การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
6093
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/11/09
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1387 รหัสสำเนา 18281
คำถามอย่างย่อ
อะฮ์ลิสซุนนะฮ์จะต้องเชื่อเช่นไรจึงจะถือว่าเป็นชีอะฮ์แล้ว?
คำถาม
พี่น้องอะฮ์ลิสซุนนะฮ์จะต้องปรับตัวและยอมรับความเชื่ออย่างไรจึงจะถือว่าเป็นชีอะฮ์แล้ว?
คำตอบโดยสังเขป
ชีอะฮ์และซุนหนี่มีความเชื่อและหลักปฏิบัติที่คล้ายคลึงกันมากมาย อาจมีบางประเด็นที่เห็นต่างกัน ข้อแตกต่างสำคัญระหว่างชีอะฮ์กับซุนหนี่ก็คือประเด็นปัญหาเกี่ยวกับหลักอิมามัตและภาวะผู้นำของบรรดาอะฮ์ลุลบัยต์ของนบี(..) พี่น้องซุนหนี่จะรับสายธารชีอะฮ์ได้ก็ต่อเมื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติต่อประเด็นอิมามัตเสียก่อน ทั้งนี้ก็เนื่องจากชีอะฮ์เชื่อว่าหากไม่นับรวมสถานภาพการรับวะฮีย์แล้ว บรรดาอิมามมะอ์ศูมก็จะมีสถานะใกล้เคียงท่านนบี(..) ชีอะฮ์เชื่อว่าบุคคลเหล่านี้ได้รับการแต่งตั้งจากอัลลอฮ์ และเป็นศูนย์กลางทางศาสนา(พิทักษ์และเผยแผ่ศาสนาและอรรถาธิบายอัลกุรอาน) อีกทั้งยังมีอำนาจต่อปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เป็นนักปกครองและแกนกลางของสังคม มีความชอบธรรมในการพิพากษา และมีความรอบรู้เหนือผู้ใด ชีอะฮ์เชื่อว่าจะต้องปฏิบัติตามบุคคลเหล่านี้เท่านั้น แต่เป็นที่น่าเสียดายว่ามัซฮับอื่นๆกลับไม่ได้เชื่อเช่นนี้ เพียงแต่ยอมรับว่าจะต้องรักอิมามมะอ์ศูม และยกย่องในสถานะนักรายงานฮะดีษที่เชื่อถือได้เท่านั้น
แท้ที่จริงแล้ว ฮะดีษของซุนหนี่นอกจากจะพิสูจน์ได้ถึงความรักต่ออะฮ์ลุลบัยต์ ยังสามารถพิสูจน์ถึงความจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติตามอะฮ์ลุลบัยต์(.)โดยดุษณี
ประเด็นหลักที่เป็นเส้นแบ่งระหว่างชีอะฮ์และซุนหนี่ก็คือประเด็นดังกล่าว และช่องว่างระหว่างชีอะฮ์และซุนหนี่ก็คือประเด็นอิมามัตนั่นเอง
คำตอบเชิงรายละเอียด

ข้อแตกต่างสำคัญระหว่างชีอะฮ์กับมัซฮับอื่นๆก็คือประเด็นปัญหาเกี่ยวกับหลักอิมามัตและภาวะผู้นำของบรรดาอะฮ์ลุลบัยต์ของนบี(..) ต่อไปนี้เป็นความเชื่อโดยสังเขปของชีอะฮ์เกี่ยวกับประเด็นอิมามัต
1. ชีอะฮ์เชื่อว่า อิมาม(.)สิบสองท่านที่ได้รับการระบุนามในฮะดีษนบี(..)[1] ปราศจากความผิดพลาด การหลงลืม ตลอดจนบาปกรรมทั้งมวล

2.  ชีอะฮ์เชื่อว่า อิมามมะอ์ศูม(.) หากไม่นับสถานะการรับวะฮีย์แล้ว  มีสถานะเทียบเคียงท่านนบี(..)

3. ชีอะฮ์เชื่อว่า อิมามมะอ์ศูม(.) มีอำนาจตักวีนี และมีอิทธิพลต่อปรากฏการณ์ธรรมชาติ

4 . ชีอะฮ์เชื่อว่า อิมามมะอ์ศูม(.) เป็นนักปกครองทางการเมื่องและเป็นแกนกลางของสังคม

5. ชีอะฮ์เชื่อว่า อิมามมะอ์ศูม(.) มีความชอบธรรมในการพิพากษา และวาญิบจะต้องปฏิบัติตามบุคคลเหล่านี้

6. ชีอะฮ์เชื่อว่า อิมามมะอ์ศูม(.) มีความรู้มากที่สุด
แต่เป็นที่น่าเสียดายว่ามัซฮับอื่นๆมิได้เชื่อเช่นนี้ เพียงแต่ยอมรับว่าจะต้องรักอิมามมะอ์ศูม และเชื่อถือเพียงในสถานะนักรายงานฮะดีษที่เชื่อถือได้เท่านั้น

คุณสมบัติสำคัญข้อหนึ่งของชีอะฮ์ก็คือ จะต้องเชื่อฟังท่านอิมามอลี(.)และอะฮ์ลุลบัยต์(.)โดยดุษณี หลักการนี้สำคัญเป็นอย่างยิ่ง มีฮะดีษจากสายพี่น้องอะฮ์ลิสซุนนะฮ์มากมายระบุว่า อัลลอฮ์จะทรงยอมรับอะมั้ลอิบาดะฮ์ของมวลมนุษย์ต่อเมื่อพวกเขายอมรับภาวะผู้นำของท่านอิมามอลี(.)เท่านั้น[2]

8. ชีอะฮ์เชื่อว่าอิมามัตคือกิจของอัลลอฮ์ และบรรดาอิมามมะอ์ศูม(.)ทุกท่านล้วนได้รับการแต่งตั้งจากอัลลอฮ์(ผ่านท่านนบี)ทั้งสิ้น
ท่านนบี(..) กล่าวว่า "การมองใบหน้าอลี(.) และการระลึกถึงอลี(.)ถือเป็นอิบาดะฮ์  อีหม่านของบุคคลจะไม่ได้รับการยอมรับเว้นแต่จะสานมิตรภาพกับเขาและหลีกห่างศัตรูของเขา"[3]

นอกจากนี้ อุละมาอ์ฝ่ายซุนหนี่ยังรายงานอีกว่า
"
ท่านนบี(..)กล่าวว่า โอ้ อลี หากผู้ใดบำเพ็ญอิบาดัตยาวนานเท่าอายุขัยของนบีนู้ฮ์ และบริจาคทองเท่าภูเขาอุฮุด และมีอายุยืนยาวกระทั่งเดินเท้าไปทำฮัจย์ถึงพันครั้ง และถูกสังหารระหว่างเขาศ่อฟาและมัรวะฮ์ แต่ทว่าไม่ยอมรับวิลายะฮ์ของเธอ โอ้ อลี เขาจะไม่ได้สูดแม้กลิ่นอายและไม่มีวันได้เชยชมสวรรค์เป็นอันขาด"[4] นัยยะของฮะดีษบทนี้ก็คือ การยอมรับวิลายะฮ์ของอิมามอลี และการหลีกห่างศัตรูของท่าน นั้น ถือเป็นเงื่อนไขของการยอมรับ"อีหม่าน" (ซึ่งย่อมมาก่อนอะมั้ลอิบาดะฮ์)

หากต้องการทราบว่าวิลายะฮ์หมายถึงอะไร จำเป็นต้องพิจารณาคำๆนี้ในสำนวนโองการกุรอานที่กล่าวถึงท่านอิมามอลี(.) กุรอานกล่าวว่า "ผู้ปกครองเหนือสูเจ้ามีเพียงอัลลอฮ์ และเราะซู้ลของพระองค์ และบรรดาผู้ศรัทธาที่ดำรงนมาซ และบริจาคทานขณะโค้งรุกูอ์"[5]
เป็นที่แน่ชัดว่าคำว่า "วะลีย์"ในโองการนี้มิได้แปลว่าเพื่อนหรือผู้ช่วยเหลือ ทั้งนี้ก็เพราะวิลายะฮ์ที่แปลว่ามิตรภาพและการช่วยเหลือนั้น หาได้จำกัดเฉพาะผู้ที่ดำรงนมาซโดยบริจาคทานขณะโค้งรุกูอ์ไม่ มิตรภาพระหว่างมุสลิมต้องมีอยู่ และมุสลิมทุกคน ไม่ว่าอยู่ในสถานะที่ต้องบริจาคทานหรือไม่ ก็ควรสานมิตรภาพซึ่งกันและกันอยู่แล้ว ไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องเฉพาะเจาะจงผู้ที่บริจาคทานขณะโค้งรุกูอ์แต่อย่างใด

เพราะฉะนั้น "วะลีย์"ในบริบทของโองการดังกล่าวจึงหมายถึงการปกครอง การถือครอง และภาวะผู้นำทั้งทางกายและจิตใจเท่านั้น สังเกตุได้จากการที่วิลายะฮ์ดังกล่าวเชื่อมต่อเข้ากับวิลายะฮ์ของท่านนบี(..)ตลอดจนวิลายะฮ์ของอัลลอฮ์อย่างต่อเนื่องในประโยคเดียวกัน

ตำรับตำราฝ่ายซุนหนี่หลายเล่มบันทึกฮะดีษที่ระบุชัดเจนว่า โองการดังกล่าวมีเนื้อหาเกี่ยวกับท่านอิมามอลี(.) โดยฮะดีษบางบทสาธยายถึงรายละเอียดที่ว่าท่านบริจาคแหวน แต่บางบทก็มิได้ให้รายละเอียดใดๆ แต่กล่าวเพียงว่าโองการนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับท่านอิมามอลี(.)[6]

หากผู้ใดมีทัศนคติต่อประเด็นอิมามัตเสมือนชีอะฮ์ แน่นอนว่าวิถีชีวิตของเขาจะพลิกผันไปจากเดิม เขาจะไม่สอบถามปัญหาศาสนาจากคนทั่วไป จะไม่ยอมอยู่ใต้อาณัติของตาสีตาสา แต่จะเชื่อฟังและภักดีต่ออิมามมะอ์ศูมีน(.)เท่านั้น

อย่างไรก็ดี แม้ผู้ดำเนินตามมัซฮับอื่นๆจะรักและให้เกียรติท่านอิมามอลี(.)และวงศ์วาน(อิมามมะอ์ศูม)เพียงใด แต่ทว่าวิลายะฮ์ตามความหมายที่สมบูรณ์อันตรงตามนัยยะของกุรอานและวจนะท่านนบี(..) มีการถือปฏิบัติในสายธารชีอะฮ์สิบสองอิมามเท่านั้น ทั้งนี้ มุสลิมทุกคนมีหน้าที่จะต้องเลือกเฟ้นแนวทางที่ใกล้เคียงวิถีของกุรอานและท่านนบี(..)มากที่สุด ฉะนั้น หากพี่น้องซุนหนี่เลื่อมใสในหลักการดังกล่าว ซึ่งก็คือการน้อมรับคำสอนของกุรอานและฮะดีษที่รณรงค์ให้ยอมรับวิลายะฮ์ทุกด้านของบรรดาอิมาม ไม่ว่าในแง่วิชาการก็ดี การเมืองก็ดี หรือทางศาสนาก็ตาม หากเป็นเช่นนี้ได้ ช่องว่างระหว่างอุมมัตอิสลามก็จะได้รับการเติมเต็ม

หากพิจารณาในหน้าประวัติศาสตร์จะพบว่ามุสลิมบางกลุ่มยึดแนว ก็อดรี บางกลุ่มยึดแนวตัฟวีฎี[7] การแบ่งก๊กแบ่งเหล่าเช่นนี้เกิดจากการหันห่างจากแนวทางของบรรดาอิมามทั้งสิ้น หาไม่แล้วความเชื่อผิดๆเหล่านี้ย่อมไม่เกิดขึ้นในหมู่มุสลิม อันจะส่งผลให้เกิดความเบี่ยงเบนเช่นนี้เป็นแน่

ฉะนั้น หากพี่น้องซุนหนี่เห็นพ้องกับความเชื่อของชีอะฮ์ในประเด็นอิมามัตและนำสู่ภาคปฏิบัติ ก็จะถือว่ารับสายธารชีอะฮ์แล้ว และแน่นอนว่าพวกเขาจะต้องเรียนรู้ว่าอะฮ์ลุลบัยต์(.)มีคำสอนสำหรับการดำเนินชีวิตอย่างไรบ้าง และจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรในแง่ชะรีอัต.

หากต้องการศึกษาเพิ่มเติม กรุณาอ่านหนังสือ "ชีอะฮ์" (การเสวนาระหว่างศาสตราจารย์ อองรี กอร์บิง กับ อัลลามะฮ์ มุฮัมมัด ฮุเซน เฏาะบาเฏาะบาอี) และคำถามหมายเลข 1000



[1] บิฮารุลอันว้าร, เล่ม 36,หน้า 362

[2] มะนากิ๊บ คอรัซมี,หน้า 19, 252

[3] อ้างแล้ว, หน้า 19, 212 และ กิฟายะตุฏฏอลิบ, กันญี ชาฟิอี,หน้า 214, «... النظر الی وجه امیرالمؤمنین علی بن ابیطالب عبادة و ذکره عبادة ولایقبل الله ایمان عبد الا بولایته والبرائة من اعدائ

[4] " ثم لم یوالیک یا علی لم یشم رائحة الجنة ولم یدخلها"مناقب، خطیب خوارزمی ค่อฏี้บ คอรัซมี, มักตะลุ้ลฮุเซน(.), เล่ม 1, หน้า 37 

[5] ซูเราะฮ์มาอิดะฮ์, 55  انَّما وَلِیُّکُمُ اللَّهُ وَ رَسُولُهُ وَ الَّذِینَ آمَنُوا الَّذِینَ یُقِیمُونَ الصَّلاةَ وَ یُؤْتُونَ الزَّکاةَ وَ هُمْ راکِعُونَ

[6] ตัฟซี้ร เนมูเนะฮ์, เล่ม 4, หน้า 424,425

[7] ในยุคแรกเริ่มของอิสลาม อะฮ์ลิสซุนนะฮ์มีสองทัศนะหลักเกี่ยวกับการกระทำของมนุษย์ กลุ่มหนึ่งเชื่อว่าในเมื่อการกระทำของมนุษย์ขึ้นอยู่กับพระประสงค์ของอัลลอฮ์เสมอ จึงถือว่าการกระทำของมนุษย์ถูกกำหนดไว้แล้ว การตัดสินใจของมนุษย์จึงไม่มีคุณค่าใดๆ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งถือว่ามนุษย์มีอิสระที่จะเลือกกระทำ โดยไม่ติดพันอยู่กับพระประสงค์ของพระเจ้า จึงหลุดจากบ่วงก่อดัรของพระองค์
แต่ในคำสอนของอะฮ์ลุลบัยต์นบี(..)อันสอดคล้องกับตัวบทกุรอานนั้น มนุษย์มีเสรีภาพที่จะเลือกกระทำ ทว่าไม่มีอิสรภาพโดยสมบูรณ์ ทั้งนี้เพราะอัลลอฮ์จุติการกระทำของมนุษย์ให้เกิดขึ้นพร้อมกับเสรีภาพในการเลือกกระทำ กล่าวคือ อัลลอฮ์ได้บันดาลการกระทำของมนุษย์ขึ้นมาโดยกำหนดให้มีองค์ประกอบหลายประการ ซึ่งเสรีภาพของมนุษย์ในการเลือกกระทำก็คือหนึ่งในองค์ประกอบดังกล่าว ทำให้การกระทำนั้นๆจุติขึ้นตามพระประสงค์ของพระองค์ ขณะเดียวกัน มนุษย์ก็มีเสรีภาพในการเลือกด้วย
สรุปคือ การกระทำที่เกิดขึ้น ถือว่าจะ"ต้อง"เกิดขึ้นเนื่องจากครบองค์ประกอบแล้ว แต่หากมองจากมุมของมนุษย์ผู้กระทำ(ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์ประกอบ) ก็จะมองได้ว่าเป็นการกระทำตามใจปรารถนาของมนุษย์
มุฮัมมัด ฮุเซน เฏาะบาเฏาะบาอี, ชีอะฮ์ในอิสลาม, หน้า 79
หนังสือที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้
. มนุษยศึกษา, มะฮ์มู้ด เราะญะบี, บทที่ 5,6, สถาบันศึกษาและวิจัย อิมามโคมัยนี (.)
. บทเรียนปรัชญา, .มิศบาฮ์ ยัซดี, เล่ม 2, บทเรียนที่ 69, องค์กรเผยแพร่อิสลาม
. ความเที่ยงธรรมของพระเจ้า, .ชะฮีด มุรตะฎอ มุเฏาะฮะรี, สำนักพิมพ์อิสลามี

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

คำถามสุ่ม

  • จริงหรือไม่ที่ทุกคนมีญินเป็นคู่กำเนิด?
    13734 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/01/15
    มีฮะดีษหลายบทที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับคู่กำเนิดบางบทระบุว่าอัลลอฮ์ทรงมีดำรัสแก่อิบลีสว่า “ข้าจะไม่ประทานบุตรแก่มนุษย์คนใดเว้นแต่จะประทานบุตรแก่เจ้าเช่นกัน” ฉะนั้นมนุษย์แต่ละคนย่อมมีคู่กำเนิดเป็นญิน[1]ท่านนบี(ซ.ล.)เคยกล่าวว่า “พูดได้ว่าทุกคนต่างก็มีคู่กำเนิดเป็นญินด้วยกันทั้งสิ้น” สาวกถามว่าโอ้ศาสนทูตของพระองค์ท่านเองก็มีญินคู่กำเนิดด้วยหรือ? ท่านตอบว่า “มีสิแต่พระองค์ทรงทำให้เขายอมสยบต่อฉันโดยที่เขาไม่ทำอะไรนอกจากกำชับให้ทำความดี”[2]จากฮะดีษข้างต้นท่านนบี(ซ.ล.)ต้องการจะกำชับให้เราป้องกันและระวังภัยจากญินคู่กำเนิดที่จะล่อลวงเนื่องจากอยู่ใกล้ชิดเราดังนั้นเมื่อคำนึงถึงการที่อัลลอฮ์ทรงแต่งตั้งศาสดาเพื่อชี้นำมนุษยชาติและอีกด้านหนึ่งก็เป็นที่ทราบกันดีว่าชัยฏอนและพงศ์พันธุ์ของมันจ้องจะหลอกลวงให้มนุษย์หลงทางตลอดเวลาแน่นอนว่าบุคคลที่หลงลืมอัลลอฮ์เท่านั้นที่ชัยฏอนจะสามารถกุมบังเหียนได้ดังที่พระองค์ทรงตรัสในกุรอานว่า “และผู้ใดที่เพิกเฉยต่อการรำลึกถึงเราเราจะส่งชัยฏอนยังเขาเพื่อให้เป็นคู่สหาย”[3][1]มัจลิซี,มุฮัมมัดบากิร
  • ปัจจุบันสวรรค์และนรกมีอยู่หรือไม่ ?
    8359 เทววิทยาดั้งเดิม 2553/12/22
    พิจารณาจากโองการและรายงานต่างๆแล้วจะเห็นว่าสวรรค์และนรกที่ถูกสัญญาไว้มีอยู่แล้วในปัจจุบันซึ่งในปรโลกจะได้รับการเสนอขึ้นมาซึ่งมนุษย์ทุกคนจะถูกจัดส่งไปยังสถานที่อันเหมาะสมของแต่ละคนตามความเชื่อความประพฤติ
  • สายรายงานของฮะดีษที่ท่านอิมามอลี(อ.)กล่าวแก่ชาวอรับเกี่ยวกับชาวเปอร์เซียว่า“พวกท่าน(อรับ)รบกับพวกเขา(เปอร์เซีย)เพื่อให้ยอมรับการประทานกุรอาน แต่ก่อนโลกนี้จะพินาศ พวกเขาจะรบกับพวกท่านเพื่อการตีความกุรอาน”เชื่อถือได้เพียงใด?
    7372 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2554/09/11
    ในตำราฮะดีษมีฮะดีษชุดหนึ่งที่มีนัยยะถึงการที่ท่านอิมามอลี(อ.)กล่าวกับชาวอรับเกี่ยวกับชาวเปอร์เซียว่า “พวกท่าน(อรับ)รบกับพวกเขา(เปอร์เซีย)เนื่องด้วยการประทานกุรอานแต่ก่อนโลกนี้จะพินาศพวกเขาก็จะรบกับพวกท่านเนื่องด้วยการตีความกุรอาน”สายรายงานของฮะดีษบทนี้เชื่อถือได้ ...
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25209 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...
  • กฏการโกนเคราและขนบนร่างกายคืออะไร?
    14709 สิทธิและกฎหมาย 2554/09/25
    เฉพาะการโกนเคราบนใบหน้า[1]ด้วยมีดโกนหรือเครื่องโกนหนวดทั่วไปถึงขั้นที่ว่าบุคคลอื่นเห็นแล้วกล่าวว่าบนใบหน้าของเขาไม่มีหนวดแม้แต่เส้นเดียว, ฉะนั้นเป็นอิฮฺติยาฏวาญิบถือว่าไม่อนุญาต
  • หนทางหลุดพ้นจากความลุ่มหลงโลกคืออะไร?
    8596 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/21
    โลกที่มนุษย์อยู่อาศัยนี้มาจากคำว่า«ادنی» มาจากคำว่า«دنیء» และคำว่า«دنائت»
  • การประทานอัลกุรอานลงมาคราวเดียวและการทยอยประทานลงมาผ่านพ้นไปตั้งแต่เมื่อใด?
    17835 วิทยาการกุรอาน 2554/04/21
    การประทานอัลกุรอานในคราวเดียวกันบนจิตใจของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) ได้เกิดขึ้นเมื่อค่ำคืนแห่งอานุภาพ (ลัยละตุลก็อดฺร์) อันเป็นหนึ่งในค่ำคืนสำคัญยิ่งแห่งเดือนรอมฏอนและเมื่อได้ศึกษารายงานฮะดีซบางบทและอัลกุรอานบางโองการแล้วจะเห็นว่ารายงานและโองการเหล่านั้นได้สนับสนุนความเป็นไปได้ดังกล่าวว่าค่ำคืนแห่งอานุภาพนั้นก็คือค่ำคืนที่ 23 ของเดือนรอมฎอน
  • เพราะเหตุใดกุญแจสู่สรวงสวรรค์คือ นมาซ?
    7388 จริยธรรมทฤษฎี 2555/05/17
    เป้าหมายของการสร้างมนุษย์ก็เพื่อ การแสดงความเคารพภักดีและการรู้จักพระเจ้า, ซึ่งการแสดงความเคารพภักดีต่อพระเจ้านั้น จะทำให้มนุษย์ก้าวไปสู่ความสมบูรณ์ และตำแหน่งอันใกล้ชิดต่อพระเจ้า, นมาซ คือภาพลักษณ์ที่ดีและสวยงามที่สุดของการแสดงความเคารพภักดีต่อพระเจ้า หรือการแสดงความเป็นบ่าวที่ดีต่อพระผู้ทรงสร้าง, ความเคร่งครัดต่อนมาซ 5 เวลาคือสาเหตุของความประเสริฐและเป็นพลังด้านจิตวิญญาณ ซึ่งทำให้มนุษย์ละเว้นการทำความผิดบาป หรือการแสดงความประพฤติไม่ดี อีกด้านหนึ่งเป็นการสนับสนุนส่งเสริมให้พลังแห่งความสำรวมตน ภายในจิตใจมนุษย์มีความเข้มแข็งขึ้น, ในกรณีนี้ เข้าใจได้ทันทีว่า เพราะอะไรนมาซ, จึงเป็นกุญแจสู่สรวงสวรรค์ ต้องไม่ลืมที่จะกล่าวว่า, นมาซคือหนึ่งในภาคปฏิบัติที่เป็นอิบาดะฮฺ อันมีผลบุญคือ เป็นกุญแจสู่สรวงสวรรค์, เนื่องจากรายงานฮะดีซ,เกี่ยวกับความรักที่มีต่อบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) คือ การกล่าวว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ, ความอดทน ...ก็ถือว่าเป็นกุญแจแห่งสรวงสวรรค์เช่นกัน, และเช่นกันสิ่งที่เข้าใจได้จากรายงานที่ว่า นมาซพร้อมกับความศรัทธามั่นที่มีต่ออัลลอฮฺ ความเป็นเอกะของพระองค์ ขึ้นอยู่กับความรักที่มีต่อบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) เป็นความสัมพันธ์เกี่ยวข้องที่มีความพิเศษยิ่งต่อกัน ...
  • จะให้นิยามและพิสูจน์ปาฏิหาริย์ได้อย่างไร?
    8152 วิทยาการกุรอาน 2554/10/22
    อิอฺญาซหมายถึงภารกิจที่เหนือความสามารถของมนุษย์บุถุชนธรรมดาอีกด้านหนึ่งเป็นการท้าทายและเป็นภารกิจที่ตรงกับคำกล่าวอ้างตนของผู้ที่อ้างตนเองว่าเป็นผู้แสดงปาฏิหาริย์นั้นการกระทำที่เหนือความสามารถหมายถึงการกระทำที่แตกต่างไปจากวิสามัญทั่วไปซึ่งเกิดภายใต้เงื่อนไขและกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติภารกิจที่เหนือธรรมชาติหมายถึง
  • ความเชื่อคืออะไร
    17282 เทววิทยาใหม่ 2554/04/21
    ความเชื่อคือความผูกพันขั้นสูงสุดของมนุษย์เกี่ยวกับเรื่องจิตวิญญาณซึ่งถือว่าเป็นมงคลแก่ผู้คนและพร้อมที่จะแสดงความรักและความกล้าหาญของตนออกมาเพื่อสิ่งนั้นความเชื่อในกุรอานมี 2 ปีก : ศาสตร์และการปฏิบัติศาสตร์เพียงอย่างเดียวสามารถรวมเข้าด้วยกันกับการปฏิเสธศรัทธาได้ขณะเดียวกันการปฏิบัติเพียงอย่างเดียวสามารถเชื่อมโยงกับการกลับกลอกได้ในหมู่บรรดานักศาสนศาสตร์อิสลามได้แสดงทัศนะเกี่ยวกับความเชื่อไว้ ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    59391 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    56844 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    41674 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    38426 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38418 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    33450 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    27540 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27236 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27133 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25209 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...