกแจงเกี่ยวกับแก่นเนื้อหาของเตาฮี้ด(เอกานุภาพของอัลลอฮ์)
1.2 สาธยายคุณลักษณะของมุวะฮ์ฮิด(ผู้ยึดถือเตาฮี้ด)ที่แท้จริง
เตาฮี้ดในแง่อิรฟานหมายถึงการเชื่อว่า นอกเหนือจากพระองค์แล้ว ไม่มีสิ่งใดที่มีอยู่จริง ในมุมมองของอาริฟ ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นภาพลักษณ์ของอัลลอฮ์ทั้งสิ้น ซึ่งดำรงอยู่ได้เพราะความการุณย์ของพระองค์ ด้วยเหตุนี้ เตาฮี้ดในมุมมองของอาริฟจึงลึกซึ้งและมั่นคงมากกว่าเตาฮี้ดในมุมมองนักปรัชญา อาริฟถือว่าอัลลอฮ์คือการมีอยู่ที่แท้จริง สรรพสิ่งอื่นๆเป็นเพียงผลพวงจากพระองค์เท่านั้น อาริฟเชื่อว่าการมีอยู่เป็นสภาวะอันเป็นเอกะ ที่ไม่อาจจะแบ่งเป็นพหุลักษณ์ได้ ไม่ว่าจะเชิงกว้างหรือแนวดิ่ง ส่วนพหุลักษณ์ที่เราเห็นในโลกนั้น เป็นเพียงภาพสะท้อน มิไช่การมีอยู่ที่แท้จริง สัมพันธภาพระหว่างอัลลอฮ์กับสรรพสิ่งที่พระองค์สร้างนั้นเปรียบเสมือนต้นไม้กับเงา หรือระหว่างคนกับภาพของเขาในกระจก
ในปริทรรศน์ของอิรฟาน มุวะฮ์ฮิดที่แท้จริงก็คือ มนุษย์ผู้สมบูรณ์ที่เป็นดั่งภาพลักษณ์ของพระนามและคุณลักษณะทั้งหมดของพระองค์บนหน้าแผ่นดิน รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้หาอ่านได้ในหนังสืออิรฟาน อาทิเช่น ตัมฮีดุลก่อวาอิด ของอิบนิ ตัรกะฮ์ อิศฟะฮานี, ฟุศูศุลฮิกัม ของอิบนิ อะเราะบี รวมทั้งหนังสือที่อรรถาธิบาย, มิศบาฮุ้ลอุนส์ ของอิบนิ ฟะนารี ฯลฯ

ส่วนในมุมมองของอิรฟานภาคปฏิบัติ มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่มีสองภาค ภาคจิตวิญญาณและภาคสัตว์ แต่ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อยู่ที่ภาคจิตวิญญาณเท่านั้น มนุษย์มีศักยภาพสูงพอที่จะบรรลุถึงความสมบูรณ์ ซึ่งต้องเริ่มจากระดับพื้นฐาน ไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงขีดสูงสุดของความสมบูรณ์ ทั้งนี้ก็เพราะภาคจิตวิญญาณแสวงหาโลกุตรธรรม(มะละอุ้ล อะอ์ลา) แต่ภาคสัตว์แสวงหาโลกย์ ฉะนั้น หากมนุษย์เลือกที่จะขัดเกลาจิตใจ และไต่ระดับสู่ความสมบูรณ์ด้วยการฝึกฝนด้วยคำสอนทางอิรฟาน เขาก็จะบรรลุเกียรติภูมิสูงสุด แต่หากเลือกที่จะบำเรอกิเลสและทุ่มเทให้กับภาคสัตว์ของตนเอง ก็จะประสบกับความอัปยศ[1] จึงสรุปได้ว่าจุดประสงค์หลักของวิชาอิรฟานภาคปฏิบัติคือการขัดเกลาและฝึกฝนจิตใจเพื่อฉีกม่านกิเลสที่บดบังใจ อิสลามจึงให้ความความสำคัญต่อการขัดเกลาจิตใจอย่างยิ่ง อิมามศอดิก(.)กล่าวว่าหากท่านมีอายุขัยเหลือเพียงสองวัน จงใช้หนึ่งวันแรกในการขัดเกลาจิตใจ เพื่อจะได้รับประโยชน์ในวันตายของท่าน[2] อันหมายความว่าการขัดเกล่าจิตใจคือหนทางสู่สัจธรรม
อย่างไรก็ดี การฝึกฝนจิตใจตามวิถีอิรฟานอิสลามแตกต่างจากสำนักอื่นๆ สำนักฮินดูและแนวทางของมานีเชื่อว่าการตัดสัมพันธ์และปลีกวิเวกคือหนทางบรรลุความผาสุก แต่อิรฟานของอิสลามถือว่าการปฏิบัติตามหลักชะรีอะฮ์คือวิธีเดียวสำหรับขัดเกลาจิตใจ นอกจากนี้ วิธีฝึกฝนจิตใจที่อิรฟานอิสลามนำเสนอก็ต่างจากแนวการฝึกฝนของนักบวชคริสเตียน เพราะนักบวชปลีกตัวเองจากสังคมและมุ่งฝึกฝนโดยครองโสดตามป่าเขาลำเนาไพร และหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่เหมาะสม ซึ่งกุรอานถือว่าวิธีเหล่านี้เป็นอุตริกรรมที่เกิดขึ้นในศาสนาคริสต์ แต่อิรฟานอิสลามถือว่าแนวการฝึกฝนที่ดีที่สุดคือการปฏิบัติตามสิ่งอนุมัติและงดเว้นสิ่งอันเป็นฮะรอมทางชะรีอะฮ์ และปฏิบัติตามแนวคำสอนของอะฮ์ลุลบัยต์อย่างเคร่งครัด[3] ดังที่บิดาแห่งอิรฟานอิสลาม อิมามอลี(.)ได้กล่าวว่าالشریعة ریاضة النفس”(ชะรีอัตจะช่วยฝึกฝนจิตใจ) [4] ซึ่งเป็นที่ยอมรับของเหล่าครูบาอาจารย์ด้านอิรฟานทุกคน อิบนิ ซีนา เชื่อว่าอิบาดะฮ์คือวิธีฝึกฝนจิตใจอิบาดะฮ์จะช่วยกำราบจิตใจให้อ่อนน้อม เพื่อจะไม่รบกวนเราและส่งเสริมเราขณะกำลังมีสมาธิต่ออัลลอฮ์[5]

และเนื่องจากอิรฟานอิสลามได้รับอิทธิพลจากกุรอานและฮะดีษจากอะฮ์ลุลบัยต์ จึงไม่จำแนกระหว่างชะรีอัต เฏาะรีกัต และฮะกีกัต ชะรีอัตก็คือประมวลบทบัญญัติศาสนาที่บรรดาผู้รู้นำเสนอจากกุรอานและฮะดีษ บรรดาอาริฟเชื่อว่ากฏชะรีอัตตั้งอยู่บนพื้นฐานของคุณประโยชน์ที่แท้จริง และหากปฏิบัติอย่างเคร่งครัดก็จะนำพามนุษย์สู่ความผาสุก ชะรีอัตจึงกลายเป็นเงื่อนไขหลักของอิรฟาน ดังที่อาริฟอย่างมุฮ์ยิดดีน อะเราะบี ถือว่าเงื่อนไขของกิจกรรมอิรฟานคือจะต้องไม่ขัดต่อบทบัญญัติชะรีอัต[6] ญุนัยด์ บัฆดาดี กล่าวว่าทุกแนวทางจะพบทางตันนอกจากแนวทางของท่านนบี(..)และบรรดาอิมาม(.) และแม้ว่าผู้ใดบรรลุขั้นฟะนาอ์แล้วก็ตาม เขายังมีหน้าที่ทางศาสนาเช่นเดิม[7] อัลลามะฮ์ ฏอบาฏอบาอี ผู้เป็นเอกอุแห่งอิรฟานกล่าวว่าข้อบังคับและข้อห้ามทางชะรีอัตถือเป็นหน้าที่ของ(อาริฟ)ทุกระดับขั้น และยิ่งมีสถานะใกล้ชิดพระองค์มากเท่าใด ภาระหน้าที่ทางศาสนาก็ยิ่งหนักขึ้น ไม่มีสถานะใดที่คนเราหลุดพ้นจากหน้าที่ทางศาสนา[8]

เฏาะรีกัตอันเป็นเนื้อในของชะรีอัตนั้น กล่าวถึงสภาวะต่างๆที่นักจาริกอิรฟานจะได้ประสบ ซึ่งสภาวะแห่งฟะนาอ์ฟิลฮักก์”(สลายอัตตาเพื่อประจักษ์เพียงพระองค์)ถือเป็นสภาวะสูงสุดในเฏาะรีกัต[9]
ผลก็คือนักจาริกอิรฟานจะได้เดินทางสู่ความสมบูรณ์ด้วยความรักอันบริสุทธิ์ที่มีต่อพระองค์และการสังวรณ์ว่าอยู่ในขอบเขตอำนาจของพระองค์ เขามุ่งหน้าสู่พระผู้อภิบาลด้วยพาหนะแห่งอิคล้าศ ความอ่อนน้อม ความสมถะ ความระอาต่อโลกียะ รักษาความสะอาดทางร่างกายและจิตใจ หมั่นตะฮัจญุด และเชื่อฟังวิลายะฮ์(ของอะฮ์ลุลบัยต์) อิรฟานอิสลามคือการรู้แจ้งเห็นจริงที่จะปลุกมนุษย์ให้ตื่นจากภวังค์แห่งโลกีย์ เพื่อก้าวสู่ความสว่างไสวและความไพบูลย์ อาริฟคือผู้ที่ไขว่คว้าความผาสุกในอาคิเราะฮ์ ขณะเดียวกันก็หาเลี้ยงชีพและช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก ดังที่ประมุขแห่งนักจาริกอิรฟาน อิมามอลี(.) ควบรวมศักยภาพและความดีงามทุกด้านไว้อย่างลงตัว ท่านโอดครวญวิงวอนต่ออัลลอฮ์ในยามค่ำคืน ดังที่ท่านนบี(..)กล่าวว่าเขา(อลี)หลงใหลในพระองค์อย่างดื่มด่ำในขณะเดียวกัน ท่านก็มิได้ปลีกตนเองจากผู้คนและกิจกรรมทางสังคม ท่านร้อนรุ่มใจทุกครั้งเมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กกำพร้า ท่านแบกอาหารแจกจ่ายผู้ยากไร้เป็นประจำ และเคร่งครัดในการใช้จ่ายเงินในคลังเป็นอย่างยิ่ง[10]

2) ดังที่ทราบแล้วว่าอิรฟานถือกำเนิดจากคำสอนของอะฮ์ลุลบัยต์ โดยมีคุณลักษณะเด่นที่ไม่สามารถพบได้ในสำนักจาริกอื่นๆ ซึ่งแม้กระทั่งในแวดวงมุสลิมเอง หากนักจาริกคนใดหันห่างจากคำสอนของอะฮ์ลุลบัยต์เท่าใด ก็จะห่างไกลจากอิรฟานที่แท้จริงของอิสลามเท่านั้น
คุณสมบัติต่อไปนี้ถือได้ว่าเป็นดัชนีชี้วัดที่สำคัญของอิรฟานอันได้มาจากคำสอนอิสลาม[11] ซึ่งนักจาริกอิรฟานจะต้องมีอย่างครบถ้วน (โดยหากต่างศาสนิกได้พิจารณาถึงดัชนีเหล่านี้ อาจปรารถนาจะรู้จักอิสลามมากยิ่งขึ้น)
2.1 เคารพบทบัญญัติชะรีอะฮ์(อธิบายไปแล้ว)
2.2 ยอมรับหลักญิฮาดและการต่อสู้
อิสลามเป็นศาสนาที่ให้ความสำคัญต่อทุกแง่มุมชีวิตมนุษย์ และประสงค์จะให้ทุกศักยภาพมีพัฒนาการที่สอดรับกัน ธรรมชาติดั้งเดิมของมนุษย์มีทั้งมิติแห่งการต่อสู้และมิติแห่งอิรฟาน หากผู้ใดเก่งกล้าในสมรภูมิเพียงอย่างเดียวหรือมุ่งแต่จะทำอิบาดะฮ์อย่างเดียว แสดงว่าจิตใจของเขาได้รับการดูแลอย่างไม่ทั่วถึง
อิมามอลี(.)กล่าวถึงคุณค่าของการญิฮาดว่าญิฮาดคือประตูสวรรค์บานหนึ่ง ซึ่งอัลลอฮ์จะทรงเปิดแก่เอาลิยาอ์ของพระองค์เท่านั้น... และผู้ใดที่เพิกเฉยละเลยการญิฮาด อัลลอฮ์จะทรงคลุมเขาด้วยอาภรณ์แห่งความอัปยศ... และเขาจะรู้สึกด้อยค่าปัญญาทึบ อีกทั้งจะไม่กล้าปกป้องสิทธิ์ของตนเองในสังคม และจะไม่ได้รับความเป็นธรรมใดๆ[12]

2.3 เสริมปัญญาและความรู้
การขวนขวายศึกษาและเพิ่มพูนปัญญา ถือเป็นดัชนีชี้วัดที่สำคัญอีกประการหนึ่งของอิรฟาน กุรอานกล่าวว่าผู้รู้กับผู้ไม่รู้จะเท่าเทียมกันหรือ?”[13]
ท่านนบี(..)กล่าวว่าผู้ที่มีความรู้มากกว่า ย่อมมีคุณค่าเหนือผู้อื่น[14]
2.4 ทำงานหาเลี้ยงชีพและหลีกเลี่ยงการปลีกตนเช่นนักบวช
ท่านนบี(..)กล่าวว่าในวันกิยามะฮ์ ผู้ที่หาเลี้ยงชีพตนเองจะผ่านสะพานศิรอฏเร็วปานสายฟ้า[15]
2.5 รักษาเกียรติภูมิของตน
กุรอานกล่าวว่าเกียรติภูมิเป็นกรรมสิทธิของอัลลอฮ์ และร่อซู้ล และผู้ศรัทธา[16]
2.6 ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก
บะลาซุรีและอะห์มัด บิน ฮัมบัลรายงานว่าท่านอลี(.)เคยมีผลิตผลทางเกษตรถึงสี่หมื่นดีน้าร แต่ท่านก็บริจาคจนหมด แล้วจึงขายดาบเพื่อซื้ออาหารประทังชีวิตท่านกล่าวว่าหากในบ้านยังมีอาหารเหลืออยู่ ฉันจะไม่ขายดาบอย่างแน่นอน[17]

3) ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่า กุรอานคือขุมพลังของอิรฟาน ท่านนบี(..)และบรรดาอิมาม(.)คือผู้อรรถาธิบายกุรอานและเป็นผู้บรรลุด้านอิรฟานอย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้ ครูบาอาจารย์ที่แท้จริงในเส้นทางสู่ความไพบูลย์แห่งอิรฟานก็คือท่านนบี(..)และบรรดาอิมาม(.)
จากการศึกษาชีวประวัติของอาริฟที่ต่อสู้กับสิ่งชั่วร้ายในสังคมเคียงข้างการบำเพ็ญกุศล ชี้ให้เห็นว่าอิรฟานอิสลามมีศักยภาพพอที่จะบ่มเพาะมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งสามารถนำเสนอความงดงามของอิรฟานสู่สายตาของผู้ประสงค์จะศึกษาอิสลามได้เป็นอย่างดี



[1] อิรฟานและตะศ็อววุฟ,มุฮัมมัดริฎอ กาชิฟี,หน้า 72 และ มารยาทการจาริกทางจิต,ฮะบีบุ้ลลอฮ์ ฏอฮิรี,หน้า 6

[2] ร็อวเฎาะตุ้ลกาฟี,หน้า 150 (ان اجلت فی عمرک یومین فاجعل، احدهما لأدبک تستعین به علی یوم موتک)

[3] มารยาทการจาริกทางจิต,ฮะบีบุ้ลลอฮ์ ฏอฮิรี,หมวดอุตริกรรมในศาสนาคริสต์ ซูเราะฮ์อัลฮะดีด,27

[4] มีซานุ้ลฮิกมะฮ์,เล่ม 4,หน้า 207

[5] อิชาร็อตวะตัมบีฮ้าต,นิมฏ์ที่ 9,บทที่ 3

[6] ร่อซาอิ้ล,อิบนิ อะเราะบี,หน้า 233

[7] อิรฟานภาคทฤษฎี,ยะฮ์ยา ยัษริบี,หน้า 373

[8] สาส์นวิลายัต,หน้า 46

[9] ความเร้นลับของเตาฮี้ดในมะกอมต่างๆ,เชคอบูสะอี้ด,หน้า 352

[10] อิมามอลี(.)คันฉ่องส่องอิรฟาน,นาซิมซอเดะฮ์ กุมี

[11] ดู: อิมามอลี(.)ภาพลักษณ์อิรฟานภาคทฤษฎี,หน้า 91-150

[12] นะฮ์ญุ้ลบะลาเฆาะฮ์,คุฏบะฮ์ที่ 27

[13] ซูเราะฮ์อัซซุมัร,9

[14] อะมาลี,เชคศ่อดู้ก,มัจลิสที่ 6,ฮะดีษที่ 4

[15] บิฮารุ้ลอันว้าร,เล่ม 103,หน้า 9

[16] ซูเราะฮ์อัลมุนาฟิกูน,8

[17] มะนากิ้บ อิบนิ ชะฮ์รอชูบ,เล่ม 2,หน้า 72

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • จงอธิบายเหตุผลที่บ่งบอกว่าดนตรีฮะรอม
    9868 สิทธิและกฎหมาย 2554/10/22
    ดนตรีและเครื่องเล่นดนตรีตามความหมายของ ฟิกฮฺ มีความแตกต่างกัน. คำว่า ฆินา หมายถึง การส่งเสียงร้องจากลำคอออกมาข้างนอก โดยมีการเล่นลูกคอไปตามจังหวะ, ซึ่งทำให้ผู้ฟังเกิดประเทืองอารมณ์และมีความสุข ซึ่งมีความเหมาะสมกับงานประชุมที่ไร้สาระ หรืองานประชุมที่คร่าเวลาให้หมดไปโดยเปล่าประโยชน์ส่วนเสียงดนตรี หมายถึงเสียงที่เกิดจากการเล่นเครื่องตรี หรือการดีดสีตีเป่าต่างๆเมื่อพิจารณาอัลกุรอานบางโองการและรายงานฮะดีซ ประกอบกับคำพูดของนักจิตวิทยาบางคน, กล่าวว่าการที่บางคนนิยมกระทำความผิดอนาจาร, หลงลืมการรำลึกถึงอัลลอฮฺ, ล้วนเป็นผลในทางไม่ดีที่เกิดจากเสียงดนตรีและการขับร้อง ซึ่งเสียงเหล่านี้จะครอบงำประสาทของมนุษย์ ประกอบกับพวกทุนนิยมได้ใช้เสียงดนตรีไปในทางไม่ดี ดังนั้น สิ่งเหล่านี้อาจเป็นเหตุผลหนึ่งในเชิงปรัชญาที่ทำให้เสียงดนตรีฮะรอมเหตุผลหลักที่ชี้ว่าดนตรีฮะรอม (หรือเสียงดนตรีบางอย่างฮะลาล) คือโองการอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซจากท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ...
  • การจ่ายคุมซ์เป็นทรัพย์สินเพียงครั้งเดียว แล้วต่อไปไม่วาญิบต้องจ่ายคุมซ์อีกใช่หรือไม่?
    5775 สิทธิและกฎหมาย 2554/06/22
    ดั่งเป็นที่ทราบกันดีว่าคุมซ์คือหนึ่งในการบริจาคทรัพย์อันเป็นวาญิบสำคัญในอิสลามเป็นหนึ่งในหลักการอิสลามและเป็นอิบาดะฮฺด้วยด้วยสาเหตุนี้เองจำเป็นต้องเนียต (ตั้งเจตคติ) เพื่อแสวงความใกล้ชิดต่ออัลลอฮฺ (ซบ.)ทรัพย์สินและเงินทุนต่างๆที่ต้องจ่ายคุมซ์ถ้าหากจ่ายคุมซ์ไปแล้วเพียงครั้งเดียวไม่วาญิบต้องจ่ายคุมซ์อีกแม้ว่ากาลเวลาจะผ่านพ้นไปนานหลายปีก็ตามแต่ถ้าเป็นทรัพย์ที่เติบโตหรือมีราคาสูงขึ้นกว่าเดิมทุนเดิมไม่ต้องจ่ายคุมซ์แต่ส่วนที่เป็นผลกำไรงอกเงยอออกมาวาญิบต้องจ่ายคุมซ์[1][1]  เตาฏีฮุลมะซาอิลมะริญิอฺ
  • จะเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างศาสนาและวิทยาศาสตร์ได้อย่างไร?
    9341 ปรัชญาของศาสนา 2554/07/16
    ผู้ที่คิดว่าศาสนาและวิทยาศาสตร์ไม่อาจจะปรับเข้าหากันได้แสดงว่าไม่เข้าใจธรรมชาติของศาสนาเทวนิยมโดยเฉพาะศาสนาอิสลามอีกทั้งไม่เข้าใจว่าพื้นที่คำสอนของศาสนาและพื้นที่ความรู้ของวิทยาศาสตร์ก็แยกออกเป็นเอกเทศ เมื่อพื้นที่ต่างกันก็ย่อมไม่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นคำสอนของศาสนามีอิทธิพลต่อมนุษย์ในสามพื้นที่ด้วยกันนั่นคือความสัมพันธ์กับตนเองความสัมพันธ์กับผู้อื่น(สังคมและสิ่งแวดล้อม) และความสัมพันธ์กับพระเจ้า และในฐานะที่อิสลามถือเป็นศาสนาที่ครบถ้วนสมบูรณ์มากที่สุดได้สนองตอบความต้องการของมนุษย์ทุกยุคสมัยด้วยกระบวนการที่เรียกว่า “อิจญ์ติฮาด”ซึ่งได้รับการวางรากฐานโดยวงศ์วานศาสดามุฮัมมัดส่วนเทคโนโลยีนั้นมีอิทธิพลเพียงในพื้นที่แห่งประสาทสัมผัสและมีไว้เพื่อค้นพบศักยภาพของโลกและจักรวาลที่ซ่อนอยู่ตลอดจนเพื่อประดิษฐ์เครื่องมือในการใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่าจากเนียะอฺมัตของอัลลอฮ์เท่านั้น จึงกล่าวได้ว่านวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ช่วยแผ่ขยายพื้นที่ในการตรากฏเกณฑ์ศาสนาให้กว้างยิ่งขึ้นเพราะในทัศนะอิสลามแล้วสามารถจะวินิจฉัยปัญหาใหม่ๆได้โดยใช้กระบวนการอิจญ์ติฮาดและอ้างอิงขุมความรู้ทางฟิกเกาะฮ์. ...
  • อิสลามมีกฏเกณฑ์อย่างไรเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มสาว?
    22354 สิทธิและกฎหมาย 2554/08/09
    อิสลามถือว่าอัลลอฮ์ทรงสร้างชายและหญิงให้มีบทบาทเกื้อกูลกันและกันหนึ่งในปัจจัยที่ทั้งสองเพศต้องพึ่งพากันและกันก็คือความต้องการทางเพศทว่าการบำบัดความต้องการดังกล่าวจะต้องอยู่ในเขตคำสอนของอิสลามเท่านั้นจึงจะสามารถรักษาศีลธรรมจรรยาของทั้งสองฝ่ายได้อิสลามถือว่าความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มสาวก่อนแต่งงานไม่ว่าโดยตรงหรือผ่านสื่อหากเป็นไปด้วยความไคร่หรือเกรงว่าจะเกิดความไคร่ถือว่าไม่อนุมัติแต่สำหรับความสัมพันธ์ในการทำงานวิชาการและการศึกษาถือเป็นที่อนุมัติเฉพาะในกรณีที่ไม่โน้มนำไปสู่ความเสื่อมเสีย ...
  • ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์กฎการขวางด้วยหิน (ขวางให้ตาย) คืออะไร? การถือปฏิบัติกฎระเบียบดังกล่าว ตามหลักการอิสลามในยุคสมัยนี้ ไม่สร้างความเสื่อมเสียแก่อิสลามหรือ?
    9186 สิทธิและกฎหมาย 2555/08/22
    การลงโทษ โดยการขว้างด้วยก้อนหิน หรือเรียกว่า “รัจม์” เป็นที่ยอมรับในหมู่ประชาชาติ หมู่ชน และศาสนาต่างๆ ก่อนหน้าอิสลาม ซึ่งในอิสลามถือว่า การลงโทษดังกล่าวเป็นข้อกำหนดประเภทหนึ่งตามหลักชัรอียฺ แน่นอนและตายตัว ซึ่งจะใช้ลงโทษสำหรับการกระทำผิดที่หนักมาก ซึ่งมีรายงานจำนวนมากจากท่านศาสดา (ซ็อลฯ) กล่าวถึงประเด็นดังกล่าวไว้ เป้าหมายของอิสลามจากการลงโทษดังกล่าวคือ การปรับปรุงแก้ไขสังคม, อันเกิดจากความผิดปรกติด้านการก่ออาชญากรรม, เป็นการชำระผู้กระทำผิดอีกทั้งเป็นการลบล้างความผิดบาป ที่เกิดจากผลของความผิดนั้น, ดำเนินความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม,ป้องกันความหันเห ความหลงผิดต่างๆ อันเกิดจากการทำลายความบริสุทธิ์ของสังคม กลับคืนสู่สังคมอีกครั้ง ตามทัศนะของอิสลามการลงโทษ การทำชู้ (หญิงที่มีสามี หรือชายที่มีภรรยา) จะถูกลงโทษด้วยเงื่อนไขอันเฉพาะด้วยการขว้างด้วยก้อนหินจนกระทั่งเสียชีวิต ถ้าหากการดำเนินกฎเกณฑ์ดังกล่าว หรือกฎเกณฑ์ข้ออื่นๆ นำไปสู่การดูถูกเหยียดหยามอิสลามแล้วละก็ วะลียุลฟะกีฮฺ หรือฮากิมชัรอียฺ สามารถเปลี่ยนแปลงวิธีการลงโทษได้ตามความเหมาะสม และต้องสอดคล้องกับกฎหมายอิสลาม ...
  • เป็นไปได้หรือไม่ที่จะรู้จักบุคคลสำคัญในสวรรค์และนรก?
    6849 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/03/07
    มีหลายโองการในกุรอานที่กล่าวถึงบทสนทนาระหว่างชาวสวรรค์และชาวนรก ซึ่งทำให้พอจะทราบคร่าวๆได้ว่าชาวสวรรค์สามารถที่จะรับรู้สภาพและชะตากรรมของบุคคลต่างๆในนรกได้ นอกจากนี้ เหล่าบุรุษชาวอะอ์ร้อฟรู้จักสีหน้าของชาวสวรรค์และชาวนรกเป็นอย่างดี มีฮะดีษมากมายที่ระบุว่าเหล่าบุรุษแห่งอะอ์ร้อฟนั้น ตามนัยยะเชิงแคบก็คือบรรดาอิมามมะอ์ศูม(อ.) ส่วนนัยยะเชิงกว้างก็หมายถึงบรรดามนุษย์ที่ได้รับการเลือกสรร ซึ่งจะอยู่ในลำดับถัดจากบรรดาอิมาม โดยบุคคลเหล่านี้อยู่เหนือชาวสวรรค์และชาวนรกทั้งมวล เราขอนำเสนอความหมายของโองการเหล่านี้ดังต่อไปนี้ 1. โองการที่ 50-57 ซูเราะฮ์ อัศศ้อฟฟ้าต “ในสรวงสวรรค์ ผู้คนต่างหันหน้าเข้าหากันแล้วถามไถ่กันและกัน โดยหนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นว่า แท้จริงฉันมีสหายคนหนึ่งที่ถามฉันว่า เธอเชื่อได้อย่างไรที่ว่าหลังจากที่เราตายและกลายเป็นธุลีดินแล้ว จะถูกนำไปพิพากษา (ชาวสวรรค์กล่าวว่า) ท่านรับรู้สภาพปัจจุบันของเขาหรือไม่? เมื่อนั้นก็ได้ทราบว่าเขาอยู่ ณ ใจกลางไฟนรก (ชาวสวรรค์)กล่าวแก่เขาว่า ขอสาบานต่อพระองค์ เจ้าเกือบจะทำให้ฉันหลงทางแล้ว หากปราศจากซึ่งพระเมตตาของพระองค์ ฉันคงจะอยู่(ในไฟนรก)เช่นกัน”[1] 2. โองการที่ 50-57 ซูเราะฮ์ มุดดัษษิร “ทุกคนย่อมค้ำประกันความประพฤติของตนเอง นอกจากสหายแห่งทิศขวาซึ่งจะถามไถ่กันในสรวงสวรรค์ ...
  • มีฮะดีษจากอิมามศอดิก(อ.)ระบุว่า “การก่อสงครามกับรัฐทุกครั้งที่เกิดขึ้นก่อนการปรากฏกายของอิมามมะฮ์ดี จะเป็นเหตุให้บรรดาอิมามและชีอะฮ์ต้องเดือดร้อนและเศร้าใจ” เราจะชี้แจงการปฏิวัติอิสลามในอิหร่านอย่างไร?
    7781 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/01/19
    ต้องเรียนชี้แจงดังต่อไปนี้:หนึ่ง: เป็นไปได้ว่าฮะดีษประเภทนี้อาจจะเกิดจากการตะกียะฮ์หรือเกิดจากสถานการณ์ล่อแหลมในยุคที่การจับดาบขึ้นสู้มิได้มีผลดีใดๆอนึ่งยังมีฮะดีษหลายบทที่อิมามให้การสนับสนุนการต่อสู้บางกรณีสอง: ฮะดีษที่คุณยกมานั้นกล่าวถึงกรณีการปฏิวัติโค่นอำนาจด้วยการนองเลือดแต่ไม่ได้ห้ามมิให้เคลื่อนไหวปรับปรุงสังคมเพราะหากศึกษาประวัติศาสตร์ก็จะพบว่าบรรดาอิมามเองก็ปฏิบัติตามแนววิธีดังกล่าวเช่นกันหากพิจารณาถึงแนววิธีในการปฏิวัติอิสลามในอิหร่านกอปรกับแนวคิดของผู้นำการปฏิวัติก็จะทราบทันทีว่าการปฏิวัติดังกล่าวมิไช่การปฏิวัติด้วยการนองเลือดและผู้นำปฏิวัติก็ไม่สนับสนุนแนวคิดดังกล่าว สรุปได้ว่าการปฏิวัติอิสลามมิได้ขัดต่อเนื้อหาของฮะดีษประเภทดังกล่าวแต่อย่างใด ...
  • จริงหรือไม่ที่บางคนเชื่อว่าพระเจ้าเป็นเพียงแค่พลังงานเท่านั้น?
    6724 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/08/23
    อัลลอฮ์ทรงดำรงอยู่โดยไม่พึ่งพาสิ่งใดทรงปรีชาญาณทรงมีเจตน์จำนงและปราศจากข้อจำกัดและความบกพร่องทุกประการแต่พลังงานยังมีข้อบกพร่องและข้อจำกัดมากมายอีกทั้งยังปราศจากความรู้และการตัดสินใจเมื่อเทียบคุณสมบัติของพลังงานกับคุณลักษณะของพระเจ้าก็จะทราบว่าพระเจ้ามิไช่พลังงานอย่างแน่นอนเนื่องจาก: พลังงานคือสิ่งที่ขับเคลื่อนให้เกิดกริยาและปฏิกริยาต่างๆโดยพลังงานมีลักษณะที่หลากหลายไม่ตายตัวและสามารถผันแปรได้หลายรูปแบบพลังงานมีคุณสมบัติเด่นดังนี้1. พลังงานมีสถานะตามวัตถุที่บรรจุ2. พลังงานมีแหล่งกำเนิด3. พลังงานมีข้อจำกัดบางประการ4. พลังงานเปลี่ยนรูปได้แต่อัลลอฮ์มิได้ถูกกำกับไว้โดยวัตถุใดๆ
  • มะลาอิกะฮ์และญินรุดมาช่วยอิมามฮุเซน(อ.)จริงหรือไม่ และเหตุใดท่านจึงปฏิเสธ?
    8498 تاريخ بزرگان 2554/12/03
    คำถามนี้ไม่มีคำตอบแบบสั้น ปรดเลือกปุ่มคำตอบที่สมบูรณ์ ...
  • อนุญาตให้แขวนภาพเขียนมนุษย์และสัตว์ภายในมัสญิดหรือไม่?
    7927 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/03
    ก่อนที่จะตอบ เราขอเกริ่นนำเบื้องต้นดังนี้1. บรรดาอุละมาอ์ให้ทัศนะไว้ว่า สถานที่แห่งหนึ่งที่ถือเป็นมักรู้ฮ์(ไม่บังควร)สำหรับนมาซก็คือ สถานที่ๆมีรูปภาพหรือรูปปั้นสิ่งที่มีชีวิต เว้นแต่จะขึงผ้าปิดรูปเสียก่อน ฉะนั้น การนมาซในสถานที่ๆมีรูปภาพคนหรือสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นมัสญิดหรือสถานที่อื่น ไม่ว่ารูปภาพจะแขวนอยู่ต่อหน้าผู้นมาซหรือไม่ก็ตาม[1] ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60389 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57946 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42483 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39769 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39139 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34246 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28287 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28216 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28155 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26094 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...