การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
8675
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2550/10/09
คำถามอย่างย่อ
การขอความช่วยเหลือจากสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮฺ จะเข้ากันกับเตาฮีดหรือไม่
คำถาม
ในหลายที่ทั้งเขียนและกล่าวไว้ว่า ยาอัลลอฮฺ ยามุฮัมมัด ยาอะลี ยาฮะซัน ยาฮุซัยนฺ และอื่นๆ ซึ่งบางคนกล่าวว่า นอกจากเอ่ยนามของอัลลอฮฺแล้ว การใช้ประโยชน์หรือเอ่ยนามอื่นถือว่าไม่ถูกต้อง เนื่องจากเป็นการขอจากสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮฺ คำพูดนี้ถูกต้องหรือไม่?
คำตอบโดยสังเขป

ถ้าเป็นการขอความช่วยเหลือจากสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮฺ ด้วยความเชื่อที่ว่าบรรดาหมู่มิตรของอัลลอฮฺ ท่านเหล่านั้นคือผู้ทำให้คำวิงวอนขอของท่านสมประสงค์ ซึ่งไม่จำเป็นต้องวิงวอนขอต่ออัลลอฮฺอีก แน่นอน สิ่งนี้เป็นชิริกฮะรอม และเท่ากับเป็นการกระทำที่ต่อต้านเตาฮีด ถือว่าไม่อนุญาตให้กระทำเด็ดขาด

แต่ถ้ามีความเชื่อว่า บรรดาท่านเหล่านี้จะทำให้คำวิงวอนของท่านถูกตอบรับ โดยอนุมัติของอัลลอฮฺ และโดยอำนาจที่พระองค์แก่พวกเขา ซึ่งสิ่งนี้นอกจากจะไม่เป็นชิริกแล้ว ทว่ายังเป็นหนึ่งในความหมายของเตาฮีด ซึ่งไม่มีอุปสรรคอันใดทั้งสิ้น

คำตอบเชิงรายละเอียด

ความเข้าใจเกี่ยวกับชิริก

ชิริกหมายถึง การที่คนเราได้ตั้งภาคีเทียบเทียมอัลลอฮฺในแง่ของอาตมัน การสร้างสรรค์ การบริบาล และอิบาดะฮฺ ซึ่งถือว่าภาคีที่ตั้งขึ้นมานั้นเป็นหุ้นส่วนของอัลลอฮฺ ในภารกิจเหล่านี้ ดังนั้น ถ้าการขอความช่วยเหลือจากสิ่งอื่นที่นอกเหนือจากอัลลอฮฺ เป็นไปในลักษณะที่ว่าการกระทำนั้นคือ ความจำเป็นของชิริกต่ออัลลอฮฺแล้วละก็ เช่น ขอจากสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮฺ เพื่อให้สิ่งนั้นทำให้ดุอาอฺของตนสมประสงค์ อย่างเป็นเอกเทศโดยไม่ต้องพึ่งพาอำนาจของอัลลอฮฺ แน่นอน การกระทำเช่นนี้ถือว่าเป็นชิริกและเป็นฮะรอมห้ามกระทำโดยเด็ดขาด แต่ถ้าได้ขอความช่วยเหลือจากสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮฺ โดยมิได้เชื่อว่าสิ่งนั้นจะมีอำนาจเอกเทศโดยไม่ต้องพึ่งพิงอำนาจของอัลลอฮฺ ทว่าอยู่ในอำนาจของอัลลอฮฺ ในแนวตั้ง หรือได้รับอนุญาตจากอัลลอฮฺ หรือได้รับอำนาจจากอัลลอฮฺ แน่นอน การกระทำลักษณะนี้นอกจากจะไม่เป็นชิริกแล้ว ทว่าหลักฐานที่ปรากฏในอัลกุรอาน ซุนนะฮฺท่านศาสดา และวิสัยทัศน์ของบรรดานักปราชญ์ยังให้การสนับสนุนไว้อีกต่างหาก

ด้วยเหตุนี้ ถ้าเราขอดุอาอฺผ่านท่านศาสดา (ซ็อลฯ) อิมาม และหมู่มิตรของอัลลอฮฺ เพื่อให้ท่านเหล่านั้นกระทำตามที่เราขอโดยอนุญาตของอัลลอฮฺ สิ่งนี้ไม่เป็นชิริกอยางแน่นอน เนื่องจากเรามิได้มอบให้ท่านเหล่านั้นเป็นผู้มีอำนาจเคียงอัลลอฮฺ หรือมีอำนาจเป็นเอกเทศแต่อย่างใด ฉะนั้น การขอความช่วยเหลือจากสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮฺ ในลักษณะดังกล่าวนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการทำอิบาดะฮฺกับพวกเขา

ความเข้าใจเกี่ยวกันดุอาอฺในอัลกุรอาน

ความเข้าใจผิดในความหมายของดุอาอฺในอัลกุรอาน เป็นสาเหตุนำไปสู่ความเข้าใจผิดในบางประเด็น ซึ่งจะเห็นว่าการวิงวอนขอนอกเหนือจากอัลลอฮฺ หรือการส่งเสียงเรียกที่นอกเหนือจากพระองค์ เป็นชิริก และผู้ใดกระทำเช่นนั้น ถือว่าเป็นการเฟร เลือดของเขาฮะลาลทันที คนกลุ่มนี้เขาได้ยึดเอาโองการบางโองการเป็นหลักฐานอ้างอิง เช่น โองการที่กล่าวว่า “แท้จริง บรรดามัสยิดเป็นของอัลลอฮฺ ดังนั้น จงย่าวิงวอนขอผู้ใดเคียงคู่กับอัลลอฮฺ”[1] ขณะที่คำว่า ดุอาอฺ ในอัลกุรอานถูกใช้ในความหมายที่แตกต่างกัน เช่น :

1.บางครั้ง ดุอาอฺ หมายถึง อิบาดะฮฺ อย่างโองการข้างต้น[2]

2. บางครั้ง ดุอาอฺ หมายถึง การเชิญชวน หรือการเรียกร้องไปสู่บางสิ่ง เช่น คำกล่าวของศาสดานูฮฺ (อ.) ที่ว่า “(นูฮฺ) กล่าวว่า โอ้ พระผู้อภิบาลของข้าฯ แท้จริงข้าฯ ได้เชิญชวนหมู่ชนของข้าฯ ทั้งราตรีและทิวากาล  ทว่าการเชิญชวนของข้าฯ มิได้เพิ่มพูนสิ่งใดแก่พวกเขา นอกจากการหลบหนี”[3] คำว่าดุอาอฺ ในโองการหมายถึง การเชิญชวนพวกเขาไปสู่ความศรัทธา แน่นอน ดุอาอฺลักษณะนี้ นอกจากจะไม่เป็นชิริกแล้ว ยังเป็นตัวตนของความศรัทธาด้วยซ้ำไป การกระทำเช่นนั้นจึงเป็นวาญิบสำหรับบรรดาศาสดา

3. บางครั้ง ดุอาอฺ หมายถึง การอ้อนวอนในสิ่งที่เป็นความต้องการ ซึ่งบางครั้งก็กระทำผ่านหนทางปกติธรรมทั่วไป เช่น “พยานต้องไม่ปฏิเสธเมื่อพวกเขาถูกเรียกตัว”[4] ดุอาอฺตรงนี้ มีความหมายทั่วไป แน่นอน ถ้าบุคคลใดได้กระทำเขาจะไม่เป็นกาเฟรเด็ดขาด

บางครั้งอาจมีการกระทำเกิดขึ้น แต่มิได้เป็นไปในลักษณะทั่วไป ประหนนึ่งเป็นปาฏิหาริย์ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ส่วนดังนี้

ก) บางครั้งมีความเชื่อว่าสิ่งนั้นมีผลที่เป็นเอกเทศจากอัลลอฮฺ แน่นอน ส่วนนี้ถือว่าเป็นชิริก เนื่องจากเฉพาะอัลลอฮฺ เท่านั้นที่มีอำนาจเหนือ หรือก่อให้เกิดผลได้ ซึ่งนอกเหนือจากพระองค์แล้ว แม้จะเป็นสาเหตุธรรมดาทั่วไป ไม่ว่าจะมีอำนาจมากน้อยเพียงใด ล้วนมาจากพระองค์ทั้งสิ้น และก่อให้เกิดผลได้ก็ด้วยอนุญาตของพระองค์ อัลกุรอาน กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า “จงกล่าวเถิด พวกเจ้าจงเรียกร้องบรรดาสิ่งที่พวกเจ้ากล่าวอ้าง (เป็นพระเจ้า) อื่นจากพระองค์ (แต่พวกนั้น) ไม่มีอำนาจที่จะปลดเปลื้องความทุกข์ยากและเปลี่ยนแปลงพวกเจ้าได้”[5] ดังนั้น ผู้ศรัทธาที่มีสติปัญญาต่างเชื่อมั่นว่า ความเชื่อเหล่านี้ไม่มีอยู่ในตัวของเหล่าบรรดาศาสดา หรือหมู่มิตรของอัลอฮฺ อย่างแน่นอน

ข) บางครั้งขอผ่านบุคคล เพื่อให้บุคคลเหล่านั้นขอต่ออัลลอฮฺให้แก่เรา การขอลักษณะนี้บ่งบอกให้เห็นว่า เตาฮีดในตัวของบุคคลนั้นมีความสมบูรณ์ เนื่องจากเขาได้ให้บุคคลที่มีเกียรติกว่าเป็นสื่อกลาง ของการช่วยเหลือ ณ อัลลอฮฺ ซึ่งเขาเชื่อมั่นว่าปฐมเหตุสมบูรณ์ที่แท้จริงคือ อัลลอฮฺ มิใช่ผู้อื่น ดังนั้น ด้วยการตะวัซซุลไปยังหมู่มิตรของอัลลอฮฺ โดยขอผ่านพวกเขา ให้พวกเขาเหล่านั้นช่วยวิงวอนขอต่ออัลลอฮฺ ให้สิ่งที่เขาต้องการสมประสงค์ การกระทำเช่นนี้คือ องค์ของเตาฮีด อีกทั้งเป็นการยืนยันให้เห็นถึง การเคารพภักดีต่อพระเจ้าองค์เดียวอีกด้วย อัลกุรอาน กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า เมื่อวงศ์วานอิสราเอลได้มาหามูซา และวอนต่อมูซาว่า ให้พระเจ้าประทานสำรับอาหารนานาชนิดลงมาแก่พวกเขา กล่าวว่า “โอ้ มูซา เราไม่สามารถทนต่ออาหารชนิดเดียวได้ ดังนั้น จงวิงวอนต่อพระผู้อภิบาลของท่าน ให้มีสิ่งงอกเงยขึ้นจากดิน ทั้งพืชผัก แตงกวา ข้าวสาลี ถั่ว และหัวหอมแก่พวกเรา”[6] มูซา มิได้ทักท้วงพวกเขาว่า ทำไมพวกท่านจึง เรียกร้องจากเราว่า “ยามูซา” ทำไมพวกท่านจึงไม่วอนขอต่อพระเจ้าโดยตรงเล่า สิ่งนี้เป็นชิริก และเป็นกาเฟร ทว่าในทางกลับกัน มูซา ได้วอนขอต่ออัลลอฮฺตามที่พวกเขาต้องการ และความต้องการของพวกเขาก็สมประสงค์

ความเชื่อที่มีต่อบทบาทของ สิ่งถูกสร้าง ที่มีต่อมรรคผบชล หรือเชื่อในผลหรือเหตุปัจจัยที่มีต่อ ผู้ให้บังเกิดผล ไม่ถือว่าเป็นชิริก สิ่งจำเป็นสำหรับเตาฮีด มิได้หมายความว่าต้องปฏิเสธระบบของเหตุปัจจัยทางโลก หรือทุกร่องรอยที่เกิดขึ้นปราศจากสื่อกลาง สิ่งนั้นมาจากอัลลอฮฺ และสำหรับเหตุปัจจัยแล้วถือว่าไม่มีบทบาทอันใดทั้งสิ้น แม้ว่าจะอยู่ในแนวตั้งของอัลลอฮฺก็ตาม เราไม่เชื่อหรือว่า ไฟมีบทบาทในการเผาไหม้ น้ำช่วยดับกระหาย ฝนช่วยให้เกิดการเจริญงอกงาม อัลลอฮฺเท่านั้นที่ทำให้เกิดการเผาไหม้ ดับกระหาย และให้การเจริญงอกงาม ซึ่งความจริงมิได้เป็นเช่นนั้น เพราะยังมีเหตุปัจจัยอื่นอันกฎที่เป็นไปธรรมชาติทั่วไป โดยที่พระองค์มิได้เป็นเหตุของการเกิดสิ่งนั้นโดยตรง ซึ่งสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดล้วนอยู่ภายใต้อำนาจของอัลลอฮฺ ดังนั้น การที่เราเชื่อในสิ่งถูกสร้าง มิได้หมายความว่าสิ่งนั้นเท่าเทียมอัลลอฮฺ หรือเป็นชิริกในอาตมันบริสุทธิ์ของพระองค์ หรือเชื่อสิ่งเหล่านั้นเป็นพระเจ้าองค์ที่สอง ทว่าสิ่งเหล่านั้นคือ ความสมบูรณ์ในความเชื่อที่มีต่อพระเจ้าองค์เดียว ขณะเดียวกันการเชื่อในเรื่องผลและเหตุปัจจัย หรือการมีบทบาทของสิ่งถูกสร้างในระบบธรรมชาติ ดังเช่นที่ว่า ทุกสิ่งบนโลกนี้ไม่มีสิ่งใดมีความเป็นเอกเทศด้วยตัวมัน โดยไม่ต้องพึ่งพาอัลลอฮฺ และมิได้เป็นเอกเทศในการเกิดผล ความเชื่อเหล่านี้ไม่ถือว่าเป็น ชิริกแต่อย่างใด เมื่อเป็นเช่นนั้นจะเห็นว่า เขตแดนของชิริกและเตาฮีด จึงมิได้หมายความว่า การที่เราจะเชื่อหรือไม่เชื่อในสิ่งอื่นนอกเหนือจากอัลลอฮฺว่ามีบทบาท ทว่าชิริก นั้นหมายถึงการที่เราเชื่อว่าสิ่งอื่นมีอำนาจเทียบเทียมอัลลอฮฺ ทั้งในแนวตั้งและในแนวนอน นอกจากนั้นยังเชื่อเหล่านั้นมีอำนาจเป็นเอกเทศในการบังเกิดผล

อีกนัยหนึ่งการเชื่อในอำนาจหรือบทบาทของสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ เช่น มะลาอิกะฮฺ บรรดาศาสดา หรืออิมาม เหมือนกับการเชื่อในบทบาทและเหตุปัจจัยธรรมดาทั่วไป ไม่ถือว่าเป็นชิริก หรือการมีอำนาจเหนือปัจจัยทางธรรมชาติ ก็มิได้หมายความว่าเป็นการเชื่อในอำนาจที่ตรงกันข้ามกับอัลลอฮฺ ทุกสรรพสิ่งที่มีอยู่บนโลกนี้การมีอยู่ของสิ่งนั้นขึ้นอยู่กับการมีอยู่ของอัลลอฮฺ และพระประสงค์ของพระองค์ ไม่มีสิ่งใดมีอำนาจหรืออยู่อย่างเอกเทศด้วยตัวเองโดยปราศจากอัลลอฮฺ แม้ว่าสิ่งนั้นจะมีอำนาจเหนือธรรมชาติ โดยอ้างว่าเป็นอำนาจของตน อำนาจนั้นก็ยังเป็นของพระเจ้าอยู่ดี เขาเป็นเพียงผู้ปฏิบัติที่อยู่ภายใต้อำนาจของอัลลอฮฺ ดังเช่นที่ ญิบรออีลคือ สื่อกลางแห่งความเมตตา ความรู้ และวะฮฺยูของอัลลอฮฺ หรือมีกาอีลคือ สื่อแห่งความโปรดปรานของพระองค์ อิสราฟีลสื่อแห่งความเป็นและความตาย และมะลาอิกะตุลเมาต์คือสื่อในการถอดดวงวิญญาณ

ดังนั้น สำหรับความชัดเจนในประเด็นนี้ จะขอยกตัวอย่างจากอัลกุรอานสัก 2 โองการ ดังนี้ :

1.อัลกุรอาน จากคำพูดของอีซา (อ.) กล่าวว่า “ฉันจะจำลอง [สิ่งหนึ่ง] จากดินดั่งรูปนกสำหรับพวกท่าน แล้วฉันจะเป่าไปบนมัน  แล้วมันจะกลายเป็นนกโดยอนุมัติ [บัญชา] ของอัลลอฮฺ   ฉันจะรักษาคนตาบอดโดยกำเนิด  คนเป็นโรคเรื้อนให้หายปกติ ฉันจะให้ผู้ที่ตายแล้วมีชีวิตขึ้น[7]

2.บรรดาลูกๆ ของศาสดายะอฺกูบ (อ.) หลังจากได้สำนึกผิดแล้ว ได้เข้าไปหาบิดาของพวกตน “กล่าวว่า โอ้ พ่อของเรา โปรดขออภัยโทษแก่เราในความผิดของเรา แท้จริง เราเป็นผู้ผิด กล่าวว่า ฉันจะขออภัยโทษจากพระผู้อภิบาลของฉันให้พวกเจ้าในไม่ช้านี้ แท้จริง พระองค์เป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ”[8]

ซึ่งจะเห็นว่า บรรดาลูกๆ ของยะอฺกูบ ได้ใช้ประโยคว่า “โอ้ พ่อของเรา” ทั้งที่ศาสดายะอฺกูบมิได้ตำหนิหรือห้ามปรามว่า อย่าพูดเช่นนั้น หรือกล่าวว่า พวกเจ้าวิงวอนขอต่อพระเจ้าโดยตรงซิ ดังนั้น เป็นที่ชัดเจนว่า สิ่งเหล่านี้มิได้ขัดแย้งกับเตาฮีดแต่อย่างใดไม่

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากแหล่งความรู้ดงต่อไปนี้ :

1.การตะวัซซุล และความสัมพันธ์กับอัลลอฮฺ โดยปราศสื่อกลาง, คำถามที่ 524 (ไซต์ : 590)

2.ตะวัซซุล ในอัลกุรอานและซุนนะฮฺ, คำถามที่ 2032 (ไซต์ : 2265)

3.ปรัชญาการตะวัซซุลต่ออะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) คำถามที่ 1321 (ไซต์ : 1316)

4.มุเฏาะฮะรียฺ,มุรตะฎอ, เฌะฮอนบีนี เตาฮีดดี, เตหะราน, ซ็อดรอ, พิมพ์ครั้งที่ 21, ปี 1384

5.มะการิมชีรอซียฺ,นาซิร,วะฮาบี บัรซัร โดเราะฮี, กุม, มัดเราะเซะฮฺ อิมามอะลี บิน อะบีฏอลิบ (อ.) พิมพ์ครั้งแรก, ปี 1384

 


[1] บทญิน, 18, "وَ أَنَّ الْمَساجِدَ لِلَّهِ فَلا تَدْعُوا مَعَ اللَّهِ أَحَدا".

[2] บทญิน, 18,

[3] บทนูฮฺ, 5-6.

[4] บทบะเกาะเราะฮฺ, 282,  ." وَ لَا يَأْبَ الشهَُّدَاءُ إِذَا مَا دُعُواْ"

[5] บทอัสรออฺ, 56, "قُلِ ادْعُواْ الَّذِينَ زَعَمْتُم مِّن دُونِهِ فَلَا يَمْلِكُونَ كَشْفَ الضُّرِّ عَنكُمْ وَ لَا تحَوِيلا"

[6] บทบะเกาะเราะฮฺ, 61 กล่าวว่า ..

."وَ إِذْ قُلْتُمْ يَمُوسىَ‏ لَن نَّصْبرِ عَلىَ‏ طَعَامٍ وَاحِدٍ فَادْعُ لَنَا رَبَّكَ يخُرِجْ لَنَا ممِّا تُنبِتُ الْأَرْضُ مِن بَقْلِهَا وَ قِثَّائهَا وَ فُومِهَا وَ عَدَسِهَا وَ بَصَلِهَا"

[7] บทอาลิอิมรอน, 49

[8] บทยูซุฟ, 97, 98.

 

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • กรุณาอธิบายวิธีตะยัมมุมแทนที่วุฎูอฺและฆุซลฺ ว่าต้องทำอย่างไร?
    10430 สิทธิและกฎหมาย 2555/05/17
    จะทำตะยัมมุมอย่างไร การตะยัมมุมนั้นมี 4 ประการเป็นวาญิบ: 1.ตั้งเจตนา, 2. ตบฝ่ามือทั้งสองข้างลงบนสิ่งที่ทำตะยัมมุมกับสิ่งนั้นแล้วถูกต้อง, 3. เอาฝ่ามือทั้งสองข้างลูบลงบนหน้าผากตั้งแต่ไรผม เรื่อยลงมาจนถึงคิ้ว และปลายมูก อิฮฺติยาฏวาญิบ, ให้เอาฝ่ามือลูบลงบนคิ้วด้วย, 4. เอาฝ่ามือข้างซ้ายลูบหลังมือข้างขวา, หลังจากนั้นให้เอาฝ่ามือข้างขวาลูบลงหลังมือข้างซ้าย คำวินิจฉัยของมัรญิอฺบางท่าน กล่าวถึงการตะยัมมุมแทนวุฎูอฺ และฆุซลฺ ไว้ดังนี้: หนึ่ง. การตะยัมมุมแทนทีฆุซลฺ, อิฮฺยาฏมุสตะฮับ หลังจากทำเสร็จแล้วให้เอาฝ่ามือทั้งสองข้างตบลงบนฝุ่นอีกครั้ง (ตบครั้งที่สอง) หลังจากนั้นให้เอาฝ่ามือลูบลงที่หลังมือข้างขวาและข้างซ้าย[1] มัรญิอฺ บางท่านแสดงความเห็นว่า สิ่งที่เป็นมุสตะฮับเหล่านี้ สมควรทำในตะยัมมุม ที่แทนที่ วุฎูดฺด้วย
  • มีวิธีใดบ้างที่จะทำให้สามีภรรยาเข้าใจกันและกัน
    8218 จริยธรรมทฤษฎี 2555/09/15
    ความซื่อสัตย์คือต้นทุนที่สำคัญที่สุดของชีวิตคู่ ในทางตรงกันข้าม ภัยคุกคามที่ร้ายแรงที่สุดที่ก่อให้เกิดความร้าวฉานระหว่างคู่รักก็คือความไม่ไว้วางใจและการหลอกลวงกัน จากที่คุณถามมา พอจะสรุปได้ว่าคุณสองคนขาดความไว้วางใจต่อกัน ขั้นแรกจึงต้องทำลายกำแพงดังกล่าวเสียก่อน วิธีก็คือ จะต้องหาต้นตอของความไม่ไว้วางใจให้ได้ แล้วจึงสะสางให้เป็นที่พึงพอใจทั้งสองฝ่าย ซึ่งหากเสริมสร้างความไว้วางใจได้สำเร็จ ไม่ว่าคุณไสยหรือเวทมนตร์คาถาใดๆก็ไม่อาจจะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับภรรยาได้อีก ...
  • อัลลอฮฺ ทรงอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ธรรมชาติด้วยหรือไม่?
    6067 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/04/07
    อัลลอฮฺ คือพระผู้ทรงกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ ทางธรรมชาติ อาตมันสากลของพระองค์มิได้อยู่ภายใต้อำนาจของสิ่งใดทั้งสิ้น นอกจากความต้องการของพระองค์ หรือเว้นเสียแต่ว่าความประสงค์ของพระองค์ต้องการที่จะปฏิบัติภารกิจหนึ่ง ซึ่งทรงเป็นสาเหตุของการเกิดสิ่งนั้น ขณะเดียวกันการละเมิดกฎต่างๆในโลกที่ต่ำกว่า โดยพลังอำนาจที่ดีกว่าของพระองค์ถือเป็น กฎเกณฑ์อันเฉพาะ และเป็นประกาศิตที่มีความเป็นไปได้เสมอ ซึ่งเราเรียกสิ่งนั้นว่า ปาฏิหาริย์,แน่นอน ปาฏิหาริย์มิได้จำกัดอยู่ในสมัยของบรรดาศาสดาเท่านั้น ทว่าสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกสมัย เพียงแต่ว่าปาฏิหาริย์ได้ถูกมอบแก่บุคคลที่เฉพาะเท่านั้น เป็นความถูกต้องที่ว่าความรู้มีความจำกัดและขึ้นอยู่ยุคสมัยและสภาพแวดล้อม ไม่มีความรู้ใดยอมรับหรือสนับสนุนเรื่องมายากล และเวทมนต์ แต่คำพูดที่ถูกต้องยิ่งกว่าคือ เจ้าของความรู้เหล่านั้นบางครั้ง ได้แสดงสิ่งที่เลยเถิดไปจากนิยามของความรู้หรือที่เรียกว่า มายากล เวทมนต์เป็นต้น อีกนัยหนึ่งกล่าวได้ว่า สิ่งนั้นคือการมุสาและการเบี่ยงเบนนั่นเอง ...
  • เด็กผู้ชายที่มีอายุ 12 ปีสามารถเข้าร่วมในการนมาซญะมาอัตแถวเดียวกับผู้ชายคนอื่นๆได้หรือไม่?
    6230 สิทธิและกฎหมาย 2555/03/08
    การที่ลูกหลานและเยาวชนเข้าร่วมกิจกรรมมัสยิดและร่วมนมาซญะมาอัตจะทำให้พวกเขาผูกพันกับการนมาซ ซึ่งไม่เพียงแต่ไม่เป็นที่ต้องห้าม ทว่าถือเป็นมุสตะฮับอย่างยิ่ง[1] แต่ประเด็นที่ว่า การที่เด็กที่ยังไม่สามารถแยกแยะถูกผิดได้และยังไม่บรรลุนิติภาวะจะเข้าร่วมในนมาซญะมาอัต และจะทำให้การนมาซของผู้อื่นมีปัญหาหรือไม่นั้น มีสองประเด็นดังต่อไปนี้ ผู้นมาซคนอื่นๆสามารถที่จะเชื่อมต่อกับอิมามญะมาอัตได้โดยวิธีอื่น ในกรณีนี้การนมาซญะมาอัตของผู้อื่นถือว่าไม่มีปัญหาแต่อย่างใด[2] การที่ผู้อื่นจะต้องเชื่อมต่อกับอิมามญะมาอัตโดยผ่านผู้ที่ยังไม่บรรลุนิตะภาวะเท่านั้น (เช่นมีเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะยื่นอยู่ที่แถวหน้าหลายคน ในกรณีนี้คำวินิจฉัยของอุลามามีดังนี้ “หากในระหว่างแถวที่มีการนมาซญะมาอัตมีเด็กที่สามารถแยกแยะถูกผิดได้ยืนอยู่ หากเรามิได้แน่ใจว่านมาซของเขาไม่ถูกต้อง ก็สามารถยืนแถวต่อจากเขาได้”[3] อนึ่ง กฏดังกล่าวมีไว้สำหรับกรณีที่มีเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะยืนอยู่หลายๆคนในแถวเดียวกัน แต่ถ้าหากเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะยืนอยู่ในแถวนมาซญะมาอัตหลายคน ทว่าไม่ได้ยืนอยู่ติดๆกัน โดยยืนในลักษณะกั้นกลางผู้ที่บรรลุนิติภาวะแล้วสองคน (ถึงแม้ว่าเราจะรู้ว่านมาซของพวกเขาไม่ถูกต้องก็ตาม) ก็ไม่ทำให้นมาซของผู้อื่นมีปัญหาแต่อย่างใด อ่านเพิ่มเติมได้ที่ “การจัดแถวในการนมาซญะมาอัตและฮุกุมของการเคลื่อนไหวในการนมาซ”, ...
  • ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์มีบุคลิกภาพด้านใดบ้าง?
    11395 ชีวประวัติมะอฺซูม (อ.) 2554/09/22
    มิติบุคลิกภาพด้านต่างๆของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ลึกซึ้งและละเอียดอ่อนในลักษณะที่จะต้องได้รับการพินิจพิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนเท่านั้นจึงจะสามารถประจักษ์ได้ซึ่งการนี้จะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อมีการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับมิติด้านศีลธรรมและจิตใจความรู้และการต่อสู้ของนางทั้งในเชิงการเมืองและสังคมขอหยิบยกบุคลิกภาพอันโดดเด่นของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(ที่กล่าวถึงในตำราฝ่ายซุนหนี่และชีอะฮ์)มานำเสนอโดยสังเขปดังนี้1. ท่านหญิงใช้ชีวิตเรียบง่ายและพอใจวิถีชีวิตสมถะทั้งที่สามารถจะได้รับความสะดวกสบายขั้นสูงสุด2. บริจาคของรักของตนมากมายทั้งที่ยังจำเป็นต้องใช้3. ทำอิบาอะฮ์และวิงวอนต่ออัลลอฮ์สม่ำเสมอด้วยความบริสุทธิใจ4. เป็นภาพลักษณ์แห่งจริตกุลสตรีและความเหนียมอาย5. แบบฉบับที่สมบูรณ์ด้านการสวมฮิญาบตามวิถีอิสลาม6. มีความรู้อันกว้างขวางซึ่งประจักษ์ได้จากการรับทราบเนื้อหาในตำรา"มุศฮัฟฟาฏิมะฮ์"7.
  • มีบทบัญญัติทางฟิกเกาะฮ์ในสวรรค์หรือไม่?
    7095 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    ก่อนอื่นต้องคำนึงเสมอว่าเราไม่สามารถล่วงรู้ถึงสภาวะของปรโลกและสวรรค์-นรกได้นอกจากจะศึกษาจากวะฮยู (กุรอาน)และคำบอกเล่าของเหล่าผู้นำศาสนาที่ได้รับการยืนยันความน่าเชื่อถือเสียก่อน.แม้ตำราทางศาสนาจะไม่ได้ระบุคำตอบที่ชัดเจนสำหรับคำถามดังกล่าวแต่จากการพิจารณาถึงข้อคิดที่ระบุไว้ในตำราทางศาสนาก็สามารถกล่าวได้ว่าในสวรรค์ไม่มีบทบัญญัติและกฏเกณฑ์จำเพาะใดๆอีกต่อไปหรือหากมีก็ย่อมแตกต่างจากข้อบังคับต่างๆในโลกนี้ทั้งนี้ก็เพราะการบังคับใช้บทบัญญัติของพระเจ้าในสังคมมนุษย์มีไว้เพื่อสร้างเสริมให้มนุษย์บรรลุถึงความเจริญและความสมบูรณ์สูงสุดซึ่งก็เป็นผลจากการปฏิบัติหน้าที่ทางศาสนาในโลกนี้นั่นเอง
  • อิมามซะมาน (อ.) มีความคล้ายเหมือนและมีความต่างอย่างไร กับผู้ถูกสัญญาในศาสนาอื่นทั้งศาสนาที่มาจากฟากฟ้าและมิได้มาจากฟากฟ้า?
    6861 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/21
    ศาสนาที่มีชื่อเสียงบนโลกนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งศาสนาแห่งฟากฟ้าหรือศาสนาที่นับถือพระเจ้าจะมีจุดร่วมเดียวกันกล่าวคือจะมีชายคนหนึ่งปรากฏกายออกมาซึ่งบุคคลนั้นจะมีคุณค่ามากมายและรัฐบาลสากลของเขาจะสร้างความยุติธรรมความสงบสุข
  • ชีอะฮ์และมุอ์ตะซิละฮ์มีทัศนคติเกี่ยวกับความยุติธรรมแตกต่างกันอย่างไร?
    10389 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/04/24
    ทั้งสองสำนักคิดนี้ต่างก็ถือว่าความยุติธรรมของอัลลอฮ์คือหนึ่งในหลักศรัทธาของตน ทั้งสองเชื่อว่าความดีและความชั่วพิสูจน์ได้ด้วยสติปัญญา กล่าวคือสติปัญญาสามารถจะพิสูจน์ความผิดชอบชั่วดีในหลายๆประเด็นได้แม้ไม่ได้รับแจ้งจากชะรีอัตศาสนา ความอยุติธรรมก็เป็นหัวข้อหนึ่งที่สติปัญญาของมนุษย์ทุกคนพิสูจน์ได้ว่าเป็นความชั่ว ด้วยเหตุนี้ อัลลอฮ์จึงไม่ทรงลดพระองค์มาแปดเปื้อนกับความชั่วดังกล่าว แต่ทรงเป็นผู้ไว้ซึ่งความเที่ยงธรรมอย่างไม่ต้องสงสัย ข้อแตกต่างระหว่างสองสำนักคิดข้างต้นก็คือ เมื่อเผชิญข้อโต้แย้งที่ว่า “หากทุกการกระทำของมนุษย์มาจากพระองค์จริง แสดงว่าการให้รางวัลและการลงโทษมนุษย์ย่อมไม่มีความหมาย” มุอ์ตะซิละฮ์ชี้แจงด้วยการปฏิเสธเตาฮี้ด อัฟอาลี (เอกานุภาพเชิงกรณียกิจ) แต่ชีอะฮ์ปฏิเสธทางออกดังกล่าวที่ถือว่ามนุษย์ไม่ต้องพึ่งพาอัลลอฮ์ในการกระทำ โดยเชื่อว่าการกระทำของมนุษย์เชื่อมต่อกับการกระทำของอัลลอฮ์ในเชิงลูกโซ่ มิได้อยู่ในระนาบเดียวกัน จึงทำให้ตอบข้อโต้แย้งข้างต้นได้โดยที่ยังเชื่อในความยุติธรรมของพระองค์ดังเดิม ...
  • ถ้าบุคคลหนึ่งใช้ความรุนแรง เพื่อกระทำผิดประเวณี จะมีบทลงโทษอย่างไร?
    7291 ฮุดู้ด,กิศ้อศ,ดิยะฮ์ 2557/05/22
    บุคคลที่ใช้ความรุนแรงในการข่มขืนกระทำชำเรา หรือบีบบังคับหญิงให้กระทำผิดประเวณี- ซินา –กับตน เขาจะถูกตัดสินลงโทษด้วยการ ประหารชีวิต[1] และถ้าหากหญิงต้องการหนึ่ เพื่อให้รอดพ้นจากน้ำมือของคนชั่วที่จะกระทำซินา โดยที่นางต้องต่อสู้กับเขา ซึ่งนางไม่มีทางเลือกอื่นใดอีก นอกจากต้องสังหารเขา ผู้ที่จะกระทำการข่มขืนกระทำชำเรา ดังนั้น การฆ่าเขา ถือว่าอนุญาต เลือดของเขาถือว่าไร้ค่า และนางไม่ต้องเสียค่าปรับ หรือค่าสินไหมชดเชยอันใดทั้งสิ้น[2] คำตอบของฯพณฯอายะตุลลอฮฺ ฮาดะวี เตหะรานนี สำหรับคำถามในท่อนแรก มีดังนี้ ถ้าวัตถุประสงค์ของ ซินา มิได้หมายถึงการทำชู้ (บุคคลที่ไม่มีภรรยาตามชัรอีย์ หรือมีแต่ไม่อาจมีเพศสัมพันธ์ด้วยได้) ให้ลงโทษด้วยการเฆี่ยนตี 100 ครั้ง แต่ถ้าเป็นการทำชู้ ให้ลงโทษด้วยการขว้างด้วยก้อนหิน แต่ถ้าจุดประสงค์หมายถึง การลิวาฏ (ร่วมเพศทางทวารหนัก) ต้องถูกตัดสินประหารชีวิต แน่นอนว่า ถ้าเขาได้ซินากับหญิง โดยการบีบบังคับ ขืนใจ ...
  • อิมามฮะซัน มุจญฺตะบา (อ.) ได้สมรสกับหญิงหลายคน และหย่าพวกนางหรือ?
    7444 ชีวประวัติมะอฺซูม (อ.) 2555/08/22
    หนึ่งในประเด็น อันเป็นความเสียหายใหญ่หลวง และน่าเสียใจว่าเป็นที่สนใจของแหล่งฮะดีซทั่วไปในอิสลาม, คือการอุปโลกน์และปลอมแปลงฮะดีซ โดยนำเอาฮะดีซเหล่านั้นมาปะปนรวมกับฮะดีซที่มีสายรายงานถูกต้อง โดยกลุ่มชนที่มีความลำเอียงและรับจ้าง ท่านอิมามฮะซัน มุจญฺตะบา (อ.) เป็นอิมามผู้บริสุทธิ์ท่านที่สอง, เป็นหนึ่งในบุคคลที่บรรดานักปลอมแปลงฮะดีซ ได้กุการมุสาพาดพิงไปถึงท่านอย่างหน้าอนาถใจที่สุด ในรูปแบบของรายงานฮะดีซ ซึ่งหนึ่งในการมุสาเหล่านั้นคือ การแต่งงานและการหย่าร้างจำนวนมากหลายครั้ง แต่หน้าเสียใจตรงที่ว่า รายงานเท็จเหล่านี้บันทึกอยู่ในแหล่งอ้างอิงฮะดีซและหนังสือประวัติศาสตร์ ทั้งซุนนียฺและชีอะฮฺ แต่ก็หน้ายินดีว่าหลักฐานทางประวัติศาสตร์ หลักความเชื่อที่ถูกต้องมีอยู่อยู่มือจำนวนไม่น้อยเช่นกัน ซึ่งทำให้การอุปโลกน์และปลอมแปลงฮะดีซของพวกเขาเป็นที่ประจักษ์ชัดเจน ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60120 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57550 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42203 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39352 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38940 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    33994 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28011 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27956 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27786 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25789 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...