การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
10897
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/10/22
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1709 รหัสสำเนา 17847
คำถามอย่างย่อ
ความแตกต่างระหว่างจิตฟุ้งซ่านกับชัยฎอนคืออะไร?
คำถาม
ความแตกต่างระหว่างจิตฟุ้งซ่านกับชัยฎอนคืออะไร?
คำตอบโดยสังเขป

ตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์ซึ่งได้ถูกตีความว่าเป็นตัวตนหรือจิต, มีหลายมิติด้วยกัน ซึ่งอัลกุรอานได้แบ่งไว้ 3 ระดับด้วยกัน (จิตอัมมาเราะฮฺ, เลาวามะฮฺ, และมุตมะอินนะฮฺ)

จิตที่เป็นอัมมาะเราะฮฺ หมายถึงความปรารถนาด้านความเป็นเดรัจฉาน, ซึ่งครอบคลุมมนุษย์อยู่ หรือสภาพหนึ่งของจิตใจที่โน้มนำมนุษย์ไปสู่การกระทำชั่ว อันเป็นความต้องการอันเป็นกิเลสและตัณหา

ส่วนคำว่า ชัยฏอน ตามรากศัพท์และนิยามที่ให้, หมายถึงทุกการมีอยู่ที่ละเมิดและดื้อรั้น ซึ่งเรียกว่าเป็นชัยฏอนทั้งหมด บางครั้งก็เป็นญินหรือมนุษย์หรืออาจเป็นเดรัจฉานก็ได้

จุดประสงค์ของอิบลิส, คือชัยฏอนเฉพาะที่มาจากหมู่ญิน แต่เนื่องจากได้อิบาดะฮฺอย่างมากมายจึงได้ถูกยกระดับชั้นไปรวมกับมลาอิกะฮฺ แต่หลังจากกาลเวลาได้ผ่านไประยะหนึ่ง ได้ถูกเนรเทศออกจากความเมตตาของอัลลอฮฺ สืบเนื่องมาจากการฝ่าฝืนคำบัญชาของพระองค์ ที่ทรงสั่งให้กราบอาดัม แต่ชัยฏอนปฏิเสธไม่ยอมปฏิบัติตาม ซึ่งมารได้สาบานว่าจะหยุแหย่มนุษย์ทุกคนให้หลงทาง

ผลสรุป จิตที่เป็นอัมมาะเราะฮฺ, ตามความเป็นจริงแล้วก็คือ เครื่องมือชนิดหนึ่งของชัยฏอนมารร้าย ที่ใช้สร้างอิทธิเหนือมนุษย์และบุคคลนั้นก็ถูกนับว่าเป็นพลพรรคของชัยฏอนไปในที่สุด

ดังนั้น การหยุแหย่ของอิบลิสในฐานะที่เป็นชัยฏอนภายนอก, ส่วนการกระตุ้นของจิตที่เป็นอัมมาเราะฮฺและราคะคือมารภายใน, ที่โน้มนำมนุษย์ให้ตกไปสู่ความตกต่ำ.อีกนัยหนึ่งจิตที่เป็นอัมมาเราะฮฺถ้าพิจารณาในแง่ที่เป็นเดรัจฉานซึ่งมีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน ได้รับการหยุแหย่จากชัยฏอนมารร้าย ซึ่งชัยฏอนจะเข้ามาที่ละขั้น จนกระทั่งว่าในที่สุดแล้วบุคคลนั้นได้กลายเป็นพลพรรคของมารไปโดยปริยาย

คำตอบเชิงรายละเอียด

คำตอบสำหรับคำถามนี้ต้องอาศัยการทำความเข้าใจกับบทนำดังต่อไปนี้ :

บทนำที่ 1 : จิตและระดับชั้นของจิต

ตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์,มีมิติต่างๆ มากมายซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะดังนี้ (สภาพความเป็นเดรัจฉาน,มนุษย์,และพระเจ้า) ซึ่งสามารถเข้าใจได้เป็นอย่างดีจากโองการอัลกุรอานที่กล่าวว่า จิตวิญญาณและจิตของมนุษย์นั้นเป็น 3 ระดับด้วยกัน กล่าวคือ[1]

1-จิตอัมมาเราะฮฺและราคะของความเป็นเดรัจฉาน.

ราคะความเป็นเดรัจฉานของมนุษย์อยู่ในกิเลส, ความปรารถนา, ความโกรธและความต้องการทางจิตนั่นเอง[2] ราคะของจิตปรารถนาและสภาพของจิตใจเช่นนี้ อัลกุรอานเรียกว่า นัฟอัมมาเราะฮฺ , และได้เน้นย้ำว่าแท้จริง จิตใจกระตุ้นข้างการชั่ว และการกระทำไม่ดีอันนำไปสู่การฝ่าฝืน[3]

ด้วยเหตุผลนี้เองจึงเรียกจิตนั้นว่า อัมมาะเราะฮฺ (ผู้ออกคำสั่งให้กระทำชั่ว) ในระดับนี้จะเห็นว่าเขายังไม่ได้พบสติปัญญาและความศรัทธาแม้แต่น้อยนิด เนื่องจากจิตได้ควบคลุมเขาเอาไว้ และทำให้เขาอ่อนนุ่มไปตามคำสั่ง ทว่ามีประเด็นมากมายที่ได้ยอมจำนนต่อจิต และจิตอัมมาเราะฮฺได้เป็นผู้ทำลายเขาจนหมดสิ้น

จากคำพูดของภรรยา อะซีซ ผู้ปกครองอียิปต์[4] ได้ชี้ให้เห็นถึงจิตระดับที่กำลังกล่าวถึง ซึ่งกล่าวว่า

و ما أبرئ نَفْسِی إِنَّ النَّفْسَ لَأَمَّارَةٌ بِالسُّوءِ"

แท้จริง จิตใจกระตุ้นข้างการชั่ว และการกระทำไม่ดีอันนำไปสู่การฝ่าฝืน[5]

2- จิตที่เป็นเลาวามะฮฺ :

จิตที่เป็นเลาวามะฮฺ หมายถึงระดับหนึ่งของจิต,เนื่องจากได้ต่อสู้และผ่านการอบรมสั่งสอนแล้ว, ในชั้นนี้จะยกระดับมนุษย์ให้สูงขึ้นไปในระดับหนึ่ง.ในระดับนี้เป็นไปได้ที่ว่าบางครั้งผลของการละเมิด หรือราคะได้หยุแหย่มนุษย์ให้เผอเรอกระทำความผิด หรือฝ่าฝืนคำสั่งได้ แต่หลังจากนั้นเขาจะสำนึกผิดโดยเร็วมีการประณามและตำหนิตัวเอง พร้อมกับตัดสินใจว่าจะทดแทนความผิดที่ตนได้กระทำลงไป นอกจากนั้นยังได้ชำระล้างจิตใจของตนด้วยน้ำของการลุแก่โทษ (เตาบะฮฺ)

อัลกุรอาน เรียกจิตระดับนี้ว่านัฟเลาวามะฮฺกล่าวว่าข้าขอสาบานต่อชีวิตที่ประณามตนเอง (ว่าวันฟื้นคืนชีพนั้นสัจจริง)”[6]

3- นัฟซ์ มุตมะอินนะฮฺ เป็นอีกระดับหนึ่งของจิตภายหลังจากขัดเกลาจิตใจและให้การอบรมโดยสมบูรณ์แล้ว, มนุษย์จะก้าวไปถึงอีกระดับหนึ่ง ซึ่งในระดับนี้จะเห็นว่าไม่มีราคะ ความดื้อรั้น หรือความต้องการใดขึ้นมาเคียงคู่กับความศรัทธา เนื่องจากสติปัญญาและความศรัทธามีความเข้มแข็ง ทำให้สัญชาตญาณและอำนาจชัยฏอนไร้ความสามารถลงทันที เมื่อเผชิญหน้ากับจิตประเภทนี้

และนี่คือตำแหน่งของบรรดาศาสดาทั้งหลาย หมู่มิตรของพระองค์ และผู้เชื่อฟังปฏิบัติตามพวกเขาโดยสัจจริง. พวกเขาได้ศึกษาพลังศรัทธาและความสำรวมตนจากสำนักคิดของอัลลอฮฺ และนับเป็นเวลานานหลายปีที่พวกเขาได้ขัดเกลาและจาริกจิตของตนเอง จนกระทั่งว่าพวกเขาได้รับชัยชนะก้าวไปสู่ระดับสุดท้ายของการทำสงครามใหญ่ (ญิฮาดนัฟซ์)

อัลกุรอาน ได้เรียกจิตระดับนี้ว่า มุฏมะอินนะฮฺ ดังที่กล่าวว่า :

یَا أَیَّتُهَا النَّفْسُ الْمُطْمَئِنَّةُ ارْجِعِی إِلَى رَبِّکِ رَاضِیَةً مَّرْضِیَّةً

 โอ้ ดวงชีวิตที่สงบมั่นเอ๋ย จงกลับมายังพระผู้อภิบาลของเจ้า ขณะที่เจ้ามีความยินดี (ในพระองค์) และเป็นที่ปิติ (ของพระองค์)”[7]

บทนำที่ 2 : อิบลิสและชัยฏอน

1- อิบลิส :

จุดประสงค์ของอิบลิส,คือชัยฏอนเฉพาะเจาะจงที่มาจากหมู่ญินทั้งหลาย, แต่เนื่องจากได้ประกอบอิบาดะฮฺจำนวนมากมาย, จึงได้ถูกยกระดับให้ไปอยู่ในชั้นของมลาอิกะฮฺ แต่หลังจากกาลเวลาได้ผ่านไประยะหนึ่ง,อิบลิสก็ได้ถูกแยกตัวออกจากหมู่มวลมลาอิกะฮฺทั้งหลาย และถูกลดตำแหน่งจากความสูงส่งไปสู่ความต่ำทรามทันที, เนื่องจากอิบลิสได้ฝ่าฝืนคำบัญชาของพระเจ้า มารไม่เชื่อฟังปฏิบัติตามพระองค์อีกต่อไป[8]

2-ชัยฏอน :

ชัยฏอนมาจากรากศัพท์คำว่าชะเฏาะนะหมายถึงการขัดขืน การไม่เห็นด้วย และความห่างไกล ด้วยเหตุนี้เอง ทุกสิ่งที่ดื้อรั้นอวดดี หรือละเมิดจึงถูกเรียกว่าเป็นชัยฏอน,ซึ่งบางครั้งอาจเป็นมนุษย์ หรือญิน หรือเดรัจฉานก็ได้[9]

ดังที่อัลกุรอานกล่าวว่าและในทำนองนั้นแหละเราได้ให้นบีทุกคนมีศัตรู คือบรรดาชัยฏอนแห่งมนุษย์และแห่งญินโดยที่พวกเขาต่างก็จะกระซิบกระซาบคําพูด ที่เสริมแต่ง เพื่อหลอกลวงให้แก่กันและกัน[10]

ด้วยเหตุที่อิบลิสได้ดื้อรั้น ฝ่าฝืนปฏิเสธไม่ปฏิบัติตาม และได้ละเมิดคำสั่ง อีกทั้งเป็นผู้ก่อการเสียหายจึงถูกเรียกว่าเป็น ชัยฏอน

บทนำที่ 3 : ความสัมพันธ์ระหว่างจิตอัมมาเราะฮฺกับชัยฏอน

จิตอัมมาเราะฮฺ ตามความเป็นจริงแล้วเป็นหนึ่งในเครื่องมือทันสมัยของมารร้ายชัยฏอน เป็นหนทางสร้างอิทธิพลของมารเพื่อควบคลุมมนุษย์ และถูกนับว่าเป็นพลพรรคที่แท้จริงของมาร

ดังนั้น การหยุแหย่ของอิบลิสชัยฏอนในฐานะที่เป็น มารภายนอก, ส่วนการกระตุ้นของจิตที่เป็นอัมมาเราะฮฺและราคะคือมารภายใน, ที่โน้มนำมนุษย์ให้ตกไปสู่ความตกต่ำ.

ความพยายามทั้งหมดของชัยฏอนก็คือ การทำให้มนุษย์หลงทางและไปไม่ถึงแก่นของความจริง ในประเด็นนี้ชัยฏอนได้สามบานต่ออำนาจความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮฺว่า จะทำให้มนุษย์ทุกคนหลงทาง อัลกุรอานกล่าวว่า :มารกล่าวว่า "ดังนั้น (ขอสาบาน) ด้วยพระอํานาจของพระองค์ แน่นอนข้าฯจะทำให้พวกเขาทั้งหมดหลงผิด เว้นแต่ปวงบ่าวของพระองค์ในหมู่พวกเขาที่มีใจบริสุทธิ์เท่านั้น"[11]

คำว่าอัฆวามาจากรากศัพท์คำว่า เฆาะนา หมายถึงการต่อต้านความเจริญ, ส่วนความเจริญหมายถึงการไปถึงยังความจริง[12] 

ชัยฏอนได้สาบานต่อพลานุภาพความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮฺว่า จะลวงล่อให้มนุษย์ทั้งหมดหลงทาง[13] ซึ่งชัยฏอนจะหลอกลวงมนุษย์ไปที่ละขั้น และจะทำให้มนุษย์อยู่ภายใต้อำนาจของตน จนกระทั่งว่ามนุษย์ได้กลายเป็นชัยฏอน และจากเขาได้ทำให้มนุษย์คนอื่นๆ ระหกระเหินหลงทางตามไป

มนุษย์หลังจากได้รับการหยุแหย่จากชัยฏอนมารร้ายแล้ว, เขาได้ยอมจำนนต่อราคะและความปรารถนาแห่งเดรัจฉาน,ตกเป็นทาสของจิตอัมมาเราะฮฺ

ท่านอิมามอะลี (.) กล่าวว่า : “จิตอัมมาเราะฮฺก็เหมือนกับมุนาฟิกีน,จะครอบคลุมมนุษย์โดยกล่าวกับเขาในกรอบของมิตร, จนในที่สุดเขาสามารถควบคลุมมนุษย์ได้ หลังจากนั้นจะโน้นนำเขาไปสู่ขั้นต่อไป[14]

ชัยฏอนจะหยุ่แหย่บุคคลที่มีความศรัทธาอ่อนแอ และด้วยการช่วยเหลือของราคะ และความปรารถนาแห่งจิตอัมมาเราะฮฺของตนเอง, ทำให้จิตของเขากลายเป็นสถานพำนักสำหรับชัยฏอน และในที่สุดแล้วมารได้สัมผัสทั้งมือและร่างกายของเขา และตนได้ปาวนาตนเองเป็นมิตรผู้ช่วยเหลือมารในที่สุด, เนื่องจากบุคคลที่หัวใจของเขาเป็นสถานพำนักสำหรับชัยฏอน, ดังนั้นเขาไม่เพียงแต่เป็นเจ้าภาพต้อนรับชัยฏอนเท่านั้น ทว่าในความเป็นจริงเขาได้กลายแป็นผู้ช่วยเหลือที่ดีของชัยฏอน[15]

เกี่ยวกับชนกลุ่มดังกล่าวนี้ ท่านอิมามอะลี (,) กล่าวว่า :มันได้มองเห็นโดยอาศัยตาของพวกเขา และมันพูดโดยอาศัยลิ้นของพวกเขา[16]

สรุป : ชัยฏอนและจิตอัมมาเราะฮฺทั้งสองคือศัตรูของมนุษย์ ด้วยเหตุนี้เอง อัลกุรอานจึงได้กล่าวถึงชัยฏอนในฐานะที่เป็นศัตรูเปิดเผยของมนุษย์ และได้แนะนำมนุษย์ว่า จงถือว่าชัยฏอนเป็นศัตรูของพวกเจ้า[17]

รายงานจากบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (.) กล่าวว่า จิตอัมมาเราะฮฺ (อำนาจฝ่ายต่ำ) คือศัตรูตัวฉกาจของมนุษย์, ท่านศาสดา (ซ็อล ) ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ว่าศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดสำหรับเจ้าคืออำนาจฝ่ายต่ำของเจ้า[18] ซึ่งบ่งชี้ให้เห็นถึงระดับของจิตฝ่ายต่ำ

ปรัชญาของการให้นิยามว่าศัตรูที่ร้ายกาจของเจ้าคือจิตฝ่ายต่ำจัดว่าเป็นศัตรูภายในของมนุษย์, ศัตรูภายนอกหรือขโมยข้างนอก, ถ้าหากไม่ร่วมมือกับศัตรูหรือขโมยภายในแล้ว, จะไม่สามารถสร้างอันตรายอันใดแก่เราได้อย่างแน่นอน. ศัตรูภายในนั่นเองที่รู้จักและมีข้อมูลทุกอย่าง ซึงมันได้ใช้ประโยชน์จากข้อมูลเหล่านั้น นำเอาความต้องการของมนุษย์ไปเสนอและรายงานให้ชัยฏอนได้รับรู้

ทางตรงกันข้ามคำสั่งของอิบลิสที่เป็น คำสั่งให้ก่อการเสียหายภายนอก,ได้ตกมาถึงเขาและเขาได้ปฏิบัติตาม ด้วยเหตุนี้เอง จิตอัมมาเราะฮฺจึงถือว่าเป็นพลพรรคของชัยฏอน. ซึ่งคุณลักษณะจำนวนมากมายที่มาจากเขา ได้ถูกนับว่าเป็นพลพรรคของชัยฏอนไปโดยปริยาย[19] ฉะนั้น จิตอัมมาะเราะฮฺซึ่งถือว่าเป็นจิตแห่งเดรัจฉานที่มีอยู่ในมนุษย์,เกิดจากการหยุแหย่และกระซิบกระซาบของชัยฎอน และชัยฏอนจะค่อยๆ ลวงล่อเขาไปที่ละขั้น, จนกระทั่งว่าบุคคลนั้นได้กลายเป็นพลพรรคของชัยฏอนไปโดยปริยาย[20]



[1] ตัฟซีรเนะมูเนะฮฺ, เลาม 25, หน้า 281

[2] ฮักวะตักลีฟ ดัร อิสลาม, อับดุลลอฮฺ ญะวาดี ออมูลี, หน้า 89.

[3] อัลกุรอาน บทยูซุฟ, 53.

[4] นักตัฟซีรบางกลุ่มเชื่อว่า จุดประสงค์จากประโยคดังกล่าวคือศาสดายูซุฟ แต่ทว่าทัศนะนี้ไม่เป็นที่ยอมรับของนักตัฟซีรส่วนใหญ่, ตัฟซีรเนะมูเนะฮฺ, เล่ม 9, หน้า 433, 434

[5] อัลกุรอาน บทยูซุฟ, 53.

[6] อัลกุรอาน บทกิยามะฮฺ, 2 กล่าวว่า : "وَ لا أُقْسِمُ بِالنَّفْسِ اللَّوَّامَةِ"

[7] อัลกุรอาน บทอัลฟัจญฺ, 27 – 28.

[8] ตัฟซีรมีซาน ฉบับแปลภาษาฟาร์ซี, เล่ม 8, หน้า 26,

[9] อัลมุนญิด ฟิลโลเฆาะฮฺ, ตัฟซีรเนะมูเนะฮฺ, เล่ม 1, หน้า 192.

[10] อัลกุรอาน บทอันอาม, 112 กล่าวว่า : وَ کَذلِکَ جَعَلْنا لِکُلِّ نَبِیٍّ عَدُوًّا شَیاطینَ الْإِنْسِ وَ الْجِنِّ ...

[11] อัลกุรอาน บทซ็อด, 82 - 83 กล่าวว่า : "قالَ فَبِعِزَّتِکَ لَأُغْوِیَنَّهُمْ أَجْمَعینَ

[12] ตัฟซีรมีซานฉบับแปล, เล่ม 1, หน้า 631.

[13] อัลกุรอาน บทซ็อด, 82 - 83 กล่าวว่า : "قالَ فَبِعِزَّتِکَ لَأُغْوِیَنَّهُمْ أَجْمَعینَ

[14] ฆอรรอรุลฮิกัม

[15] มะบาดี อัคลาก ดัรกุรอาน, ญะวาดียฺ ออมูลี, หน้า 115.

[16] นะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ, คำเทศนาที่ 7, กล่าวว่า : فنظر بأعینهم ونطق بالسنتهم؛

[17] อัลกุรอาน บทบะเกาะเราะฮฺ, 168กล่าวว่า : انه لکم عدو مبین؛ แท้จริงมารคือศัตรูที่เปิดเผยของสูเจ้า

[18] บิฮารุลอันวาร, เล่ม 67, หน้า 64, : قال النبی (ص): «اعدی عدوک نفسک التی بین جنبیک»

[19] ตัฟซีรตัสนีม,อับดุลลอฮฺ ญะวาดี ออมูลี, เล่ม 8, หน้า 516

[20] อัลกุรอาน บทมุญาดะละฮฺ, 19 กล่าวว่า : «استحوذ علیهم الشیطان فانساهم ذکرالله، اولئک حزب الشیطان؛ชัยฏอนได้เข้าไปครอบงําพวกเขาเสียแล้ว มันจึงทำให้พวกเขาลืมการรำลึกถึงอัลลอฮฺ ชนเหล่านั้นคือบรรดาพรรคพวกของชัยฏอน

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ท่านอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) จะนำศาสนาใหม่และคัมภีร์ที่นอกเหนือจากอัลกุรอานลงมาหรือไม่?
    6380 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/21
    คำถามนี้ไม่มีคำตอบแบบสั้น ปรดเลือกปุ่มคำตอบที่สมบูรณ์ ...
  • เพราะเหตุใดกอบีลจึงสังหารฮาบีล?
    10945 วิทยาการกุรอาน 2554/06/22
    จากโองการอัลกุรอานเข้าใจได้ว่าสาเหตุที่กอบีลได้สังหารฮาบีลเนื่องจากมีความอิจฉาริษยาหรือไฟแห่งความอิจฉาได้ลุกโชติช่วงภายในจิตใจของกอบีลและในที่สุดเขาได้สังหารฮาบีลอย่างอธรรม ...
  • กาสาบานต่อท่านศาสดาและอิมามในเดือนรอมฎอนคือ สาเหตุทำให้ศีลอดเสียหรือ?
    7643 สิทธิและกฎหมาย 2555/07/16
    การสาบาน มิใช่หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ศีลอดเสีย แต่ถ้าได้สาบานโดยพาดพิงสิ่งโกหกไปยังอัลลอฮฺ (ซบ.) ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) และตัวแทนของท่านโดยตั้งใจ ซึ่งสาเหตุนี้เองที่กล่าวว่า เป็นการโกหกที่พาดพิงไปยังอัลลอฮฺ ศาสดา (ซ็อลฯ) และตัวแทนของท่าน ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ศีลอดเสีย ส่วนคำสาบานต่างๆ ที่อยู่ในบทดุอาอฺไม่ถือว่าโกหก ทว่าเป็นการเน้นย้ำและอ้อนวอนให้ตอบรับดุอาอฺที่ขอต่ออัลลอฮฺ ซึ่งไม่ได้เป็นสาเหตุทำให้ศีลอดเสียแต่อย่างใด ...
  • ตามทัศนะของท่านอายะตุลลอฮฺ อัลอุซมา อะลี คอเมเนอี การปรากฏตัวของสตรีที่เสริมสวยแล้ว (ถอนคิว,เขียนตาและอื่นๆ) ต่อหน้าสาธารณชน ท่ามกลางนามะฮฺรัมทั้งหลาย ถือว่าอนุญาตหรือไม่? และถ้าเสริมสวยเพียงเล็กน้อย มีกฎเกณฑ์ว่าอย่างไรบ้าง?
    11113 หลักกฎหมาย 2556/01/24
    คำถามข้อ 1, และ 2. ถือว่าไม่อนุญาต ซึ่งกรณีนี้ไม่มีความแตกต่างกันในเรื่องอุปกรณ์ที่ใช้เสริมสวย คำถามข้อ 3. ถ้าหากสาธารณถือว่านั่นเป็นการเสริมสวย ถือว่าไม่อนุญาต[1] [1] อิสติฟตาอาต จากสำนักฯพณฯท่านอายะตุลลอฮฺ อัลอุซมา คอเมเนอี (ขออัลลอฮฺทรงปกป้อง) ...
  • การบนบานแบบใหนสัมฤทธิ์ผลตามต้องการมากที่สุด?
    13916 สิทธิและกฎหมาย 2554/06/28
    นะซัร(บนบานต่ออัลลอฮ์) คือวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้ได้รับในสิ่งที่ต้องการซึ่งมีพิธีกรรมเฉพาะตัวอาทิเช่นจะต้องเปล่งประโยคเฉพาะซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นภาษาอรับตัวอย่างเช่นการเปล่งประโยคที่ว่า“ฉันขอนะซัรว่าเมื่อหายไข้แล้ว
  • ผมเป็นชาวฟิลิปินส์ ในสถานการณ์ที่ผมไม่สามารถไปหามุจตะฮิดคนใดคนหนึ่งได้ และในกรณีที่ผมไม่มั่นใจว่ามีผู้ที่เป็นซัยยิด (เป็นลูกหลานของท่านศาสดา (ซ.ล.) ที่เป็นผู้ยากไร้อาศัยอยู่ในประเทศของผมหรือไม่นั้น ผมจะต้องจ่ายคุมุสแก่ผู้ใด?
    6884 สิทธิและกฎหมาย 2555/02/05
    คำตอบที่ได้รับมาจากสำนักงานต่างๆของบรรดามัรยิอ์มีดังนี้สำนักงานท่านอายะตุลลอฮ์ซิซตานี–คุณสามารถที่จะแยกเงินคุมุสของท่านไว้และเก็บไว้ก่อนจนกว่าจะมีโอกาสที่จะนำเงินดังกล่าวไปมอบให้กับตัวแทนของท่านอายะตุลลอฮ์สำนักงานท่านอายะตุลลอฮ์มะการิมชีรอซี–สามารถจ่ายทางเว็บไซต์ของมัรญะอ์ดังกล่าวได้คำตอบของท่านอายะตุลลอฮ์ฮาดาวีย์เตหะรานีเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวคือคุณสามารถจ่ายทางอินเตอร์เน็ตได้โดยโอนเงินให้กับมุจตะฮิดหรือตัวแทนของท่านและทางที่ดีควรจ่ายให้กับผู้นำรัฐหรือตัวแทนของท่านในทุกกรณีไม่สามารถจ่ายเงินคุมุสให้กับผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตจากท่านหรือตัวแทนของท่านเสียก่อน ...
  • อาริสโตเติลเป็นศาสดาแห่งพระเจ้าหรือไม่?
    9683 تاريخ بزرگان 2554/09/25
    อาริสโตเติล, เป็นนักฟิสิกส์ปราชญ์และนักปรัชญากรีกโบราณเป็นลูกศิษย์ของเพลโตและเป็นอาจารย์ของอเล็กซานเดอร์มหาราชท่านและเพลโตได้รับยกย่องให้เป็นหนึ่งในนักปรัชญาที่มีอิทธิพลสูงที่สุดท่านหนึ่งในโลกตะวันตก
  • จะปฏิบัติตามบทบัญญัติอิสลามได้อย่างไรในสภาพสังคมบริโภคนิยม มีความแตกแยก และโกหกหลอกลวงกันอย่างแพร่หลาย?
    7908 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/05/31
    บทบัญญัติอิสลามสามารถนำมาใช้ได้สองมิติด้วยกัน บางประการเกี่ยวข้องกับปัจเจกบุคคล และบางประการเกี่ยวข้องกับสังคม ส่วนที่เกี่ยวข้องกับปัจเจกนั้น สามารถปฏิบัติได้ในทุกสภาพสังคม กล่าวคือ หากมุสลิมประสงค์จะปฏิบัติตามบทบัญญัติอิสลามเชิงปัจเจก อาทิเช่น นมาซ ถือศีลอด ฯลฯ แม้สังคมนั้นๆจะเสื่อมทราม แต่ก็ไม่อาจจะเป็นอุปสรรคต่อกิจวัตรส่วนตัวมากนัก แต่บทบัญญัติบางข้อเกี่ยวข้องกับกิจกรรมในสังคมที่สามารถประยุกต์ใช้ในสังคมได้ และเนื่องจากมนุษย์ไฝ่ที่จะอยู่ในสังคม จึงจำเป็นจะต้องอาศัยอยู่และสนองความต้องการของตนภายในสังคม ในมุมมองนี้บุคคลควรปกป้องคุณธรรมศาสนาเท่าที่จะมีความสามารถ และมีหน้าที่จะต้องกำชับกันในความดีและห้ามปรามความชั่วตามสำนึกที่มีต่อสังคม ซึ่งแม้ไม่สัมฤทธิ์ผลก็ถือว่าได้ทำตามหน้าที่แล้ว อนึ่ง ในกรณีที่ต้องใช้ชีวิตในสภาพสังคมเช่นนี้ ควรพึ่งพาตนเองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ...
  • กรุณาอธิบายวิธีตะยัมมุมแทนที่วุฎูอฺและฆุซลฺ ว่าต้องทำอย่างไร?
    10904 สิทธิและกฎหมาย 2555/05/17
    จะทำตะยัมมุมอย่างไร การตะยัมมุมนั้นมี 4 ประการเป็นวาญิบ: 1.ตั้งเจตนา, 2. ตบฝ่ามือทั้งสองข้างลงบนสิ่งที่ทำตะยัมมุมกับสิ่งนั้นแล้วถูกต้อง, 3. เอาฝ่ามือทั้งสองข้างลูบลงบนหน้าผากตั้งแต่ไรผม เรื่อยลงมาจนถึงคิ้ว และปลายมูก อิฮฺติยาฏวาญิบ, ให้เอาฝ่ามือลูบลงบนคิ้วด้วย, 4. เอาฝ่ามือข้างซ้ายลูบหลังมือข้างขวา, หลังจากนั้นให้เอาฝ่ามือข้างขวาลูบลงหลังมือข้างซ้าย คำวินิจฉัยของมัรญิอฺบางท่าน กล่าวถึงการตะยัมมุมแทนวุฎูอฺ และฆุซลฺ ไว้ดังนี้: หนึ่ง. การตะยัมมุมแทนทีฆุซลฺ, อิฮฺยาฏมุสตะฮับ หลังจากทำเสร็จแล้วให้เอาฝ่ามือทั้งสองข้างตบลงบนฝุ่นอีกครั้ง (ตบครั้งที่สอง) หลังจากนั้นให้เอาฝ่ามือลูบลงที่หลังมือข้างขวาและข้างซ้าย[1] มัรญิอฺ บางท่านแสดงความเห็นว่า สิ่งที่เป็นมุสตะฮับเหล่านี้ สมควรทำในตะยัมมุม ที่แทนที่ วุฎูดฺด้วย
  • อิสลามมีทัศนะเกี่ยวกับการอ่านเร็วบางไหม? โปรดให้ความเห็นด้วยว่า อิสลามเห็นด้วยกับการอ่านเร็วไหมในประเด็นใด?
    21184 2555/05/17
    การอ่านเร็ว หรือการอ่านช้าขึ้นอยู่กับบุคคลที่ค้นคว้า ส่วนคำสอนศาสนานั้นมิได้ระบุถึงประเด็นเหล่านี้ แต่สิ่งที่กล่าวถึงเกี่ยวกับการอัลกุรอานคือ จงอ่านด้วยท่องทำนองอย่างชัดเจน ดังที่กล่าวว่า : "وَ رتّلِ القُرآنَ تَرتیلاً" และจงอ่านอัล-กุรอานเป็นจังหวะอย่างตั้งใจ[1] ท่านอิมาม (อ.) กล่าวอธิบายว่า จงอย่ารีบเร่งอ่านอัลกุรอานเหมือนกับบทกลอน และจงอย่าทิ้งช่วงกระจัดกระจายเหมือนก้อนกรวด[2] เช่นเดียวกันรายงานกล่าวว่า ท่านอิมามริฎอ (อ.) จะอ่านอัลกุรอานจบทุกๆ สามวัน ท่านกล่าวว่า ถ้าหากฉันต้องการอ่านให้จบน้อยกว่า 3 วัน ก็สามารถทำได้ แต่เมื่ออ่านโองการเหล่านั้น ฉันจะคิดและใคร่ครวญเกี่ยวกับโองการเหล่านั้นว่า โองการเหล่านั้นกล่าวถึงเรื่องอะไร และถูกประทานลงมาเกี่ยวกับเรื่องอะไร ในเวลาใด, ด้วยเหตุนี้ ฉันจะอ่านอัลกุรอานจบหนึ่งรอบในทุก 3 ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60564 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58151 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42678 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    40077 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39304 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34420 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28482 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28403 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28331 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26254 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...