การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
8892
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/06/28
 
รหัสในเว็บไซต์ fa986 รหัสสำเนา 14817
คำถามอย่างย่อ
อะไรคือเหตุผลที่ต้องชำระคุมุสตามทัศนะชีอะฮ์ ต้องนำจ่ายแก่ผู้ใด และเหตุใดพี่น้องซุนหนี่จึงไม่ปฏิบัติ?
คำถาม
อัสลามุอลัยกุม เพราะเหตุใดครึ่งหนึ่งของเงินคุมุสจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของซัยยิด คุมุสมิไช่เรื่องที่ชีอะฮ์กุขึ้นหรอกหรือ เพราะแม้ในกุรอานเองยังกล่าวถึงคุมุสเพียงโองการเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่น้องซุนหนี่ที่เคร่งครัดต่อสุนัตท่านนบี ยังไม่เห็นมีใครรู้เรื่องคุมุสเลย แต่โดยส่วนตัวก็เชื่อว่าคุมุสมีประโยชน์ในการควบคุมทรัพย์สินและช่วยลดช่องว่างชนชั้นในสังคมได้เป็นอย่างดี
คำตอบโดยสังเขป

1. โองการที่กล่าวถึงศาสนกิจโดยเฉพาะนั้น มีไม่มากเมื่อเทียบกับกุรอานทั้งเล่ม เนื่องจากกุรอานจะกล่าวถึงหัวข้อศาสนกิจอย่างกว้างๆเช่น นมาซ ศีลอด ...ฯลฯ และปล่อยให้เป็นหน้าที่ของท่านนบี(..)และตัวแทนของท่านที่จะอธิบายกฏเกณฑ์และเงื่อนไขปลีกย่อย จะเห็นได้จากการที่กุรอานเองก็กล่าวถึงกฏเกณฑ์ของศาสนกิจสำคัญอย่างการถือศีลอด,ฮัจย์ไว้เพียงเล็กน้อย และยังเหลือข้อปลีกย่อยอีกมากที่กุรอานมิได้อธิบาย กรณีคุมุสก็มีลักษณะคล้ายคลึงกัน
2. เกี่ยวกับโองการคุมุส(อันฟาล:41) อุละมาอ์ฝ่ายซุนหนี่ต่างแสดงทัศนะกันอย่างเต็มที่ จากฮะดีษบางบทในตำราของพวกเขา ทำให้ฝ่ายซุนหนี่เองก็ยอมรับว่ามีการจ่ายคุมุสในสมัยท่านนบีจริง ทุกวันนี้ข้อแตกต่างระหว่างฝ่ายซุนหนี่กับชีอะฮ์มิไช่เรื่องการยอมรับหลักการคุมุสหรือไม่ หากแต่เป็นข้อแตกต่างทางรายละเอียดเสียมากกว่า
3. เหตุผลที่นำจ่ายคุมุสครึ่งหนึ่งแก่บรรดาซัยยิด(ลูกหลานนบี)นั้น ก็เพราะอัลลอฮ์ทรงห้ามมิให้บุคคลกลุ่มนี้รับทานซะกาตและเศาะดะเกาะฮ์. เมื่อยังมีซัยยิดที่ขัดสนอยู่ในสังคม กอปรกับความจำเป็นที่ต้องรักษาไว้ซึ่งเกียรติภูมิของท่านนบี(..) จึงอนุญาตให้บุคคลกลุ่มนี้รับเงินคุมุสได้

คำตอบเชิงรายละเอียด

คุมุสถือเป็นศาสนกิจภาคบังคับประเภทหนึ่งในอิสลาม โดยที่กุรอานผูกโยงการมีศรัทธาไว้กับการชำระคุมุสจงทราบเถิด สิ่งที่สูเจ้าได้รับผลกำไรมานั้น เศษหนึ่งส่วนห้าเป็นกรรมสิทธิของอัลลอฮ์ และเราะซู้ล และเครือญาติ และลูกกำพร้า และผู้ขัดสน และผู้พลัดถิ่น หากสูเจ้ามีศรัทธาต่ออัลลอฮ์...”[1]
กุรอานมักจะกล่าวย้ำเกี่ยวกับเตาฮีด วันกิยามะฮ์ และสภาวะการเป็นเราะซู้ลอยู่บ่อยครั้ง ในขณะที่กล่าวถึงกฏเกณฑ์ศาสนกิจค่อนข้างน้อย ว่ากันว่ามีโองการประเภทนี้เพียง 500 โองการเท่านั้น ซึ่งหากตัดโองการที่ซ้ำหรือคล้ายคลึงกันออกไป ก็จะเหลือเพียงไม่กี่ร้อยโองการ[2] ในขณะที่กฏเกณฑ์และรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆของศาสนกิจแต่ละประเภทนั้น มีจำนวนมากกว่าโองการเหล่านี้หลายเท่าทวีคูณ ด้วยเหตุนี้เอง ในกรณีที่บทบัญญัติศาสนกิจใดไม่มีโองการกุรอานระบุไว้ ผู้รู้ศาสนาทุกแขนงมัซฮับจึงต้องหาคำตอบโดยอาศัยหลักฐานจากฮะดีษที่เชื่อถือได้.

ฉะนั้น เมื่อพิจารณาจากการที่ศาสตร์แห่งฟิกเกาะฮ์มีความหลากหลายมากขึ้น กอปรกับการที่มีฮะดีษจากท่านนบี(..)และบรรดาอิมาม(.)มากมายที่สามารถตอบปัญหาทางศาสนกิจได้ เมื่อนั้น หากพบว่ากุรอานกล่าวเกี่ยวกับคุมุสเพียงโองการเดียว ก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดอีกต่อไป เพราะสามารถศึกษากฏเกณฑ์รายละเอียดได้จากฮะดีษที่มีความน่าเชื่อถือจากบรรดาอิมาม() หรืออีกตัวอย่างก็คือ การที่กุรอานกล่าวถึงศาสนกิจสำคัญๆ อย่างการถือศีลอดและการทำฮัจย์ไว้เพียงสามถึงสี่โองการเท่านั้น[3] รายละเอียดปลีกย่อยของรุก่นอิสลามอย่างการนมาซก็ไม่ได้มีการกล่าวถึงในกุรอาน ผู้รู้ของทุกมัซฮับจึงต้องศึกษาเพิ่มเติมจากฮะดีษเพื่อให้แตกฉาน อย่างไรก็ดี แม้กุรอานจะกล่าวถึงคุมุสเพียงโองการเดียว แต่เป็นโองการที่ชัดเจนและครอบคลุมเนื้อหาสำคัญได้เป็นอย่างดี.

ท่านอัลลามะฮ์ ฏอบาฏอบาอี อธิบายโองการดังกล่าวไว้ว่าغنمหรือغنیمهนั้น หมายถึงการได้มาซึ่งรายได้ ไม่ว่าจะด้วยการค้าขาย งานช่างฝีมือ หรือจากการสงคราม[4] และแม้ว่าในโองการจะกล่าวถึงสินสงครามก็จริง แต่กรณีตัวอย่างไม่อาจจะเจาะจงความหมายของคำๆหนึ่งได้[5] ฉะนั้น ความหมายของคำดังกล่าวยังคงเป็นความหมายเชิงกว้าง และจากรูปประโยคในโองการทำให้เข้าใจได้ว่าหมายถึงทุกสิ่งที่เรียกว่าผลกำไรได้ อันนอกเหนือจากสินสงครามแล้ว การทำเหมืองแร่ กรุสมบัติ ไข่มุกที่ต้องดำน้ำลงไปเก็บ และ... อิมามญะว้าด(.)กล่าวว่าสินสงครามและผลกำไรที่พวกท่านได้มา จะต้องชำระคุมุสหลังจากนั้นท่านได้อัญเชิญโองการคุมุส[6]
ฉะนั้น แม้ว่ากุรอานจะกล่าวถึงเพียงกรณีของสินสงคราม แต่อิมาม(.)ได้อธิบายเพิ่มเติมถึงผลกำไรประเภทอื่นด้วย อัลลามะฮ์ ฏอบาฏอบาอีกล่าวว่า“...ทัศนะที่ว่าคุมุสมิได้จำกัดเฉพาะสินสงครามนั้น เราได้มาจากฮะดีษมากมายในระดับมุตะวาติร(เชื่อถือได้)”[7]

ส่วนคำว่าذی القربیนั้น หมายถึงเครือญาติใกล้ชิด ซึ่งในโองการนี้หมายถึงเครือญาติของท่านนบี(..) ซึ่งฮะดีษบางบทระบุชัดเจนว่าหมายถึงบุคคลบางกลุ่มในหมู่เครือญาตินบี(..)มิไช่ทั้งหมด.[8]
มีฮะดีษในขุมตำราฝ่ายซุนหนี่มากมายที่ระบุว่า มีการแจกจ่ายคุมุสในสมัยท่านนบี(..)จวบจนวาระสุดท้ายของชีวิตท่าน สุยูฏีรายงานจากอิบนิ อบี ชัยบะฮ์ ซึ่งรายงานจาก ญุบัยร์ บิน มุฏอิมว่าท่านนบีได้แจกจ่ายส่วนของซิลกุ้รบา”(เครือญาตินบี) แก่บนีฮาชิมและลูกหลานอับดุลมุฏ็อลลิบ ฉันและอุษมาน บิน อัฟฟานจึงเดินเข้าไปหาท่านพร้อมกับกล่าวว่า ท่านจะแจกให้ลูกหลานอับดุลมุฏ็อลลิบซึ่งเป็นพี่น้องของเรา โดยที่ไม่แจกให้เราบ้างกระนั้นหรือ? ทั้งๆที่เราและพวกเขาเป็นเครือญาติชั้นเดียวกัน ท่านนบีตอบว่าพวกเขา(บนีฮาชิม)ไม่เคยหนีห่างจากเราทั้งยุคญาฮิลียะฮ์และยุคอิสลาม[9]

ตำราฟิกเกาะฮ์ของฝ่ายซุนหนี่ล้วนมีเนื้อหาเกี่ยวกับคุมุสทั้งสิ้น บางเล่มแทรกในหมวดของซะกาต ส่วนบางเล่มแทรกไว้ในหมวดญิฮาด. กอฎี อิบนุ รุชด์(เสียชีวิต 595..) กล่าวไว้หลังแจกแจงทัศนะฝ่ายซุนหนี่เกี่ยวกับคุมุสว่ายังมีทัศนะที่ขัดแย้งกันในหมู่สหาย(ผู้รู้อะฮ์ลิสซุนนะฮ์)ว่าบุคคลกลุ่มใหนจึงจะเรียกว่าซิลกุรบาบ้างกล่าวว่าหมายถึงบนีฮาชิมเท่านั้น บ้างเชื่อว่าบนีฮาชิมและบนีอับดุลมุฏ็อลลิบ อย่างไรก็ดี ฮะดีษของญุบัยร์ บิน มุฏอิมคือแหล่งอ้างอิงของทัศนะที่สอง.”[10]

สรุปเบื้องต้นได้ว่า คุมุสมิไช่ประเด็นที่กุขึ้นโดยชีอะฮ์แต่ประการใด ข้อแตกต่างหลักระหว่างทัศนะชีอะฮ์และซุนหนี่เกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ ชีอะฮ์เชื่อว่าบทบัญญัติคุมุสยังคงบังคับใช้เช่นเดิม เนื่องจากเครือญาติของท่านนบีที่เดือดร้อนขัดสนยังมีอยู่ในสังคม อิมามชาฟิอีก็เชื่อว่าคุมุสในส่วนของซิลกุรบามิได้ถูกยกเลิกภายหลังนบีวะฝาตเช่นกัน.[11]

ส่วนเหตุผลที่ต้องชำระคุมุสและแบ่งครึ่งหนึ่งให้แก่บุคคลที่เป็นซัยยิด(เชื้อสายนบี):
1.
ในสังคมมุสลิม ผู้นำจะต้องมีงบประมาณไว้ส่วนหนึ่ง เพื่อธำรงค์ไว้ซึ่งศาสนาของอัลลอฮ์ บังคับใช้กฏหมายของพระองค์ และบริหารสังคมให้อยู่เย็นเป็นสุข ผู้นำสังคมอย่างท่านนบี(..) บรรดาอิมาม(.) และเหล่าอุละมาอ์ซึ่งเป็นตัวแทนในยุคที่อิมามเร้นกายนั้น ล้วนแล้วแต่มีค่าใช้จ่ายเพื่อกิจการสาธารณะเช่น ช่วยเหลือผู้ยากไร้ สร้างและดูแลมัสญิด จัดทัพออกสงคราม และกิจกรรมการกุศลอื่นๆ ซึ่งงบประมาณส่วนนี้ได้รับมาจากคุมุส ดังที่ท่านอิมาม(.)กล่าวว่าคุมุสช่วยให้เราทำนุบำรุงศาสนาของพระองค์ได้[12]
2. 
คุมุสช่วยพัฒนาจิตวิญญาณให้สมบูรณ์ เนื่องจากผู้ที่ชำระคุมุสตั้งเจตนาปลีกตัวจากกิเลศ และมุ่งแสวงหาความพอพระทัยจากอัลลอฮ์อันเป็นความไพบูลย์สูงสุด.[13]

ส่วนสาเหตุที่ต้องแบ่งคุมุสครึ่งหนึ่งให้แก่เหล่าซัยยิดนั้น เบื้องต้นต้องคำนึงว่าทั้งคุมุสและซะกาตล้วนเป็นภาษีสำหรับรัฐอิสลามทั้งสิ้น ทั้งนี้ก็เพื่อแบ่งสรรงบประมาณอย่างเป็นธรรม และช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสในสังคม อย่างไรก็ดี ยังมีข้อแตกต่างระหว่างคุมุสกับซะกาตตรงที่ว่า ซะกาตถือเป็นทรัพย์สินส่วนรวม การจำหน่ายงบประมาณจึงเป็นไปตามจุดประสงค์เพื่อสาธารณะเป็นหลัก ส่วนคุมุสนับเป็นภาษีที่หล่อเลี้ยงรัฐอิสลามโดยตรง ค่าใช้จ่ายของรัฐและผู้ดำเนินการจะได้จากส่วนนี้ เมื่อทราบดังนี้จึงเข้าใจได้ว่า การที่บรรดาซัยยิดถูกห้ามไม่ให้รับซะกาตก็ถือเป็นมาตรการที่ต้องการแยกลูกหลานศาสดาออกจากทรัพย์สินส่วนนี้ เพื่อไม่ให้ศัตรูสร้างข้อครหาได้ว่านบีมุฮัมมัด(..)จัดแจงให้ลูกหลานของตนเข้าไปแทรกแซงทรัพย์สินส่วนรวม แต่อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่าในหมู่ซัยยิดก็มีผู้ขัดสนอยู่เช่นกัน ซึ่งก็ต้องได้รับการช่วยเหลือเหมือนคนอื่นๆ สรุปคือ การได้รับคุมุสมิไช่การปฏิบัติสองมาตรฐานเพื่อยกยอซัยยิด แต่เป็นเพียงมาตรการที่ตราไว้เพื่อไม่ให้เป็นข้อครหาในภายหลัง[14] เป็นไปได้อย่างไรที่อิสลามพร้อมที่จะจ่ายงบประมาณซะกาตเพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้ทั่วไป แต่กลับปล่อยลูกหลานนบีให้อดอยากปากแห้งโดยไม่เหลียวแล?! ฉะนั้นหลักการคุมุสจึงมิไช่สิทธิพิเศษเพื่อสรรเสริญเยินยอชนชั้นซัยยิด ทั้งนี้เพราะในแง่จำนวนเงินที่ได้รับก็ไม่ได้มากไปกว่าคนทั่วไปแต่อย่างใด กล่าวได้ว่าอิสลามมีสองกองทุน กองทุนคุมุสและกองทุนซะกาต ผู้ยากไร้ไม่ว่าซัยยิดหรือคนทั่วไป ต่างก็มีสิทธิได้รับการช่วยเหลือจากแต่ละกองทุนในจำนวนเท่ากัน นั่นคือจำนวนเงินที่พอเพียงสำหรับหนึ่งปี. ผู้ยากไร้ทั่วไปได้รับจากกองทุนซะกาต และผู้ยากไร้ที่เป็นซัยยิดจะได้รับจากกองทุนคุมุส และบรรดาซัยยิดไม่มีสิทธิแตะต้องซะกาตเลยแม้แต่บาทเดียว.



[1] ซูเราะฮ์อันฟาล,41.

وَ اعْلَمُوا أَنَّما غَنِمْتُمْ مِنْ شَیْ‏ءٍ فَأَنَّ لِلَّهِ خُمُسَهُ وَ لِلرَّسُولِ وَ لِذِی الْقُرْبى‏ وَ الْیَتامى‏ وَ الْمَساکینِ وَ ابْنِ السَّبیلِ إِنْ کُنْتُمْ آمَنْتُمْ بِاللَّهِ و...

[2] กันซุลอิรฟาน,อะกี้ก บัคชอเยชี,หน้า 29.

[3] อ้างแล้ว,หน้า 179,242.

[4] อัลมีซานฉบับแปลฟารซี,เล่ม 9,หน้า 118.

[5] อ้างแล้ว,เล่ม 9,หน้า120.

[6] วะซาอิลุชชีอะฮ์,เล่ม 6,หน้า 8.(บทว่าด้วยสิ่งที่เป็นวาญิบต้องนำจ่ายคุมุส)

[7] อัลมีซานฉบับแปลฟารซี,เล่ม 9,หน้า 136,137.

[8] อ้างแล้ว,เล่ม 9,หน้า 118.

[9] อัดดุรรุล มันษู้ร,เล่ม 3,หน้า 186,อ้างจากอัลมีซาน,เล่ม 9,หน้า 138.

[10] อิบนิ รุชด์,บิดายะตุ้ลมุจตะฮิด,หมวดญิฮาด,หน้า 382,383.

[11] รวมคำถามคำตอบ,เล่ม10,หน้า32.(อะห์กามคุมุส)

[12] อิมามริฏอกล่าวว่า ان اخراجه (خمس) مفتاح رزقکم و تمحیص ذنوبکم (การชำระคุมุสเป็นกุญแจสู่ริซกีและจะนำมาซึ่งอภัยโทษจากพระองค์)วะซาอิลุชชีอะฮ์,เล่ม 6,บทว่าด้วยอันฟาล,บท 3,เล่ม 2.

[13] ตัฟซีร เนมูเนะฮ์,เล่ม 7,หน้า 184.

[14] อ้างแล้ว,หน้า183.

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • อิมามฮะซัน มุจญฺตะบา (อ.) ได้สมรสกับหญิงหลายคน และหย่าพวกนางหรือ?
    7735 ชีวประวัติมะอฺซูม (อ.) 2555/08/22
    หนึ่งในประเด็น อันเป็นความเสียหายใหญ่หลวง และน่าเสียใจว่าเป็นที่สนใจของแหล่งฮะดีซทั่วไปในอิสลาม, คือการอุปโลกน์และปลอมแปลงฮะดีซ โดยนำเอาฮะดีซเหล่านั้นมาปะปนรวมกับฮะดีซที่มีสายรายงานถูกต้อง โดยกลุ่มชนที่มีความลำเอียงและรับจ้าง ท่านอิมามฮะซัน มุจญฺตะบา (อ.) เป็นอิมามผู้บริสุทธิ์ท่านที่สอง, เป็นหนึ่งในบุคคลที่บรรดานักปลอมแปลงฮะดีซ ได้กุการมุสาพาดพิงไปถึงท่านอย่างหน้าอนาถใจที่สุด ในรูปแบบของรายงานฮะดีซ ซึ่งหนึ่งในการมุสาเหล่านั้นคือ การแต่งงานและการหย่าร้างจำนวนมากหลายครั้ง แต่หน้าเสียใจตรงที่ว่า รายงานเท็จเหล่านี้บันทึกอยู่ในแหล่งอ้างอิงฮะดีซและหนังสือประวัติศาสตร์ ทั้งซุนนียฺและชีอะฮฺ แต่ก็หน้ายินดีว่าหลักฐานทางประวัติศาสตร์ หลักความเชื่อที่ถูกต้องมีอยู่อยู่มือจำนวนไม่น้อยเช่นกัน ซึ่งทำให้การอุปโลกน์และปลอมแปลงฮะดีซของพวกเขาเป็นที่ประจักษ์ชัดเจน ...
  • เพราะเหตุอะไร เราจึงซัจญฺดะฮฺในซิยารัตอาชูรอ เพื่อขอบคุณพระเจ้า เนื่องจากโศกนาฏกรรมดังกล่าว?
    21843 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/05/20
    การขอบคุณความโปรดปราน เป็นหนึ่งในหัวข้อที่บันทึกอยู่ในแหล่งอ้างอิงรายงานของเรา ซึ่งมีสถานภาพอันเฉพาะเจาะจงพิเศษ[1] มนุษย์ผู้ศรัทธาและเชื่อมั่นต่อพระเจ้าก็เนื่องจากว่า เขามีการรู้จักที่ถูกต้องเกี่ยวกับพระเจ้า และการสร้างสรรค์ของพระองค์, และทุกสิ่งจากพระเจ้าที่ได้ตกมาถึงพวกเขา, เขาจะขอบคุณ, เนื่องจากมนุษย์เหล่านี้, เขาจะปฏิบัติหน้าที่กำหนดจากพระเจ้าร่วมไปด้วย และเมื่อประสบอุปสรรคปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะดีหรือร้ายแรง เขาต่างแสดงความจำนนต่อพระเจ้า และถือว่าสิ่งเหล่านั้นอยู่ในหนทางนำไปสู่ความสมบูรณ์ ในหนทางของพระเจ้า ท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ในตอนบ่ายของวันอาชูรอ, ท่านได้อยู่ร่วมกับสหายคนอื่น ร่วมแซ่ซ้องสดุดีต่อพระเจ้า ทั้งที่ทั้งความดีงามและความเลวร้าย ได้ประสบแด่ท่าน : ประโยคที่กล่าวว่า "احمده على السرّاء والضرّاء" โอ้ อัลลอฮฺ ไม่ว่าฉันจะอยู่ในสภาพปกติ หรืออยู่ในสภาพเศร้าหมอง,ฉันก็จะขอขอบคุณพระองค์ เพื่อว่าฉันจะได้รับความสัมฤทธิผล ด้วยการช่วยเหลือของพระองค์ ได้ชะฮีดและอยู่ร่วมกับบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ "الحمد للّه الذی أکرمنا ...
  • เพราะเหตุใดอัลกุรอานบางโองการ มีความหมายขัดแย้งกับความบริสุทธิ์ของศาสดา
    8548 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/04/21
    คำตอบสำหรับคำถามข้างต้นสามารถกล่าวได้ว่า1) คำว่าอิซมัตเป็นสภาพหนึ่งทางจิตวิญญาณที่เกิดขึ้นกับบุคคลที่มีความบริสุทธิ์อันเป็นสาเหตุทำให้บุคคลนั้นหันหลังให้กับบาปกรรมพฤติกรรมชั่วร้ายและความผิดต่างๆโดยสิ้นเชิงอีกทั้งสภาพดังกล่าวยังปกป้องบุคคลนั้นให้รอดพ้นจากความผิดพลาดและการหลงลืมโดยปราศจากการปฏิเสธเจตนารมณ์เสรีหรือมีการบีบบังคับให้บุคคลนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์2. ...
  • ทำไมจึงเรียกการไว้อาลัยแด่ซัยยิดุชชูฮะดาว่า การอร่านร็อวเฎาะฮ์?
    6277 تاريخ کلام 2554/12/10
    สำนวน “ร็อวเฎาะฮ์” เกิดขึ้นเนื่องจากการนำบทต่างๆในหนังสือ “ร็อวเฎาะตุชชุฮะดา”มาอ่านโดยนักบรรยายหนังสือเล่มนี้เป็นหนึ่งในหนังสือเล่มแรกๆที่กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกัรบาลาซึ่งเขียนโดยมุลลาฮุเซนกาชิฟซับซะวอรี (เกิด 910 ฮ.ศ.) เป็นหนังสือภาษาฟาร์ซีหนังสือเล่มนี้ใช้อ่านในการไว้อาลัยมาเป็นเวลาช้านานแล้วดังนั้นพิธีต่างๆที่มีการไว้อาลัยจึงเรียกว่าการร็อวเฎาะฮ์ถึงปัจจุบัน
  • การมองอย่างไรจึงจะถือว่าฮะรอมและเป็นบาป?
    9079 สิทธิและกฎหมาย 2554/11/21
    คำถามนี้ไม่มีคำตอบแบบสั้น ปรดเลือกปุ่มคำตอบที่สมบูรณ์ ...
  • ระหว่างการกระทำกับผลบุญที่พระองค์จะทรงตอบแทนนั้น มีความสอดคล้องกันหรือไม่?
    7486 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/10/18
    การสัญญาว่าจะมอบผลบุญให้อย่างที่กล่าวมามิได้ขัดต่อความยุติธรรมหรือหลักดุลยภาพระหว่างการกระทำกับผลบุญแต่อย่างใดเพราะหากจะนิยามความยุติธรรมว่าคือ"การวางทุกสิ่งในสถานะอันเหมาะสม"ซึ่งในที่นี้ก็คือการวางผลบุญบนการกระทำที่เหมาะสมก็ต้องเรียนว่ามีความเหมาะสมเป็นอย่างดีเนื่องจาก ก. จุดประสงค์ของฮะดีษที่อธิบายผลบุญเหล่านี้คือการเน้นย้ำถึงความสำคัญของอิบาดะฮ์ที่กล่าวถึงมิได้ต้องการจะดึงฮัจย์หรือญิฮาดลงต่ำแต่อย่างใดซ้ำยังถือว่าฮะดีษประเภทนี้กำลังยกย่องการทำฮัจย์หรือญิฮาดทางอ้อมได้อีกด้วยเนื่องจากยกให้เป็นมาตรวัดอิบาดะฮ์ประเภทอื่นๆ
  • มีคำอรรถาธิบายอย่างไรเกี่ยวกับโองการที่เก้า ซูเราะฮ์ญิน?
    11601 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/04/02
    นักอรรถาธิบายกุรอานแสดงทัศนะเกี่ยวกับโองการประเภทนี้แตกต่างกัน นักอรรถาธิบายยุคแรกส่วนใหญ่เชื่อว่าควรถือตามความหมายทั่วไปของโองการ แต่“อาลูซี”ได้หักล้างแนวคิดดังกล่าวพร้อมกับนำเสนอคำตอบไว้ในตำราอธิบายกุรอานของตน นักอรรถาธิบายบางคนอย่างเช่นผู้ประพันธ์ “ตัฟซี้รฟีซิล้าล”ข้ามประเด็นนี้ไปอย่างง่ายดายเพราะเชื่อว่าโองการประเภทนี้เป็นเนื้อหาที่พ้นญาณวิสัยของมนุษย์ ส่วนบางคนก็อธิบายลึกซึ้งกว่าความหมายทั่วไป โดยเชื่อว่าฟากฟ้าที่เป็นเขตพำนักของเหล่ามลาอิกะฮ์นี้ เป็นมิติที่พ้นญาณวิสัยที่มีสถานะเหนือกว่าโลกของเรา ส่วนการที่กลุ่มชัยฏอนพยายามเข้าใกล้ฟากฟ้าดังกล่าวเพื่อจารกรรมข้อมูล จึงถูกกระหน่ำด้วยอุกกาบาตนั้น หมายถึงการที่เหล่าชัยฏอนต้องการจะเข้าสู่มิติแห่งมลาอิกะฮ์เพื่อจะทราบถึงเหตุการณ์ในอนาคต แต่ก็ถูกขับไล่ด้วยลำแสงของมิติดังกล่าวซึ่งชัยฏอนไม่สามารถจะทนได้ ...
  • สรรพสัตว์นั้นมีจิตวิญญาณหรือไม่ ถ้าหากมีชีวิตของสัตว์กับมนุษย์แตกต่างกันอย่างไร
    14034 เทววิทยาใหม่ 2554/04/21
    ก่อนที่จะเข้าเรื่องสิ่งจำเป็นที่ต้องกล่าวถึงคือพื้นฐานของคำตอบที่จะนำเสนอนั้นวางอยู่บนพื้นฐานของฮิกมัตมุตะอาลียะฮฺ (ฟัลซะฟะฮฺ
  • กรุณาอธิบายเกี่ยวกับฮูรุลอัยน์ และถามว่าจะมีฮูรุลอัยน์เพศชายสำหรับสุภาพสตรีชาวสวรรค์หรือไม่?
    11928 การตีความ (ตัฟซีร) 2554/07/16
    สรวงสวรรค์นับเป็นความโปรดปรานที่พระองค์ทรงมอบเป็นรางวัลสำหรับผู้ศรัทธาและประพฤติดีโดยไม่มีข้อจำกัดทางเพศจากการยืนยันโดยกุรอานและฮะดีษพบว่า “ฮูรุลอัยน์”คือหนึ่งในผลรางวัลที่อัลลอฮ์ทรงมอบให้ชาวสวรรค์น่าสังเกตุว่านักอรรถาธิบายกุรอานส่วนใหญ่ต่างเห็นพ้องต้องกันว่าในสวรรค์ไม่มีพิธีแต่งงานส่วนคำว่าแต่งงานกับฮูรุลอัยน์ที่ปรากฏในกุรอานนั้นตีความกันว่าหมายถึงการมอบฮูรุลอัยน์ให้เคียงคู่ชาวสวรรค์โดยไม่ต้องแต่งงาน.นอกจากนี้คำว่าฮูรุลอัยน์ยังสามารถใช้กับเพศชายและเพศหญิงได้ทำให้มีความหมายกว้างครอบคลุมคู่ครองทั้งหมดในสวรรค์ไม่ว่าจะเป็นเนื้อคู่สาวสำหรับชายหนุ่มผู้ศรัทธาหรืออาจจะเป็นเนื้อคู่หนุ่มสำหรับหญิงสาวผู้ศรัทธา[i]นอกจากเนื้อคู่แล้วยังมี“ฆิลมาน”หรือบรรดาเด็กหนุ่มที่คอยรับใช้ชาวสวรรค์ทั้งชายและหญิงอีกด้วย[i]ดีดอเรย้อร(โลกหน้าในครรลองวะฮีย์),อ.มะการิมชีรอซี,หน้า
  • ในเมื่อการกดขี่เป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลกแล้ว เหตุใดอิมามมะฮ์ดี (อ.) จึงยังไม่ปรากฏกาย
    6800 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/21
    เมื่อคำนึงถึงประเด็นต่อไปนี้จะทำให้เราค้นหาคำตอบได้ง่ายยิ่งขึ้น1.     เราจะเห็นประโยคที่ว่าیملأ الارض قسطا و عدلا کما ملئت ظلما و جورا" ในหลายๆฮะดิษ[1] (ท่านจะเติมเต็มโลกทั้งผองด้วยความยุติธรรมแม้ในอดีตจะเคยคละคลุ้งไปด้วยความอยุติธรรม) สิ่งที่เราจะเข้าใจได้จากฮะดีษดังกล่าวก็คือ

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60486 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58066 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42592 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39941 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39229 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34341 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28391 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28317 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28250 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26187 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...