การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
6347
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2550/12/08
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1874 รหัสสำเนา 26996
คำถามอย่างย่อ
เพราะเหตุใดจึงได้เลือก อัดลฺ ซึ่งเป็นหนึ่งในคุณลักษณะของพระเจ้า เป็นหลักศรัทธา?
คำถาม
เพราะเหตุใดในหลักศรัทธา จึงได้เลือกอัดลฺ ซึ่งเป็นหนึ่งในซิฟัตของอัลลฮฺ แล้วทำไม่เลือกซิฟัตอื่น?
คำตอบโดยสังเขป

หลักอุซูลของชีอะฮฺประกอบด้วย เตาฮีด, อัดลฺ, มะอาด, นะบูวัต, และอิมามะฮฺ. อัดลฺ แม้ว่าจะเป็นซิฟัตหนึ่งของอัลลอฮฺ แต่ในหลักการศรัทธาแล้วก็เหมือนกับ ซิฟัตอื่นๆ ของพระองค์ จำเป็นต้องวิพากในเตาฮีด แต่เนื่องจากความสำคัญของอัดลฺ จึงได้แยกอธิบายไว้ต่างหาก

สาเหตุที่ อัดลฺ มีความสำคัญเนื่องจาก อัดลฺ คือสาเหตุของการแยกระหว่างหลักเทววิทยาของฝ่าย อัดลียะฮฺ (ชีอะฮฺและมุอฺตะซิละฮฺ) ออกจากฝ่ายอะชาอิเราะฮฺ

ซิฟัตหนึ่งถ้าพิสูจน์ว่ามีหรือไม่มี จะได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันและตรงข้ามกัน แน่นอน จำเป็นต้องกล่าวว่าฝ่ายอะชาอิเราะฮฺ ปฏิเสธไม่ยอมรับเรื่องความยุติธรรมของพระเจ้า ทว่ากล่าวว่า ความยุติธรรม หมายถึงอัลลอฮฺกระทำภารกิจของพระองค์ แม้ว่าในแง่ของสติปัญญา สิ่งนั้นจะเป็นความอธรรมก็ตาม

คำตอบเชิงรายละเอียด

หลักศรัทธาของมัซฮับชีอะฮฺ ประกอบด้วย เตาฮีด, อัดลฺ, นะบูวัต, อิมามะฮฺ และมะอาด ซึ่งมุสลิมทั้งหมดมีความเชื่อร่วมกันในหลัก เตาฮีด นะบูวัต และมะอาด ส่วนในเรื่องอัดลฺ และอิมามะฮฺ นั้นเฉพาะเจาะจงสำหรับมัซฮับชีอะฮฺ 12 อิมามเท่านั้น ส่วนมัซฮับอื่นๆ ของอิสลาม (ยกเว้นมุอฺตะซิละฮฺเพราะมีความเชื่อในความยุติธรรมของพระเจ้าเหมือนชีอะฮฺ) จะมีความแตกต่างกัน

อัดลฺ หรือความยุติธรรมแม้ว่าจะเป็นหนึ่งในซิฟัตของอัลลอฮฺ แต่ในนิยามของหลักศรัทธาคำว่า เตาฮีด นั้นครอบคลุมเรื่อง อัดลฺ และซิฟัตอื่นๆ ของอัลลอฮฺด้วย แต่เนื่องจาก อัดลฺ เป็นประเด็นที่มีความสำคัญยิ่ง และเป็นสาเหตุของการแยกตัวออกระหว่างสำนักคิด อะชาอิเราะฮฺ กับอัดดะลียฺ (ชีอะฮฺอิมามียะฮฺและมุอฺตะซิละฮฺ ซึ่งทั้งสองเชื่อในเรื่องความยุติธรรมของพระเจ้า) ซึ่งมีผลสะท้อนอย่างมากมาย และได้แยกเอา อัดลฺ มาอธิบายต่างหาก พร้อมกับถือว่า อัดลฺ เป็นหนึ่งในหลักอุซูล, ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วมัซฮับหลักเรื่องเทววิทยาในโลกอิสลาม แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มด้วยกันประกอบด้วย อะชาอิเราะฮฺ มุอฺตะซิละฮฺ และชีอะฮฺ ซึ่งมุอฺตะซิละฮฺ และชีอะฮฺนั้นมีความเชื่อเรื่องความยุติธรรมของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้จึงเรียกว่า อัดลียะฮฺ[1]

ความหมายของอัดลฺ :

การเชื่อเรื่อง อัดลฺ เป็นสาขาหนึ่งของหลักความเชื่อเรื่อง ฮุสนฺและกุบฮฺอักลียะฮฺ (ความดีและชั่วทางภูมิปัญญา)[2] ฝ่ายอัดลียะฮฺเชื่อว่า การกระทำทั้งหมดทั้งที่เป็นตักวีนียะฮฺ และตัชรีอียะฮฺ ล้วนเกี่ยวข้องกับอัลลอฮฺ ซึ่งอธิบายให้เห็นความดีและความชั่ว สติปัญญาของมนุษย์ในระดับหนึ่งสามารถจำแนกการกระทำที่ดีและชั่วได้ หมายถึงอัลลอฮฺ (ซบ.) จะไม่ทรงกระทำสิ่งที่ไม่ดี สิ่งนี้มิได้หมายความว่า (ขอให้ห่างไกล) เป็นการสั่งให้พระองค์กระทำ หรือสั่งห้ามหรือสั่งใช้กับพระองค์ ทว่าหมายถึง การงานที่ไม่ดีเป็นไปไม่ได้ที่จะออกมาจากพระองค์ แน่นอน ทัศนะของมุอฺตะซิละฮฺในประเด็นนี้ มีจุดอ่อนอยู่บ้าง ซึ่งจะวิเคราะห์ในที่ของมัน »ส่วนความเชื่อของชีอะฮฺ ซึ่งได้เจริญรอยตามบรรดามะอฺซูม«[3] อธิบายว่า อัดลฺ เป็นหนึ่งในซิฟัตที่มีอยู่จริงในอัลลอฮฺ และมีความสัมบูรณ์[4] หมายถึงอัลลอฮฺจะไม่อยุติธรรมเด็ดขาด และพระองค์จะไม่กระทำสิ่งไม่ดีที่ขัดแย้งกับสติปัญญาสมบูรณ์อย่างแน่นอน[5] ฝ่ายอัดลียะฮฺได้พิสูจน์ให้เห็นว่า กฎของความดีความชั่วเป็นเหตุผลทางสติปัญญา และพิสูจน์ให้เห็นบทสรุปที่ว่ากฎข้อนี้ก็เหมือนกับกฎข้ออื่นในทางเทววิทยา เช่น กฎลุฏฟฺ หรือกฎวาญิบต้องขอบคุณผู้ประทานความโปรดปราน ปัญหาเรื่องการบีบบังคับ และการเลือกสรร[6]

อะชาอิเราะฮฺ, ประวัติความเชื่อ :

อะชาอิเราะฮฺ ได้กล่าวเรียกกลุ่มชนที่ปฏิบัติตามแนวคิดของ “อบุลฮะซัน อัชอะรี” ซึ่งเป็นชาวเมืองบะซะเราะฮฺ เขาเป็นศิษย์เอกที่มีความอัจฉริยะ ของอบูอะลี ญะบาอียฺ (เชคมุอฺตะซิละฮฺ)  แต่ต่อมาเขาได้แยกตัวออกไปจากอาจารย์ของตน และสถาปนาสำนักคิดด้านเทววิทยาขึ้นใหม่ สาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้เขาต้องแยกตัวไปจาก สำนักคิดมุอฺตะซิละฮฺคือ การวิภาษเรื่องความยุติธรรมของอัลลอฮฺ และอัลกุรอานเป็นสิ่งถูกสร้าง การแยกตัวของเขาเกิดขึ้นราวปี ฮ.ศ. ที่ 300[7]

แนวทางของพวกอัชอะรี ที่ใช้วิภาษกับพวกมุอฺตะซิละฮฺ ได้ใช้เหตุผลและหลักวิพากวิทยา เป็นแนวทางที่สนับสนุน ฝ่ายอะฮฺซุนนะฮฺ เป็นอย่างดี

ประเทศมุสลิมส่วนใหญ่ ที่นับถือมัซฮับอะฮฺลิซซุนนะฮฺวะญะมาอะฮฺ ส่วนมากจะเป็นอัชอะรียฺทั้งสิ้น[8]

การเติบโตของสำนักคิดวิพากวิทยาฝ่ายอัชอะรียฺ ที่มีเหนือสำนักคิดอื่นของซุนนีด้วยกันนั้น แน่นอนว่าหลีกหนีไม่พ้นเรื่องการเมือง ซึ่งต้องยอมรับว่าการเมืองในสมัยนั้นจะเข้าข้างและสนับสนุนฝ่ายอัชอะรียฺเสียเป็นส่วนใหญ่ แรงกดดันจากฝ่ายปกครองซึ่งตรงกับยุคของอับบาซซี ที่มีต่อฝ่ายมุอฺตะซิละฮฺ และฝ่ายเหตุผลนิยมได้เริ่มต้นตั้งแต่สมัย มุตะวักกิล จนถึงสมัยของมุกตะดิร ซึ่งอยู่ระหว่างปี ฮ.ศ. 295-320 และได้กดดันอย่างต่อเนื่องเรื่อยไป ซึ่งในช่วงระยะเวลานั้น (295-320) เป็นช่วงที่ อบุลฮะซัน อัชอะรียฺ ได้กลับใจออกจากสำนักคิด มุอฺตะซิละฮฺ และเข้าสู่แนวคิดฝ่ายฮะดีซ ซึ่งเป็นหลักความเชื่อที่เคาะลิฟะฮฺอับบาซซียฺ ยอมรับ และหลังจากนั้นไม่นานเขาได้กลายเป็นซุลต่านปกครองเมือง ซัลญูกียฺ[9]

หลักความเชื่อของอะชาอิเราะฮฺ :

อบุลฮะซัน อัชอะรียฺ ได้แบ่งหลักวิพากวิทยาของตนออกเป็น 4 รุกุ่นด้วยกัน ซึ่งแต่ละรุกุ่นนั้นได้แบ่งออกเป็น 10 รุกุ่น ซึ่งจะชี้ให้เห็นบางรุกุ่นของเขา ซึ่งเกี่ยวข้องกับคำอธิบายของเรา[10]

อัลลอฮฺคือ ผู้ทรงสร้างการงานของปวงบ่าว

อัลลอฮฺ สามารถมอบหมายหน้าเกินกำลังสามารถแก่ปวงบ่าวได้ (หมายถึงสามารถกระทำการงาน ที่ในแง่ของสติปัญญาถือว่าไม่ดี ทรงทำได้)

อัลลอฮฺ สามารถลงโทษปวงบ่าวที่ไม่มีความผิดได้

ในกรณีที่ไม่มีอิมามที่คู่ควร เงื่อนไขในการปฏิบัติตาม จำเป็นต้องทำตามอะฮฺกามของซุลต่าน

ผู้กระทำความผิดใหญ่ ถ้าหากไม่ได้ขออภัยโทษและได้จากโลกไป การตัดสินของเขาอยู่ ณ อัลลอฮฺ หรืออัลลอฮฺ อาจยกโทษให้เขาด้วยความเมตตาของพระองค์ หรืออาจได้รับชะฟาอัตจากบรรดาศาสดา

ในทำนองเดียวกันเขากล่าวว่า ในแง่ของสติปัญญาไม่มีสิ่งใดบ่งบอกให้เห็นความดี และความชั่วของสรรพสิ่ง ทว่าสิ่งใดก็ตามถ้า ชัรอฺ ยอมรับว่าดี สิ่งนั้นคือความดี แต่ถ้าสิ่งใดก็ตามที่ชัรอฺ ถือว่าไม่ดี พึงรู้ไว้เถิดว่า สิ่งนั้นไม่ดี หมายถึงอัลลอฮฺ ทรงสามารถนำผู้เชื่อฟังปฏิบัติตาม ลงนรกได้ และให้อยู่ในนั้นตลอดไป หรือให้ผู้ที่กระทำความผิดใหญ่เข้าสวรรค์ได้ ทั้งหมดอยู่ในอำนาจของพระองค์ ซึ่งทั้งหมดเหล่านี้เป็นความจำเป็นของ สิ่งที่เป็นโมฆะ ซึ่งมีผลโดยตรงกับชีวิตของมนุษย์ทั้งที่เป็นปัจเจกบุคคล และสังคมส่วนรวม ทำให้พวกเขาปฏิเสธเรื่อง ความดีและความชั่วในแง่ของสติปัญญา ปฏิเสธเรื่องความยุติธรรมของพระเจ้า ซึ่งสิ่งนี้กลายเป็นสาเหตุสำคัญให้นักปราชญ์ฝ่าย อัดลียะฮฺ ยึดถือเอา อัดลฺ ซึ่งเป็นหนึ่งในซิฟัตของอัลลอฮฺ เป็นหนึ่งในหลักความเชื่อของตน

อย่างไรก็ตามมีคำกล่าวว่า อะชาอิเราะฮฺ มิได้ปฏิเสธความยุติธรรมของพระเจ้า แต่ความยุติธรรมในหลักการของเขา หมายถึงสิ่งที่อัลลอฮฺทรงกระทำ สติปัญญาไม่สามารถจำแนกสิ่งนั้นได้

หัวข้อเกี่ยวข้อง :

หัวข้อ : ความเข้าใจเกี่ยวกับความยุติธรรมในอุซูลลุดดีย, คำถามที่ 147 (ไซต์ : 2950)

 


[1] ออมูเซซ อะกออิด, อายะตุลลอฮฺ มิซบาฮฺ ยัซดี, หน้า 161

[2] มิลัลวะเนะฮัล,อายะตุลลอฮฺ ซุบฮานี,เล่ม 2, หน้า 332.

[3] ออมูเซซ อะกออิดฐ หน้า 162.

[4] ตัรญุมมะฮฺ บิดายะตุลมะอาริฟ เล่ม 1, หน้า 112.

[5] อัซลุชชีอะฮฺ วะอุซูลลุฮา, เชคมุฮัมมัด ฮุซัยนฺ อาลิ กาชิฟุล ฆิฏออฺ, หน้า 74.

[6] อ้างแล้ว, หน้า 75.

[7] ฟังฮังฟิร็อกอิสลาม, มุฮัมมัดญะวาด มัชเกวะรี, หน้า 54.

[8] อ้างแล้ว, หน้า 56.

[9] อ้างแล้ว, หน้า 56, มิลัลวะเนะฮัล,อายะตุลลอฮฺ ซุบฮานี,เล่ม 2, หน้า 31

[10] ฟังฮังฟิร็อกอิสลาม, หน้า 56, 57, 58.

 

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ท่านสุลัยมาน (อ.) หลังจากได้สูญเสียบุตรชายไป จึงได้วอนขออำนาจการปกครอง แต่ท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) กล่าว่า โอ้ อะลีหลังจากเจ้าแล้วโลกจะพบกับความหายนะ?
    9441 ข้อมูลน่ารู้ 2556/08/19
    เหตุการณ์แห่งกัรบะลาอฺ เราได้เห็นท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) คือแบบอย่างของความอดทน และการยืนหยัด ขณะที่ท่านมีความประเสริฐและฐานันดรที่สูงส่ง เมื่อเทียบกับบรรดาศาสดาทั้งหลาย (อ.) หรือแม้แต่ศาสดาที่เป็นเจ้าบทบัญญัติก็ตาม แต่ท่านได้กล่าวขณะท่านอิมามอะลี (อ.) ชะฮาดัตว่า “โอ้ อะลีเอ๋ย หลังจากเจ้าแล้วโลกจะพบกับหายนะ” ถ้าพิจารณาตามอัลกุรอาน โองการที่กล่าวถึงสอนให้รู้ว่า ทั้งคำพูดและความประพฤติของท่านศาสดาสุลัยมาน (อ.) เป็นความประเสริฐหนึ่ง ดังนั้น เรามีคำอธิบายอย่างไรกับคำกล่าวอย่างสิ้นหวังของท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) กรุณาหักล้างคำพูดดังกล่าวด้วยเหตุผลเชิงสติปัญญา แม้ว่าคำพูดของท่านศาสดาสุลัยมาน (อ.) จะชี้ให้เห็นถึง ฐานะภาพความยิ่งใหญ่ของท่านก็ตาม และความโปรดปรานอันอเนกอนันต์จากอัลลอฮฺ ซึ่งเมือเทียบกับสามัญชนทั่วไปแล้ว ดีกว่ามากยิ่งนัก แต่เมื่อเทียบกับฐานะภาพเฉพาะของท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ไม่อาจเทียบเทียมกันได้ เนื่องจากโองการเหล่านี้ หนึ่ง,แสดงให้เห็นว่าท่านศาสดาสุลัยมาน ในชั่วขณะหนึ่งเกิดความลังเล แต่มิได้ละทิ้งสิ่งที่ดีกว่า และการที่ท่านได้สูญเสียบุตรชายไปนั้น ถือว่าเป็นหนึ่งในชะตากรรม สอง, บุตรชายที่ท่านได้สูญเสียไปนั้นเป็นเด็กที่ไม่สมบูรณ์ และคลอดเร็วเกินกว่ากำหนด ดังนั้น โดยปรกติการสูญเสียบุตรลักษณะนี้ จะไม่เป็นสาเหตุทำให้ผู้เป็นบิดามารดาต้องเสียใจหรือระทมทุกข์อย่างหนัก แต่ท่านอิมามฮุซัยนฺ ...
  • การยกภูเขาฏู้รขึ้นเหนือศีรษะบนีอิสรออีลหมายความว่าอย่างไร?
    6031 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/04/02
    ในหลายโองการมีสำนวน وَ رَفَعْنا فَوْقَكُمُ الطُّور ปรากฏอยู่ ซึ่งล้วนเกี่ยวกับบนีอิสรออีลทั้งสิ้น ตำราอรรถาธิบายกุรอานอธิบายว่าโองการเหล่านี้กล่าวถึงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นเนื่องจากความดื้อรั้นของบนีอิสรออีลในยุคของท่านนบีมูซา(อ.) อัลลอฮ์ย่อมมีพลานุภาพที่จะยกภูเขาฏู้รบางส่วนให้ลอยขึ้นเหนือศีรษะของบนีอิสรออีล ดังที่ทรงเคยสร้างดวงดาวนับล้านๆดวง สร้างจักรภพและจักรวาลให้เคลื่อนที่ในอวกาศโดยมีระยะห่างที่เหมาะสม การที่จะเกิดเหตุการณ์ดังที่กุรอานเล่าไว้จึงไม่ไช่เรื่องเหลือเชื่อในแง่วิทยาศาสตร์และสติปัญญา ...
  • การกระทำใดบ้างที่ส่งผลให้คนเราแลดูสง่ามีราศี?
    5578 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/28
    ในมุมมองของอิสลามความสง่างามแบ่งได้เป็นสองประเภทอันได้แก่ความงดงามภายนอกและภายใน.ปัจจัยที่สร้างเสริมความสง่างามภายในตามที่ฮะดีษบ่งบอกไว้ก็คือความอดทนความสุขุมความยำเกรง...ฯลฯ
  • ฮะดีซต่างๆ ในหนังสือกาฟียฺ สามารถอธิบายความอัลกุรอานได้หรือไม่?
    6866 تألیفات شیعی 2555/07/16
    นักรายงานฮะดีซผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งคือ มุฮัมมัด บิน ยะอฺกูบ กุลัยนียฺ (รฮ.) เป็นหนึ่งในปราชญ์ผู้อาวุโสฝ่ายชีอะฮฺ และเป็นหนึ่งในนักรายงานฮะดีซที่เชื่อถือได้มากที่สุดของฝ่ายอิมามียะฮฺ ท่านอยู่ในยุคสมัยการเร้นกายระยะสั้นของท่านอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) และยังเป็นผู้ประพันธ์หนังสือ อุซูลกาฟียฺ อันเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้เอง จะเห็นว่ารายงานส่วนใหญ่ในหนังสือกาฟียฺล้วนเป็นที่เชื่อถือ แต่หนังสือกาฟียฺก็เหมือนกับหนังสือฮะดีซทั่วไปที่มีรายงานอ่อนแอ และไม่น่าเชื่อถืออยู่บ้าง ตามทัศนะของชีอะฮฺและอะฮฺลุซซุนนะฮฺ มีฮะดีซที่ถูกต้องจำนวนมากมายจากท่านศาสดา (ซ็อลฯ) และอิมามผู้บริสุทธิ์ บันทึกอยู่ในหนังสือญะวามิอฺริวายะฮฺ ซึ่งฮะดีซจำนวนมากเหล่านั้นได้ตัฟซีรโองการอัลกุรอาน ซึ่งหนึ่งในฮะดีซทรงคุณค่าเหล่านั้นคือ หนังสือกาฟียฺ ...
  • ถ้าหากชาวสวรรค์มีการแบ่งชั้นอยู่ ดังนั้นสำหรับชาวนรกแล้วเป็นเช่นนี้ด้วยหรือไม่?
    10912 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/04/07
    สิ่งที่อัลกุรอานและรายงานฮะดีซ กล่าวไว้เกี่ยวกับชั้นต่างๆ ของนรก,ก็คือนรกนั้นมีชั้นเหมือนกับสวรรค์[1]ที่แบ่งออกเป็นชั้นต่างๆ ซึ่งชาวนรกทั้งหลายจะถูกพิพากษาไปตามความผิดที่ตนได้กระทำไว้หนักเบาต่างกันไป, ซึ่งเขาจะถูกนำไปพักอยู่ในชั้นนรกเหล่านั้นเพื่อลงโทษในความผิดที่ก่อขึ้น รายงานบทหนึ่งจากท่านอิมามบากิร (อ.) กล่าวเกี่ยวกับโองการที่ว่า «لَها سَبْعَةُ أَبْوابٍ لِكُلِّ بابٍ مِنْهُمْ جُزْءٌ مَقْسُوم»[2] สำหรับนรกมีเจ็ดประตู และทุกประตูมีสัดส่วนที่ถูกจัดไว้แล้ว (สำหรับผู้หลงทาง) ท่านอิมาม (อ.) กล่าวว่า ได้มีรายงานมาถึงฉันว่า อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงแบ่งนรกออกเป็น 7 ชั้น 1.ชั้นที่หนึ่ง : เป็นชั้นที่สูงที่สุดเรียกว่า “ญะฮีม” ชาวนรกในชั้นนี้จะถูกให้ยืนอยู่บนโขดหินที่ร้อนระอุด้วยความยากลำบาก กระดูกและสมองของเขาจะเดือดพล่านเนื่องจากความร้อนนั้น
  • เพราะเหตุใดจึงต้องคลุมฮิญาบ และทำไมอิสลามจำกัดสิทธิสตรี?
    13901 ปรัชญาของศาสนา 2554/06/21
    สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีมีความคล้ายคลึงกันในแง่ของการที่มีต้นกำเนิดเดียวกันและการที่ควรได้รับความเสมอภาคทางสังคมอาทิเช่นการศึกษา, การแสดงความเห็น...ฯลฯอย่างไรก็ดีในแง่สรีระและอารมณ์กลับมีข้อแตกต่างหลายประการข้อแตกต่างเหล่านี้เองที่ส่งผลให้เกิดบทบัญญัติพิเศษอย่างเช่นการสวมฮิญาบในสังคมทั้งนี้ก็เนื่องจากสุภาพสตรีมีความโดดเด่นในแง่ความวิจิตรสวยงามแต่สุภาพบุรุษมีความโดดเด่นในแง่ผู้แสวงหาด้วยเหตุนี้จึงมีการเน้นย้ำให้สุภาพสตรีสงวนตนในที่สาธารณะมากกว่าสุภาพบุรุษทั้งนี้และทั้งนั้นหาได้หมายความว่าจะมีข้อจำกัดด้านการแต่งกายเพียงสุภาพสตรีโดยที่สุภาพบุรุษไม่ต้องระมัดระวังใดๆไม่. ...
  • จริงหรือไม่ที่ทุกคนมีญินเป็นคู่กำเนิด?
    13125 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/01/15
    มีฮะดีษหลายบทที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับคู่กำเนิดบางบทระบุว่าอัลลอฮ์ทรงมีดำรัสแก่อิบลีสว่า “ข้าจะไม่ประทานบุตรแก่มนุษย์คนใดเว้นแต่จะประทานบุตรแก่เจ้าเช่นกัน” ฉะนั้นมนุษย์แต่ละคนย่อมมีคู่กำเนิดเป็นญิน[1]ท่านนบี(ซ.ล.)เคยกล่าวว่า “พูดได้ว่าทุกคนต่างก็มีคู่กำเนิดเป็นญินด้วยกันทั้งสิ้น” สาวกถามว่าโอ้ศาสนทูตของพระองค์ท่านเองก็มีญินคู่กำเนิดด้วยหรือ? ท่านตอบว่า “มีสิแต่พระองค์ทรงทำให้เขายอมสยบต่อฉันโดยที่เขาไม่ทำอะไรนอกจากกำชับให้ทำความดี”[2]จากฮะดีษข้างต้นท่านนบี(ซ.ล.)ต้องการจะกำชับให้เราป้องกันและระวังภัยจากญินคู่กำเนิดที่จะล่อลวงเนื่องจากอยู่ใกล้ชิดเราดังนั้นเมื่อคำนึงถึงการที่อัลลอฮ์ทรงแต่งตั้งศาสดาเพื่อชี้นำมนุษยชาติและอีกด้านหนึ่งก็เป็นที่ทราบกันดีว่าชัยฏอนและพงศ์พันธุ์ของมันจ้องจะหลอกลวงให้มนุษย์หลงทางตลอดเวลาแน่นอนว่าบุคคลที่หลงลืมอัลลอฮ์เท่านั้นที่ชัยฏอนจะสามารถกุมบังเหียนได้ดังที่พระองค์ทรงตรัสในกุรอานว่า “และผู้ใดที่เพิกเฉยต่อการรำลึกถึงเราเราจะส่งชัยฏอนยังเขาเพื่อให้เป็นคู่สหาย”[3][1]มัจลิซี,มุฮัมมัดบากิร
  • จะพิสูจน์ตำแหน่งอิมามและเคาะลีฟะฮ์ของท่านอิมามอลี(อ.)ได้อย่างไร?
    5668 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/07/20
    อิสลามเป็นสถาบันศาสนาที่จำเป็นต้องได้รับการขับเคลื่อนและดูแลรักษาโดยผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมทั้งนี้ก็เพื่อถ่ายทอดสารธรรมคำสอนของอิสลามแก่ชนรุ่นหลังตลอดจนบังคับใช้บทบัญญัติในสังคมมุสลิมอย่างรอบคอบจากการที่การชี้นำมนุษย์สู่หนทางที่เที่ยงตรงถือเป็นจุดประสงค์หลักที่อัลลอฮ์ทรงสร้างสากลจักรวาลวิทยปัญญาแห่งพระองค์ย่อมกำหนดว่าภายหลังการจากไปของท่านนบี(ซ.ล.) ควรจะต้องมีผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำต่อไปทั้งนี้ก็เพื่อธำรงค์ไว้ซึ่งศาสนาและทางนำสำหรับมนุษยชาติและไม่ทอดทิ้งมนุษย์ให้อยู่กับสติปัญญา(ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกกิเลสครอบงำ)
  • กรุณาเล่าถึงพจนารถของอิมามอลี(อ.)ที่ว่า อะไรคือสิ่งจำเป็นและอะไรคือสิ่งจำเป็นกว่า อะไรคือปัญหาและอะไรคือปัญหาที่ใหญ่กว่า สิ่งใดน่าฉงนใจและสิ่งใดน่าฉงนใจกว่า สิ่งใดอยู่ใกล้ และสิ่งใดอยู่ใกล้กว่า?
    5742 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/01/15
    อัลลามะฮ์มัจลิซีได้รายงานฮะดีษบทหนึ่งไว้ในหนังสือบิฮารุลอันว้ารว่า “มีผู้สอบถามอิมามอลีว่าอะไรคือสิ่งจำเป็นและอะไรคือสิ่งจำเป็นกว่าอะไรคือปัญหาและอะไรคือปัญหาที่ใหญ่กว่าสิ่งใดน่าฉงนใจและสิ่งใดน่าฉงนใจกว่าสิ่งใดอยู่ใกล้และสิ่งใดอยู่ใกล้กว่า? แต่ก่อนที่ชายผู้นั้นจะถามจนจบท่านอิมามได้ตอบด้วยบทกวีที่ว่า...توب رب الورى واجب علیهمو ترکهم للذنوب اوجب‏و الدهر فی صرفه عجیبو غفلة الناس فیه اعجب‏
  • เพราะเหตุใดกอบีลจึงสังหารฮาบีล?
    9243 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2554/06/22
    จากโองการอัลกุรอานเข้าใจได้ว่าสาเหตุที่กอบีลได้สังหารฮาบีลเนื่องจากมีความอิจฉาริษยาหรือไฟแห่งความอิจฉาได้ลุกโชติช่วงภายในจิตใจของกอบีลและในที่สุดเขาได้สังหารฮาบีลอย่างอธรรม ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    57898 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    55402 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    40665 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    37592 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    36500 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    32637 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    26826 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    26383 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    26149 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    24292 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...