การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
19049
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/07/10
 
รหัสในเว็บไซต์ fa974 รหัสสำเนา 15031
คำถามอย่างย่อ
เหตุใดอัลลอฮ์จึงกำชับให้ขอบคุณต่อเนียะอฺมัตที่ทรงประทานให้?
คำถาม
หากไม่มองว่าการขอบคุณต่อเนียะอฺมัตจะทำให้ได้รับเนียะอฺมัตเท่าทวีคูณ จะมีเหตุผลใดอีกที่อัลลอฮ์ทรงกำชับให้ต้องขอบคุณพระองค์?
คำตอบโดยสังเขป

“ชุโกร”ในทางภาษาอรับหมายถึง การมโนภาพเนียะอฺมัต(ความโปรดปรานจากพระองค์)แล้วเผยความกตัญญูรู้คุณผ่านคำพูดหรือการกระทำ[i] ส่วนที่ว่าทำไมต้องชุโกรขอบคุณพระองค์ในฐานะที่ประทานเนียะอฺมัตต่างๆนั้น ขอให้ลองพิจารณาประเด็นต่อไปนี้:
1.
ความจำเป็นที่จะต้องขอบคุณผู้ให้ปัจจัยแก่เรานั้น ถือเป็นสัญชาตญาณโดยปกติของมนุษย์ จิตใต้สำนึกของคนเรากำกับให้ต้องแสดงอาการขอบคุณผู้ที่ช่วยเหลือหรือมอบปัจจัยให้ ฉะนั้นเมื่อคนเรารับรู้ได้ว่า มีผู้เปี่ยมด้วยพลานุภาพประทานลาภแก่เราเสมอไม่ว่าวัตถุปัจจัยหรือเนียะอฺมัตอันเป็นนามธรรม เราย่อมหาทางรู้จักผู้นั้นเพื่อแสดงการขอบคุณ ด้วยเหตุนี้เองที่การขอบคุณต่อเนียะอฺมัตของอัลลอฮ์จึงมีที่มาทางสติปัญญามากกว่าจะเป็นข้อบังคับทางศาสนา
2. แม้ว่าอัลลอฮ์ไม่ทรงต้องการคำขอบคุณใดๆจากมนุษย์ แต่ด้วยทรงตระหนักดีว่าการขอบคุณจะนำมาซึ่งผลประโยชน์ในโลกนี้และโลกหน้าแก่เรา จึงได้กำชับให้เราขอบคุณต่อเนียะอฺมัตของพระองค์ อัลกุรอานระบุไว้ว่าผู้ขอบคุณจะได้รับเนียะอฺมัตเพิ่มขึ้น แต่ผู้เนรคุณจะถูกลงโทษอย่างสาสม
3. การขอบคุณถือเป็นกุญแจที่ไขสู่ความผาสุกทั้งปวง และเปรียบดั่งต้นสายปลายเหตุของบาเราะกัตจากพระองค์ ที่จะนำพาให้เราได้ใกล้ชิดความเมตตาของพระองค์ทีละก้าวด้วยความรักที่เรามี ด้วยเหตุนี้ แม้พระองค์จะไม่ต้องการคำขอบคุณจากเรา แต่ด้วยความหวังดีต่อเรา พระองค์จึงกำชับให้เราต้องขอบคุณพระองค์
4. แน่นอนว่าไม่มีใครสามารถขอบคุณเนียะอฺมัตของพระองค์ได้อย่างทั่วถึง ส่วนการขอบคุณที่ประเสริฐสุดก็คือ การสารภาพและขออภัยจากพระองค์เนื่องจากไม่สามารถขอบคุณอย่างครบถ้วน



[i] มุฟร่อด้าต รอฆิบ,หน้า 265,คำว่า ชุกร์.

คำตอบเชิงรายละเอียด

“ชุโกร”ในทางภาษาอรับหมายถึง การมโนภาพเนียะอฺมัต(ความโปรดปรานจากพระองค์)แล้วเผยความกตัญญูรู้คุณผ่านคำพูดหรือการกระทำ[1] ส่วนที่ว่าทำไมต้องชุโกรขอบคุณพระองค์ในฐานะที่ประทานเนียะอฺมัตต่างๆนั้น ขอให้ลองพิจารณาประเด็นต่อไปนี้:
1.
ความจำเป็นที่จะต้องขอบคุณผู้ให้ปัจจัยแก่เรานั้น ถือเป็นสัญชาตญาณโดยปกติของมนุษย์ จิตใต้สำนึกของคนเรากำกับให้ต้องแสดงอาการขอบคุณผู้ที่ช่วยเหลือหรือมอบปัจจัยให้  เพราะผู้มีสามัญสำนึกทุกคนจะถือว่าผู้ที่เนรคุณผู้อื่นด้อยค่ากว่าสิงสาราสัตว์ เนื่องจากสัตว์บางประเภทยังแสดงความซื่อสัตย์ต่อผู้มีบุญคุณ ด้วยเหตุผลทางปัญญาดังกล่าว เมื่อทราบว่าพระองค์ทรงประทานเนียะอฺมัตอันยิ่งใหญ่และมากมายมหาศาลแก่เราไม่จะในด้านวัตถุปัจจัยหรือเนียะอฺมัตอันเป็นนามธรรม เราจึงไม่อาจจะนิ่งดูดายโดยไม่สนใจขอบคุณและให้เกียรติพระองค์เท่าที่จะกระทำได้ นั่นหมายความว่า สามัญสำนึกดังกล่าวที่มนุษย์ทุกคนมีนั้น จะผลักดันให้ต้องทำความรู้จักผู้มีพระคุณต่อเรา เนื่องจากก่อนที่เราจะขอบคุณใครสักคน เราจะต้องรู้จักเขาเสียก่อน[2].

2. การรับรู้คุณประโยชน์ของการขอบคุณจะทำให้เราเข้าใจความจำเป็นดังกล่าว
โดยทั่วไปแล้ว หากรามีโอกาสได้ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น เราก็มักจะคาดหวังให้ผู้อื่นกล่าวขอบคุณ แต่ในกรณีของอัลลอฮ์นั้น พระองค์ทรงไม่ต้องการคำขอบคุณใดๆจากมนุษย์ เพราะแม้มนุษย์ทั้งโลกแสดงท่าทีเนรคุณพระองค์ ก็มิได้ทำให้ความเกรียงไกรของพระองค์พร่องลงแต่อย่างใด ทั้งนี้แม้พระองค์จะไม่ต้องการคำขอบคุณ แต่ก็ทรงกำชับให้มนุษย์แสดงการขอบคุณ เนื่องจากทรงทราบดีถึงผลประโยชน์ที่มนุษย์เองจะได้รับ ดังที่กุรอานกล่าวได้แจ้งข่าวดีแก่ผู้ที่กตัญญูรู้คุณพระองค์ ทว่าเมินเฉยต่อการเนรคุณ
: “ผู้ที่แสดงการขอบคุณ แท้จริงเขาเท่านั้นที่ได้รับคุณประโยชน์จากการขอบคุณ และผู้ใดที่เนรคุณ แท้จริงอัลลอฮ์ทรงไม่ต้องพึ่งพาผู้ใด[3]” ยิ่งไปกว่านั้นยังกล่าวว่าการเนรคุณจะนำมาซึ่งไฟนรกอีกด้วย “...และหากสูเจ้าเนรคุณ แท้จริงการลงทัณฑ์ของข้ายิ่งใหญ่นัก”[4]

ในความเป็นจริงแล้ว อัลลลอฮ์ทรงยิ่งใหญ่เกินกว่าที่จะกลั่นแกล้งผู้ที่เนรคุณพระองค์ ทว่าการเนรคุณจะนำความอัปยศมาสู่มนุษย์โดยอัตโนมัติ อาทิเช่น การขาดแคลนลาภพร และการเลือนหายไปของการบำเพ็ญความดี การเสียสละ และความเอื้ออาทรจากสังคมมนุษย์ ส่วนการขอบคุณผู้ประทานลาภย่อมจะนำมาซึ่งฐานะภาพอันสูงส่งอันเหมาะสมสำหรับมนุษย์ที่แท้จริง
กล่าวคือ การกำชับให้มนุษย์แสดงการขอบคุณพระองค์ก็เพื่อให้ได้รับคุณประโยชน์แก่ตนเอง และหากพิจารณาให้ดีจะเข้าใจถึงเหตุผลที่ต้องขอบคุณพระองค์ดังต่อไปนี้
:
. บุคคลหรือสังคมที่ขอบคุณต่อเนียะอฺมัตพระองค์ด้วยกาย วาจา ใจ ย่อมเป็นเครื่องชี้วัดว่าบุคคลหรือสังคมดังกล่าวควรค่าแก่การได้รับเนียะอฺมัตต่อไป และจากการที่การงานของอัลลอฮ์ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งเหตุและผล ในลักษณะที่พระองค์จะไม่ทรงประทานหรือระงับลาภของผู้ใดโดยปราศจากเหตุอันสมควร เมื่อพิจารณาในกุรอานจะพบว่า การขอบคุณต่อเนียะอฺมัตคือสาเหตุของการเพิ่มพูนเนียะอฺมัต มีฮะดีษจากท่านอิมามอลี(อ.)ว่า“การใหลมาเทมาของเนียะอฺมัตเป็นผลจากการขอบคุณพระองค์”[5]
. เมื่อความกตัญญูรู้คุณแผ่ซ่านในจิตใจมนุษย์แล้ว การขอบคุณพระเจ้าจะนำพาสู่การขอบคุณเพื่อนมนุษย์ แน่นอนว่าการขอบคุณผู้อื่นที่ได้ให้การช่วยเหลือแบ่งเบาภาระ ย่อมจะเป็นการส่งเสริมให้เขามีกำลังใจในการทำความดีต่อไป และจะช่วยพัฒนาศักยภาพของคนในสังคมทั้งในแง่วัตถุและศีลธรรม
. การขอบคุณพระเจ้าจะนำพาสู่การรู้จักพระองค์ ส่งผลให้สามารถสานสัมพันธ์กับพระองค์ได้อย่างแนบแน่น ซึ่งนอกจากจะทำให้รู้จักผู้ประทานลาภแล้ว ยังทำให้ตระหนักถึงคุณค่าของลาภพรที่ได้รับอีกด้วย การตระหนักถึงคุณค่าของเนียะอฺมัตนี้เองที่จะเสริมสร้างความรักที่มีต่อพระองค์ให้เบ่งบานยิ่งขึ้น
3. แน่นอนว่าไม่มีใครสามารถแสดงการขอบคุณพระองค์ได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่า ปัจจัยทั้งหมดที่เราจะใช้ในการขอบคุณพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นความคิด ปัญญา ลิ้น สองมือ สองเท้า ฯลฯ นั้น ล้วนแล้วแต่เป็นเนียะอฺมัตจากพระองค์ทั้งสิ้น นั่นหมายความว่าก่อนที่เราจะคนึงคิดหรือเอ่ยปากขอบคุณลาภอื่นๆของพระองค์ เราก็ต้องขอบคุณลาภแห่งการมีปัจจัยเหล่านี้เสียก่อนด้วย ด้วยเหตุนี้เองที่ฮะดีษต่างๆระบุว่า การขอบคุณพระองค์ที่ประเสริฐสุดก็คือ การขอขมาพระองค์เนื่องจากไม่สามารถขอบคุณพระองค์อย่างครบถ้วนตามรายการเนียะอฺมัตที่ทรงประทานได้  ทั้งนี้เพราะนอกจากวิธีนี้แล้ว ก็ไม่มีวิธีใดที่จะแสดงการขอบคุณที่สอดคล้องกับความยิ่งใหญ่ของพระองค์ได้เลย[6]

สรุปคือ การขอบคุณพระองค์ไม่เพียงแต่มีสาเหตุมาจากสามัญสำนึกของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังเป็นมูลเหตุที่ทำให้ได้รับความผาสุกและความจำเริญจากพระองค์ทุกประการ ส่งผลให้มนุษย์สามารถใกล้ชิดความรักที่มีต่อพระเจ้าทีละระดับ นอกจากนี้ยังเอื้ออำนวยให้มนุษย์เกิดความยำเกรง และส่องสว่างให้พบเส้นทางแห่งการเป็นบ่าวที่ทอดยาวสู่ความผาสุกอันยั่งยืน ด้วยเหตุผลเหล่านี้เอง แม้พระองค์จะไม่ต้องการคำขอบคุณใดๆจากเรา ทว่าด้วยตระหนักถึงคุณประโยชน์ดังที่กล่าวมา พระองค์จึงกำชับให้เราแสดงการขอบคุณพระองค์.



[1] มุฟร่อด้าต รอฆิบ,หน้า 265,คำว่า ชุกร์.

[2] เตาฮีดจากปริทรรศน์ปัญญาและฮะดีษ,ญะอ์ฟัร กะรีมี,กุดเราะตุลลอฮ์ ฟุรกอนี,บทเกี่ยวกับความจำเป็นต้องรู้จักพระเจ้า.(เปลี่ยนแปลงเล็กน้อย)

[3] ซูเราะฮ์ลุกมาน, 12, «وَ مَنْ یَشْکُرْ فَاِنَّما یَشْکُرُ لِنَفْسِهِ وَ مَنْ کَفَرَ فَاِنَّ اللّهَ غَنِىُّ حَمیدٌ».

[4] ซูเราะฮ์อิบรอฮีม, 7, لَئِنْ شَکَرْتُمْ لَأَزیدَنَّکُمْ وَ لَئِنْ کَفَرْتُمْ إِنَّ عَذابی‏ لَشَدیدٌ.

[5] ฆุร่อรุ้ลฮิกัม ฉบับฟารซี,เล่ม 3,หน้า 328, ثمَرَةُ الشُّکْرِ زِیادَةُ النِّعَمِ.

[6] อัคล้ากในกุรอาน,อ.มะการิม ชีรอซี,เล่ม 3,หน้า 80,81.

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • มนุษย์สามารถเข้าถึงเรื่องจิตวิญญาณโดยปราศจากศาสนาได้หรือไม่?
    11213 จริยธรรมทฤษฎี 2555/09/08
    รูปภาพของจิตวิญญาณสมัยที่โจทย์ขานกันอยู่ในปัจจุบัน มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับภาพทางจิตวิญญาณ ในความคิดของเราในฐานะมุสลิมหนึ่ง เนื่องจากความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณของมุสลิมนั้น มีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับคำสอนศาสนา จิตวิญญาณทางศาสนา, วางอยู่บนพื้นฐานของการปฏิบัติตามตำแนะนำสั่งสอนของศาสนา จึงจะก่อให้เกิดสถานดังกล่าว คำแนะนำและความรู้เกี่ยวกับความจริงที่พ้นญาณวิสัย เหนือโลกวัตถุและความจริงที่วางอยู่บนพื้นฐานดังกล่าว จะพบว่ามนุษย์ในระบบของการสร้างสรรค์ มีสถานภาพพิเศษ กำลังดำเนินชีวิตไปในหนทางพิเศษ อันเป็นหนทางที่ต้องอาศัยพฤติกรรมอันเฉพาะบางอย่าง อีกนัยหนึ่ง จิตวิญญาณทางศาสนา เป็นความรู้สึกหนึ่งที่มนุษย์มีต่อข้อเท็จจริง ซึ่งจะพบว่าความรู้สึกนั้นตั้งอยู่เหนือโลกของวัตถุ ขณะเดียวกันก็วางอยู่บนข้อตกลงและเงื่อนไขอันเฉพาะ ถ้าหากพิจารณาสติปัญญาที่มีขอบเขตของจำกัด ในการรู้จักมิติต่างๆ ของการมีอยู่ของมนุษย์ การรับรู้ถึงความต้องการที่แท้จริงของเขา และในที่สุดการเลือกวิธีการต่างๆ ว่าจะดำเนินไปอย่างไร เพื่อไปให้ถึงสิ่งที่ธรรมชาติของมนุษย์ถวิลหา ดังนั้น ตรงนี้จึงไม่อาจพึงความรู้ในเชิงของเหตุผล หรือสติปัญญาได้เพียงอย่างเดียว ทว่าต้องพึ่งคำแนะนำและผู้ชี้นำทาง ซึ่งการทำความเข้าใจ และการครอบคลุมของสิ่งนั้นต้องเหนือกว่า สติปัญญา และสิ่งนั้นก็คือ วะฮฺยู ของพระเจ้า ซึ่งได้มาถึงสังคมมนุษย์โดยผ่านขบวนการของบรรดาเราะซูล ซึ่งได้แนะนำมนุษย์ให้เดินไปสู่สัจธรรมความจริงสูงสุด อัลลอฮฺ (ซบ.) ได้ประทานเราะซูลลงมาคนแล้วคนเล่า ทรงทำให้ศาสนาของพระองค์สมบูรณ์ มนุษย์มีหน้าที่ตรวจสอบโดยละเอียด ...
  • ในวันอีดกุรบาน สามารถจะเชือดสัตว์กุรบานที่เขาหักได้หรือไม่?
    7893 สิทธิและกฎหมาย 2555/03/04
    หากกุรบานในที่นี้หมายถึงการเชือดกุรบานในพิธีฮัจย์ที่ต้องกระทำในวันอีดกุรบาน ณ แผ่นดินมินา อุละมาส่วนใหญ่ให้ทัศนะไว้ว่า หากสัตว์ที่จะนำมาเชือดกุรบานมีเขาแต่เดิมอยู่ ทว่าปัจจุบันไม่มี หรือหักไป สามารถนำมาเชือดกุรบานได้[1] เว้นแต่ว่าเขาภายในหักหรือถูกตัดไป ในกรณีนี้จะทำให้กุรบานไม่ถูกต้อง แต่หากเขาภายนอกหักถือว่าไม่เป็นไร[2] ส่วนการเชือดกุรบานนอกพิธีฮัจย์ที่เหนียตกระทำเพื่อผลบุญในเชิงมุสตะฮับนั้น หากจะเชือดสัตว์ที่เขาหักก็ไม่มีปัญหาใดๆ อย่างไรก็ดี เราได้สอบถามปัญหานี้จากสำนักงานของมัรญะอ์ตักลี้ดท่านต่างๆได้ความดังนี้ อายะตุลลอฮ์คอเมเนอี,ซีสตานี, มะการิมชีรอซี : ไม่มีปัญหาใดๆ อายะตุลลอฮ์ศอฟี โฆลพอยฆอนี: สามารถกระทำได้ อินชาอัลลอฮ์ ขอพระองค์ทรงตอบรับ คำถามนี้ไม่มีคำตอบเชิงรายละเอียด [1] ผู้ที่มีทัศนะเช่นนี้ได้แก่ อายะตุลลอฮ์.. ...
  • ความต่างกิจกรรมของวิญญาณขณะนอนหลับ และสลบคืออะไร?
    16794 ปรัชญาอิสลาม 2555/09/29
    รูปแบบการปฏิสัมพันธ์ระหว่างร่างกายกับจิตวิญญาณขณะตื่นนอน กับการปฏิสัมพันธ์ขณะนอนหลับนั้นมีความแตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้ ตามคำสอนของอิสลามจึงได้เรียกการนอนหลับว่า เป็นพี่น้องของความตาย วิทยาศาสตร์แม้ว่าจะไม่มีข้อมูลการปฏิสัมพันธ์ระหว่างจิตวิญญาณกับร่างกายขณะนอนหลับ แต่สามารถค้นพบการเปลี่ยนแปลงและปฏิกิริยาบางอย่างทางร่างกายขณะนอนหลับได้ บนพื้นฐานของการค้นคว้านั้นและการทำสอบพบว่ามนุษย์มีการนอนหลับในสองระดับ ด้วยนามว่า REM และ Non REM ซึ่งทั้งสองมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยปกติแล้วการความฝันที่มักเกิดในระดับของ Non REM เกิดจากการหลับลึกซึ่งจะไม่อยู่ในความทรงจำ แต่เฉพาะการนอนหลับในระ REM เท่านั้นที่จะคงอยู่ในความทรงจำ ส่วนการสลบหมดสติเกิดจากการเบี่ยงเบนของวิญญาณ และเป็นการหลับที่ลุ่มลึกมาก ทำให้เขาไม่มีความทรงจำอันใดหลงเหลืออยู่ ...
  • มีฮะดีษอยู่บทหนึ่งระบุว่าอัลลอฮ์ทรงยกย่องความบริสุทธิ์ของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ด้วยการไม่ปล่อยให้ลูกหลานของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ตกนรก
    7041 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/01/19
    ฮะดีษนี้ปรากฏอยู่ในตำราฝ่ายซุนหนี่และชีอะฮ์โดยมีความน่าเชื่อถือสูงเนื่องจากมีหลากสายรายงานแต่คำถามที่มีมาตั้งแต่อดีตก็คือความหมายของลูกหลานในฮะดีษนี้ครอบคลุมเพียงใด? เมื่อพิจารณาเทียบกับฮะดีษอื่นๆก็จะเข้าใจได้ว่าฮะดีษนี้เจาะจงเฉพาะบุตรชั้นแรกของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(อ.)เท่านั้นที่ได้รับความเมตตาให้มีภาวะปลอดบาปอันเป็นการสมนาคุณแด่การสงวนตนของท่านหญิงทว่าลูกหลานชั้นต่อๆไปแม้จะได้รับสิทธิบางอย่างแต่จะไม่ได้รับความปลอดภัยจากการลงทัณฑ์อย่างสมบูรณ์ ...
  • ผู้ที่มาร่วมพิธีฝังศพท่านนบี(ซ.ล.)มีใครบ้าง?
    11881 تاريخ بزرگان 2555/03/14
    ตำราประวัติศาสตร์และฮะดีษของฝ่ายอะฮ์ลิสซุนนะฮ์เล่าเหตุการณ์ฝังศพท่านนบี(ซ.ล.)ว่า อลี บิน อบีฏอลิบ(อ.) และฟัฎล์ บิน อับบ้าส และอุซามะฮ์ บิน เซด ร่วมกันอาบน้ำมัยยิตแก่ท่านนบี บุคคลกลุ่มแรกที่ร่วมกันนมาซมัยยิตก็คือ อับบาส บิน อับดุลมุฏ็อลลิบและชาวบนีฮาชิม หลังจากนั้นเหล่ามุฮาญิรีน กลุ่มอันศ้อร และประชาชนทั่วไปก็ได้นมาซมัยยิตทีละกลุ่มตามลำดับ สามวันหลังจากนั้น ท่านอิมามอลี ฟัฎล์ และอุซามะฮ์ได้ลงไปในหลุมและช่วยกันฝังร่างของท่านนบี(ซ.ล.) หากเป็นไปตามรายงานดังกล่าวแล้ว อบูบักรและอุมัรมิได้อยู่ในพิธีฝังศพท่านนบี(ซ.ล.) แม้จะได้ร่วมนมาซมัยยิตเสมือนมุสลิมคนอื่นๆก็ตาม ...
  • ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์มีบุคลิกภาพด้านใดบ้าง?
    11941 ชีวประวัติมะอฺซูม (อ.) 2554/09/22
    มิติบุคลิกภาพด้านต่างๆของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ลึกซึ้งและละเอียดอ่อนในลักษณะที่จะต้องได้รับการพินิจพิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนเท่านั้นจึงจะสามารถประจักษ์ได้ซึ่งการนี้จะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อมีการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับมิติด้านศีลธรรมและจิตใจความรู้และการต่อสู้ของนางทั้งในเชิงการเมืองและสังคมขอหยิบยกบุคลิกภาพอันโดดเด่นของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(ที่กล่าวถึงในตำราฝ่ายซุนหนี่และชีอะฮ์)มานำเสนอโดยสังเขปดังนี้1. ท่านหญิงใช้ชีวิตเรียบง่ายและพอใจวิถีชีวิตสมถะทั้งที่สามารถจะได้รับความสะดวกสบายขั้นสูงสุด2. บริจาคของรักของตนมากมายทั้งที่ยังจำเป็นต้องใช้3. ทำอิบาอะฮ์และวิงวอนต่ออัลลอฮ์สม่ำเสมอด้วยความบริสุทธิใจ4. เป็นภาพลักษณ์แห่งจริตกุลสตรีและความเหนียมอาย5. แบบฉบับที่สมบูรณ์ด้านการสวมฮิญาบตามวิถีอิสลาม6. มีความรู้อันกว้างขวางซึ่งประจักษ์ได้จากการรับทราบเนื้อหาในตำรา"มุศฮัฟฟาฏิมะฮ์"7.
  • บุคคลย้ำคิดย้ำทำที่ได้รับการอนุโลม ถามว่าได้รับการอนุโลมข้อสงสัยทุกประเภทหรือไม่?
    11151 สิทธิและกฎหมาย 2555/02/18
    ตามหลัก “لاشکّلکثیرالشک”แล้ว ผู้ที่ชอบย้ำคิดย้ำทำ(ช่างสงสัย) ไม่ควรให้ความสำคัญแก่การสงสัยของตน อุละมาส่วนใหญ่เชื่อว่าหลักการนี้มิได้จำกัดเฉพาะกรณีการนมาซเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอะมั้ลที่กระทำก่อนนมาซ อาทิเช่น การอาบน้ำนมาซ, ฆุสุลและตะยัมมุม, อีกทั้งรวมไปถึงชุดอิบาดะฮ์อย่างเช่นการทำฮัจย์ และครอบคลุมถึงการทำธุรกรรม และประเด็นความศรัทธาด้วย อุละมายกหลักฐานสนับสนุนทัศนะของตนอันได้แก่ หลักการ لا
  • เมื่อยะซีดได้สั่งให้ทหารจุดไฟเผากะอฺบะ ถ้าได้กระทำแล้ว และเป็นเพราะเหตุใดจึงไม่ถูกลงโทษ?
    10197 تاريخ کلام 2554/12/21
    ในช่วงระยะเวลาการปกครองอันสั้นของยะซีดเขาได้ก่ออาชญากรรมอันเลวร้ายยิ่ง 3 ประการกล่าวคือประการแรกเขาได้สังหารท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.), สองเขาได้ก่อกรรมชั่วอิสระ
  • ชีวิตและจิตวิญญาณต้องนอนหลับหรือตายด้วยหรือไม่ ?
    7121 เทววิทยาดั้งเดิม 2553/12/22
    ปัญหาเรื่องจิตวิญญาณและแก่นแท้ของมันเป็นปัญหาที่พิพาทถกเถียงกันมาตั้งแต่อดีตจวบจนถึงปัจจุบันซึ่งจัดได้ว่าเป็นปัญหาที่มีความสำคัญอย่างยิ่งคำถามข้างต้นก็ได้ก็เป็นผลพวงและแหล่งที่มาจากคำถามนี้เองที่ว่าแก่นแท้ของมนุษย์ก็คือ กายภาพอันเป็นวัตถุตามลักษณะที่ปรากฏกระนั้นหรือหรือว่าเบื้องหลังของมันยังมีสิ่งอื่นที่ซ่อนเร้นอยู่อีกซึ่งตาเนื้อธรรมดาไม่อาจมองเห็นได้ซึ่งอยู่นอกเหนือคุณสมบัติของวัตถุและมีลักษณะศักดิ์สิทธิ์และถ้าเป็นเช่นนั้นจริงสิ่งนั่นเป็นวัตถุหรือนามธรรมที่ไร้สถานะและชะตากรรมของสิ่งนั้นภายหลังจากการตายของร่างกายจะเป็นอย่างไร?คำตอบสำหรับคำถามข้างต้นนี้สามารถอธิบายในเชิงของทฤษฎีบท,ในลักษณะที่เป็นเชิงตรรกะเพื่อจะได้ไปถึงยังบทสรุป
  • ในเมื่อการกดขี่เป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลกแล้ว เหตุใดอิมามมะฮ์ดี (อ.) จึงยังไม่ปรากฏกาย
    6928 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/21
    เมื่อคำนึงถึงประเด็นต่อไปนี้จะทำให้เราค้นหาคำตอบได้ง่ายยิ่งขึ้น1.     เราจะเห็นประโยคที่ว่าیملأ الارض قسطا و عدلا کما ملئت ظلما و جورا" ในหลายๆฮะดิษ[1] (ท่านจะเติมเต็มโลกทั้งผองด้วยความยุติธรรมแม้ในอดีตจะเคยคละคลุ้งไปด้วยความอยุติธรรม) สิ่งที่เราจะเข้าใจได้จากฮะดีษดังกล่าวก็คือ

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60684 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58312 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42788 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    40282 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39409 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34538 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28595 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28501 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28461 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26369 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...