การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
5589
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/08/23
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1444 รหัสสำเนา 16136
คำถามอย่างย่อ
จริงหรือไม่ที่บางคนเชื่อว่าพระเจ้าเป็นเพียงแค่พลังงานเท่านั้น?
คำถาม
จริงหรือไม่ที่บางคนเชื่อว่าพระเจ้าเป็นเพียงแค่พลังงานเท่านั้น?
คำตอบโดยสังเขป

อัลลอฮ์ทรงดำรงอยู่โดยไม่พึ่งพาสิ่งใด ทรงปรีชาญาณ ทรงมีเจตน์จำนง และปราศจากข้อจำกัดและความบกพร่องทุกประการ แต่พลังงานยังมีข้อบกพร่องและข้อจำกัดมากมาย อีกทั้งยังปราศจากความรู้และการตัดสินใจ
เมื่อเทียบคุณสมบัติของพลังงานกับคุณลักษณะของพระเจ้า ก็จะทราบว่าพระเจ้ามิไช่พลังงานอย่างแน่นอน เนื่องจาก:
พลังงานคือสิ่งที่ขับเคลื่อนให้เกิดกริยาและปฏิกริยาต่างๆ โดยพลังงานมีลักษณะที่หลากหลายไม่ตายตัว และสามารถผันแปรได้หลายรูปแบบ พลังงานมีคุณสมบัติเด่นดังนี้
1. พลังงานมีสถานะตามวัตถุที่บรรจุ
2. พลังงานมีแหล่งกำเนิด
3. พลังงานมีข้อจำกัดบางประการ
4. พลังงานเปลี่ยนรูปได้
แต่อัลลอฮ์มิได้ถูกกำกับไว้โดยวัตถุใดๆ ไม่มีแหล่งกำเนิด ไม่มีข้อจำกัด และไม่เปลี่ยนรูปแบบ กุรอานก็กล่าวถึงอัลลอฮ์ว่าพระองค์ไม่ต้องพึ่งพาสิ่งใด และปราศจากข้อบกพร่องและข้อจำกัดทุกประการ
จากการเปรียบเทียบข้างต้น จะทำให้เข้าใจอย่างง่ายดายว่าพระเจ้ามิไช่พลังงาน

คำตอบเชิงรายละเอียด

เบื้องต้นเราจะนิยามความหมายของพลังงาน พร้อมทั้งอธิบายถึงคุณสมบัติเฉพาะของพลังงาน แล้วจึงเปรียบเทียบคุณสมบัติดังกล่าวกับคุณลักษณะของพระเจ้า (โดยอาศัยข้อมูลเชิงวิชาการจากวิชาฟิสิกข์ โองการกุรอาน และเหตุผลทางสติปัญญาจากวิชาเทววิทยา) ท้ายที่สุดก็จะนำเสนอข้อสรุปเกี่ยวกับประเด็นนี้

นิยามของพลังงาน
พลังงาน (Energy) หมายถึง ความสามารถของสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่จะทำงาน (Work) พลังงานมีรูปแบบที่ไม่ตายตัว และสามารถเปลี่ยนรูปจากรูปแบบหนึ่งไปสู่รูปแบบอื่นได้[1]

คุณสมบัติเฉพาะของพลังงาน
เมื่อพิจารณาถึงคำนิยามข้างต้น รวมถึงข้อมูลอื่นๆที่แหล่งอ้างอิงทางวิชาการระบุไว้[2] ทำให้ทราบได้ว่าพลังงานมีคุณสมบัติเฉพาะดังต่อไปนี้
1. พลังงานต้องมีแหล่งกำเนิด (source) และเกิดจากกระบวนการทางฟิสิกข์หรือเคมีเสมอ
2. พลังงานได้รับอิทธิพลจากวัตถุ (อาทิเช่น พลังงานแสงอาทิตย์ที่เคยเข้าใจกันว่าไม่ได้เกิดจากวัตถุ แต่ในความเป็นจริงก็เกิดจากปฏิกริยาทางเคมีระหว่างองค์ประกอบต่างๆ)[3]
3. พลังงานสามารถแปรเป็นค่าได้ พลังงานทุกประเภทเมื่อพิจารณาถึงแหล่งกำเนิด จะมีขนาด(ความใหญ่)และมาตรวัด (Dimension)เฉพาะตัว
4. พลังงานยังมีข้อจำกัดบางประการอยู่ (อย่างเช่นพลังงานแสงที่เดินทางเป็นเส้นตรงเท่านั้น และไม่สามารถส่องผ่านวัตถุทึบแสงได้)
5. พลังงานสามารถเปลี่ยนแปลงรูปได้ (อย่างเช่นพลังงานศักย์ของสปริงที่ถูกกดไว้จะกลายเป็นพลังงานจลน์เมื่อปล่อยอิสระ หรือพลังงานศักย์ของน้ำในเขื่อนที่จะก่อให้เกิดพลังงานจลน์ขับเคลื่อนไดนาโม) นักฟิสิกข์ชั้นนำอย่างไอนสไตน์ก็พิสูจน์แล้วว่าวัตถุสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงาน และพลังงานก็เปลี่ยนเป็นวัตถุได้[4]

เปรียบเทียบคุณสมบัติพลังงานกับคุณลักษณะของพระเจ้า
เมื่อพิจารณาคุณสมบัติข้างต้น แล้วนำมาเปรียบเทียบกับคุณลักษณะของอัลลอฮ์ดังที่กุรอานและตำราหลักศรัทธาที่มีชื่อเสียงกล่าวไว้[5] เราจะพบว่าคุณสมบัติของพลังงานกับคุณลักษณะของอัลลอฮ์ขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง ทั้งนี้เนื่องจากพระเจ้าทรงดำรงอยู่โดยไม่พึ่งพาสิ่งใด ทรงปรีชาญาณ ทรงมีเจตน์จำนง และบริสุทธิ์ปราศจากข้อจำกัดและความบกพร่องทุกประการ แต่พลังงานยังมีข้อบกพร่องและข้อจำกัดมากมาย อีกทั้งยังปราศจากความรู้และการตัดสินใจ
ฉะนั้น พระเจ้าจึงไม่ได้รับอิทธิพลจากวัตถุ ไม่มีแหล่งกำเนิด(source) ไม่สามารถคำนวนเป็นค่าเชิงปริมาณ และไม่เปลี่ยนรูปแบบ

กุรอานอธิบายว่า อัลลอฮ์ทรงไม่ต้องพึ่งพาสิ่งใด ปราศจากข้อจำกัดและความบกพร่องทุกประการ
จะเห็นได้จากการที่กุรอานใช้คำว่าอัลลอฮุศศ่อมัด[6] ซึ่งแปลว่าอัลลอฮ์ผู้ไม่ทรงต้องพึ่งพาสิ่งใด แสดงว่าพระองค์ไม่มีแหล่งสถิต เพราะการมีแหล่งสถิตหมายถึงจะต้องพึ่งพาสถานที่นั้นๆ
โองการข้างต้นยังชี้ให้เห็นอีกว่าพระองค์มิได้เป็นผลของเหตุใดๆ และไม่จำเป็นต้องมีแหล่งกำเนิด แต่ทุกสรรพสิ่งในจักรวาลต่างหากที่ต้องพึ่งพาพระองค์ พระองค์คือปฐมเหตุ ดังที่อิมามอลี(.)ได้อรรถาธิบายคำว่าเศาะมัดไว้ว่าหมายถึงพระองค์ไม่ไช่ทั้งนามและรูป ไม่มีสิ่งใดเทียบเคียงและเสมอเหมือนพระองค์ ไม่มีรูปลักษณ์และเรือนร่าง ไม่มีขอบเขตจำกัด ไม่ถูกจำกัดด้วยสถานที่ ไม่ไช่พลังงานแสงหรือความมืด ไม่ไช่วิญญาณหรือจิต และไม่มีปริมาตรใดจะจุพระองค์ไว้ได้[7]

โองการและฮะดีษที่นำเสนอข้างต้นชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างพระเจ้ากับพลังงาน และสนับสนุนเหตุผลทางสติปัญญาที่กล่าวไปแล้ว
กุรอานกล่าวไว้ว่าพระองค์มีอำนาจครอบคลุมทุกสิ่ง[8] ฉะนั้นจึงไม่มีอุปกรณ์ใดสามารถที่จะคำนวนค่าเชิงปริมาณแก่พระองค์ได้ เพราะพระองค์ทรงเหนือกว่าทุกอุปกรณ์
อีกโองการหนึ่งกล่าวว่าพระองค์ทรงมีอำนาจเหนือทุกสิ่ง[9] ซึ่งพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่าพระองค์ไม่มีข้อจำกัดใดๆทั้งสิ้น
อีกโองการหนึ่งระบุไว้ว่าสูเจ้าไม่อาจพบความผันแปรในจารีตของพระองค์พิสูจน์ได้ว่าพระองค์ไม่มีความผันแปร เนื่องจากผู้ที่ไม่ผันแปรเท่านั้นที่จะมีจารีตอันมั่นคง

ข้อพึงสังเกตุ
ดังที่กล่าวไปข้างต้นว่าแสงถือเป็นรูปหนึ่งของพลังงาน บางคนจึงนำไปเทียบกับอัลลอฮ์ เนื่องจากอัลกุรอานกล่าวว่าพระองค์เปรียบประดุจรัศมี[10] จึงต้องศึกษานัยยะของโองการที่กล่าวเช่นนี้จากตำราอรรถาธิบายกุรอาน
ตัฟซี้รอัลมีซานกล่าวว่า รัศมีในที่นี้ หมายถึงผู้สร้างสากลจักรวาลรัศมีของอัลลอฮ์หมายถึง การที่ทุกแสงสีที่มีอยู่บังเกิดขึ้นโดยพระองค์ และนี่ก็คือความเมตตาในระดับสาธารณะและครอบคลุมทุกสิ่ง[11]
ส่วนตัฟซี้รนู้รกล่าวว่า รัศมีที่กล่าวในกุรอาน หมายถึงการชี้นำและแจ้งเตือน เนื่องจากอัลลอฮ์เสมือนรัศมีอันนิรันดร์ที่ชี้นำอย่างชัดแจ้งสำหรับโลกนี้ ดังที่กล่าวว่าیهدی الله بنوره ...”(อัลลอฮ์ทรงชี้นำโดยรัศมีของพระองค์)[12]
อีกคำอธิบายหนึ่งก็คือ การมีอยู่ของอัลลอฮ์เปรียบเสมือนรัศมีสาดส่องให้ชั้นฟ้าและผืนดินมีชีวิตชีวา เนื่องจากว่า หากพระองค์ทรงระงับความการุณย์ของพระองค์ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกและจักรวาลจะดับสูญลงทันที
หรือหากจะอิงนิยามหนึ่งของแสงที่ว่า แสงคือสิ่งที่ชัดเจนด้วยตัวเอง และเผยให้เห็นสิ่งรอบข้าง ก็สามารถเปรียบได้กับคุณลักษณะของพระองค์ที่ทรงมีอยู่โดยพระองค์เอง และสร้างสากลจักรวาลให้มีอยู่[13]
ผลลัพท์ที่ได้จากการเปรียบเทียบระหว่างพลังงานกับพระเจ้าก็คือ ทั้งสองมีความแตกต่างโดยสิ้นเชิง ทำให้ไม่อาจจะถือว่าพระเจ้าเป็นพลังงานเนื่องจากพลังงานยังมีข้อจำกัดหลายประการ ขณะที่อัลลอฮ์เป็นผู้ทรงสมบูรณ์แบบทั้งด้านปรีชาญาณ พลานุภาพ ฯลฯ แต่พลังงานไม่ว่าจะประเภทใดล้วนมีข้อจำกัดทั้งสิ้น และไม่อาจนำมาเปรียบกับพระองค์ได้เลย อย่างไรก็ดี หากพบการเทิดไท้พระองค์ในฐานะรัศมี ก็จำเป็นต้องได้รับการตีความดังที่ได้กล่าวไปแล้ว



[1] สารานุกรมนานาชาติ encyclopedia international,เล่ม 6,หน้า 432

[2] ดู: ฟิสิกข์ฮอลิดี,หน้า 148-163,การทำงานและพลังงาน

[3] พลังงานที่เกิดจากดวงอาทิตย์ได้มาจากปฏิกริยาหลอมรวมตัวระหว่างอะตอมไฮโดรเจน H ก่อให้เกิดโมเลกุลไฮโดรเจน H2

[4] ตามสูตร (มวล x พลังงาน) C* E=mC.

[5] ดังที่นะฮ์ญุ้ลบะลาเฆาะฮ์ฉบับฟัยฏ์ฯ,หน้า 14, และ อัลอัสฟ้าร,เล่ม 6,หน้า 139, อิมามอลีกล่าวว่า
من قرنه فقد ثناه و من ثناه جز ئه ومن جزئه فقد جهلهผู้ใดเทียบเคียงพระองค์กับสิ่งอื่น เท่ากับถือว่าพระองค์เป็นสอง และหากถือว่าพระองค์เป็นสอง เท่ากับถือว่าพระองค์มีองค์ประกอบ และหากถือว่าพระองค์มีองค์ประกอบ ก็ถือว่าเขาโง่เขลาแต่พลังงานมีทั้งองค์ประกอบและศักยภาพในการผสมผสาน ซึ่งขัดต่อคุณลักษณะของพระองค์โดยสิ้นเชิง ศึกษาเพิ่มเติมได้จากหนังสือ อัลกอวลุสสะดี้ด ฟี ชัรฮิ้ตตัจรี้ด,หน้า 274,เป็นต้นไป

[6] ซูเราะฮ์อิคลาศ, 2

[7] บิฮารุ้ลอันว้าร,เล่ม 3,หน้า 230

[8] وکان الله بکل شیی محیطا ,อัลอัมบิยา,126

[9] ان لله علی کل شیی قدیر, อัตตะห์รีม,8

[10] " الله نور السماوات و الارض ..., นู้ร,35

[11] نوره تعالی من حیث یشرف منه نور العالم الذی یشیر به کل شیی و هو الرحمة العامه, ตัฟซี้รอัลมีซาน,เล่ม 15,หน้า 122.

[12] ตัฟซี้รนู้ร,เล่ม 8,หน้า 185 (ปรับเปลี่ยนเล็กน้อย)

[13] ตัฟซี้รเนมูเนะฮ์ฉบับย่อ,เล่ม 3,หน้า 297. อธิบายโองการที่ ซูเราะฮ์ นู้ร.

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • มีวิธีใดบ้างที่จะทำให้สามีภรรยาเข้าใจกันและกัน
    7349 จริยธรรมทฤษฎี 2555/09/15
    ความซื่อสัตย์คือต้นทุนที่สำคัญที่สุดของชีวิตคู่ ในทางตรงกันข้าม ภัยคุกคามที่ร้ายแรงที่สุดที่ก่อให้เกิดความร้าวฉานระหว่างคู่รักก็คือความไม่ไว้วางใจและการหลอกลวงกัน จากที่คุณถามมา พอจะสรุปได้ว่าคุณสองคนขาดความไว้วางใจต่อกัน ขั้นแรกจึงต้องทำลายกำแพงดังกล่าวเสียก่อน วิธีก็คือ จะต้องหาต้นตอของความไม่ไว้วางใจให้ได้ แล้วจึงสะสางให้เป็นที่พึงพอใจทั้งสองฝ่าย ซึ่งหากเสริมสร้างความไว้วางใจได้สำเร็จ ไม่ว่าคุณไสยหรือเวทมนตร์คาถาใดๆก็ไม่อาจจะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับภรรยาได้อีก ...
  • การพูดคุยกับผู้หญิงที่ไม่เคยเห็น จะเป็นอะไรหรือไม่?
    7854 สิทธิและกฎหมาย 2554/11/21
    ตามหลักการคำสอนของอิสลามศาสนาบริสุทธิ์, การติดต่อสัมพันธ์ในทุกรูปแบบระหว่างชายหนุ่มและหญิงสาว,ถ้าการติดต่อสัมพันธ์กันนั้นเกรงว่าจะนำไปสู่ข้อครหาหรือเกรงว่าจะนำไปสู่บาปแล้วละก็ถือว่ไม่อนุญาตและมีปัญหาด้านกฏเกณฑ์แน่นอน
  • เพราะสาเหตุอันใดงานชุมนุมบางแห่งจึงได้วาดภาพการถูกกดขี่ของท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ?
    5718 ชีวประวัตินักปราชญ์ 2554/12/20
    มีคำกล่าวว่ามีความทุกข์และความเศร้าโศกอย่างหนักได้ถาถมเข้ามาก่อนที่ท่านอิมามจะถูกทำชะฮาดัต, และโศกนาฏกรรมที่ประดังเข้ามาหลังจากชะฮาดัต, โดยตัวของมันแล้วได้ก่อให้เกิดภาพการถูกกดขี่อย่างรุนแรงของท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.)ฉะนั้น
  • เหตุผลของการเลือกบรรดาศาสดาและอิมาม ท่ามกลางปวงบ่าวอื่นๆ?
    5282 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/06/30
    บนพื้นฐานของเหตุผลทั่วไปแห่งสภาวะการเป็นศาสดา คือ การชี้นำมวลมนุษยชาติ, พระองค์จึงเลือกสรรประชาชาติบางคนจากหมู่พวกเขาในฐานะของแบบอย่าง, เพื่อเป็นตัวแทนและเป็นผู้ชี้นำทาง แน่นอนการเลือกสรรนี้มิได้ปราศจากเหตุผล คำอธิบาย ศักยภาพในการเป็นเคาะลิฟะฮฺของพระเจ้า ได้ถูกมอบแก่มนุษย์ทุกคนแล้ว เพียงแต่ว่ามิใช่มนุษย์ทุกคนจะไปถึงขั้นนั้นได้, มีเฉพาะบางคนเท่านั้นที่มีศักยภาพพอ และด้วยการอิบาดะฮฺทำให้เขาได้ไปถึงยังตำแหน่งของการเป็นตัวแทนของพระองค์บนหน้าแผ่นดิน และพวกเขาจะไม่กระทำความผิดตามเจตนารมณ์เสรีของตน, อัลลอฮฺ ทรงรอบรู้ถึงสภาพของพวกเขาทั้งก่อนการสร้างในรูปแบบภายนอก และทรงรอบรู้ถึงสภาพและความประพฤติของพวกเขาเป็นอย่างดี, การตอบแทนผลรางวัลแก่การงานของพวกเขา, พระองค์ทรงเลือก มอบสาส์น และความคู่ควรการเป็นผู้นำสังคมแก่พวกเขา, ดังนั้น ความเร้นลับในการเลือกสรรจึงวางอยู่บน 2 เหตุผล กล่าวคือ 1.การแสดงความเคารพสมบูรณ์ของหมู่มิตรของพระเจ้าที่มีต่อพระองค์ 2.ความเมตตาและความการุณย์พิเศษของพระเจ้า ที่มีต่อหมู่มิตรของพระองค์ สรุป ความเมตตาการุณย์ของพระเจ้าที่ทรงมีต่อบรรดาศาสดา และบรรดาอิมาม (อ.) เนื่องจากว่า หนึ่ง : วางอยู่บนศักยภาพและความเพียรพยายามของพวกเขา และสอง
  • คำว่าศ็อฟในโองการ جَاء رَبُّكَ وَالْمَلَكُ صَفّاً صَفّاً หมายความว่าอย่างไร?
    5582 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/03/04
    คำดังกล่าวและคำอื่นๆที่มีรากศัพท์เดียวกันปรากฏอยู่ในหลายโองการ[1] คำว่า “ศ็อฟ” หมายถึงการเรียงสิ่งต่างๆให้เป็นเส้นตรง อาทิเช่นการยืนต่อแถว หรือแถวของต้นไม้[2] “ศ็อฟฟัน” ในโองการดังกล่าวมีสถานะเป็น ฮาล (ลักษณะกริยา)ของมะลาอิกะฮ์ ซึ่งนักอรรถาธิบายกุรอานได้ให้ความหมายไว้หลายรูปแบบ ซึ่งจะขอนำเสนอโดยสังเขปดังต่อไปนี้ หนึ่ง. มวลมะลาอิกะฮ์จะมาเป็นแถวที่แตกต่างกัน ซึ่งจำแนกตามฐานันดรศักดิ์ของแต่ละองค์[3] สอง. หมายถึงการลงมาของมะลาอิกะฮ์แต่ละชั้นฟ้า โดยจะมาทีละแถว ห้อมล้อมบรรดาญินและมนุษย์[4] สาม. บางท่านเปรียบกับแถวนมาซญะมาอะฮ์ โดยมะลาอิกะฮ์จะมาทีละแถวจากแถวแรก แถวที่สอง ฯลฯ ตามลำดับ[5]
  • การเข้าร่วมงานแต่งงานที่มีจำนวนแขกจำ ซึ่งกำหนดไว้ก่อนแล้วล่วงหนา แต่แขกที่มาไม่มีใครคุมผ้าเรียบร้อยสักคนเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าบ่าว กรณีนี้กฎเกณฑ์ทางศาสนบัญญัติกล่าวไว้อย่างไร (และลักษณะงานเช่นนี้ โดยทั่วไปเจ้าบ่าวและมะฮาริมที่เข้าร่วมงานแต่ง ตลอดงานนิกาฮฺจะแยกระหว่างชายหญิง)
    3354 สิทธิและกฎหมาย 2562/06/15
    เริ่มแรกเกี่ยวกับคำถามข้างต้น ขอกล่าวถึงทัศนะของมัรญิอฺตักลีด 1.งานสมรสตามประเพณีอิสลาม คือการร่วมแสดงความสุข รื่นเริง โดยปราศจากการกระทำความผิดบาปต่าง ๆ หรือภารกิจต่าง ๆ ที่ฮะรอม และมารยาทอันไม่ดีไม่งาม ที่มิใช่วิสัยของมนุษย์[1] 2.เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าบ่าว หรือนามะฮฺรัมคนอื่น จำเป็นต้องรักษาฮิญาบ อย่างเคร่งครัด ซึ่งตรงนี้ไม่แตกต่างกันระหว่างงานสมรส และงานชุมนุมอย่างอื่น[2] 3.การเข้าร่วมงานสมรส หรืองานสังสรรค์อื่นๆ ซึ่งภายในงานนั้นมิได้เอาใจใส่สิ่งเป็นวาญิบในอิสลาม (เช่น แขกที่มาอยู่รวมกันทั้งชายและหญิง มีการเต้นรำ หรือเปิดเพลงที่ฮะรอม อย่างเปิดเผย) ถือว่าฮะรอม[3] 4. ถ้างานสมรสมิได้เป็นไปในลักษณะที่ว่า เป็นงานสังสรรค์แบบไร้สาระ ฮะรอม เป็นบาป หรือการปรากฏตัวในงานเหล่านั้น มิได้เป็นการสนับสนุนการก่อความเสียหาย ซึ่งการเข้าร่วมในงานสังสรรค์เช่นนั้น โดยทั่วไปไม่ถือว่าเป็นการสนับสนุน ถือว่าไม่เป็นไร
  • อะไรคือเหตุผลที่ต้องชำระคุมุสตามทัศนะชีอะฮ์ ต้องนำจ่ายแก่ผู้ใด และเหตุใดพี่น้องซุนหนี่จึงไม่ปฏิบัติ?
    7479 สิทธิและกฎหมาย 2554/06/28
    1. โองการที่กล่าวถึงศาสนกิจโดยเฉพาะนั้นมีไม่มากเมื่อเทียบกับกุรอานทั้งเล่มเนื่องจากกุรอานจะกล่าวถึงหัวข้อศาสนกิจอย่างกว้างๆเช่นนมาซศีลอด ...ฯลฯและปล่อยให้เป็นหน้าที่ของท่านนบี(
  • อุมัรได้ทำทานบนหรือลงโทษอบูฮุร็อยเราะฮฺหรือไม่ ในฐานะที่อุปโลกน์ฮะดีซขึ้นมา?
    6558 ริญาลุลฮะดีซ 2555/04/07
    บุคอรียฺ,มุสลิม,ซะฮะบียฺ, อิมามอบูญะอฺฟัร อัสกาฟียฺ, มุตตะกียฺ ฮินดียฺ และคนอื่นๆ กล่าวว่า เคาะลิฟะฮฺที่ 2 ได้ลงโทษเฆี่ยนตีอบูฮุร็อยเราะฮฺอย่างหนักจนสิ้นยุคการปกครองของเขา เนื่องจากอบูฮุร็อยเราะฮฺ ได้ปลอมแปลงฮะดีซของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) จำนวนมากและกล่าวพาดพิงไปยังเราะซูล (ซ็อล ฯ) สามารถกล่าวได้ว่า สาเหตุที่อุมัรคิดไม่ดีต่ออบูฮุร็อยเราะฮฺ อาจเป็นเพราะปัจจัยเหล่านี้ หนึ่ง เขาชอบนั่งประชุมเสวนากับ กะอฺบุลอะฮฺบาร ยะฮูดียฺคนหนึ่ง และรายงานฮะดีซจากเขา สอง เขาได้รายงานฮะดีซโดยไม่มีรากที่มา ซึ่งโดยปกติแล้วจะตรงกับฮะดีซที่อุปโลกน์ขึ้นมา และในความเป็นจริงแล้วก็ไม่มีสิ่งใดนอกจากการอุปโลกน์ สาม รายงานฮะดีซที่ขัดแย้งกับฮะดีซที่เล่าโดยเซาะฮาบะฮฺ สี่ เซาะฮาบะฮฺ บางคนเช่นอบูบักร์ และอิมามอะลี (อ.) จะขัดแย้งกับเขาเสมอ ...
  • ชาวสวรรค์ทุกคนจะได้ครองรักกับฮูรุลอัยน์หรือไม่? ฮูรุลอัยน์แต่ละนางมีสามีได้เพียงคนเดียวไช่หรือไม่? และจะมีฮูรุลอัยน์เพศชายสำหรับสตรีชาวสวรรค์หรือไม่?
    9591 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    สรวงสวรรค์นับเป็นความโปรดปรานที่พระองค์ทรงมอบเป็นรางวัลสำหรับผู้ศรัทธาและประพฤติดีโดยไม่มีข้อจำกัดทางเพศจากการยืนยันโดยกุรอานและฮะดีษพบว่า “ฮูรุลอัยน์”คือหนึ่งในผลรางวัลที่อัลลอฮ์ทรงมอบให้ชาวสวรรค์น่าสังเกตุว่านักอรรถาธิบายกุรอานส่วนใหญ่ต่างเห็นพ้องต้องกันว่าในสวรรค์ไม่มีพิธีแต่งงานส่วนคำว่าแต่งงานกับฮูรุลอัยน์ที่ปรากฏในกุรอานนั้นตีความกันว่าหมายถึงการมอบฮูรุลอัยน์ให้เคียงคู่ชาวสวรรค์โดยไม่ต้องแต่งงาน.ส่วนคำถามที่ว่าสตรีในสวรรค์สามารถมีสามีหลายคนหรือไม่นั้นจากการศึกษาโองการกุรอานและฮะดีษทำให้ได้คำตอบคร่าวๆว่าหากนางปรารถนาจะมีคู่ครองหลายคนในสวรรค์ก็จะได้ตามที่ประสงค์ทว่านางกลับไม่ปรารถนาเช่นนั้น ...
  • มีหนทางใดบ้างสำหรับรักษาสายตาอันร้ายกาจ?
    6395 چشم زخم و طلسم 2555/07/16
    สายตาอันร้ายกาจเกิดจากผลทางจิตวิญญาณ ซึ่งไม่มีเหตุผลในการปฏิเสธแต่อย่างใด,ทว่ามีเหตุการณ์จำนวนมากมายที่เราได้เห็นกับตาตัวเอง มัรฮูมเชคอับบาส กุมมี (รฮ.) แนะนำให้อ่านโองการที่ 51 บทเกาะลัม เพื่อเยียวยาสายตาอันร้ายกาจ, ซึ่งเมื่อพิจารณาสาเหตุแห่งการประทานลงมาของโองการแล้ว เหมาะสมกับการรักษาสายตาอันร้ายกาจอย่างยิ่ง นอกจากโองการดังกล่าวแล้ว ยังมีรายงานกล่าวเน้นถึง การอ่านอัลกุรอานบทอื่นเพื่อรักษาสายตาอันร้ายกาจไว้อีก เช่น อัลกุรอานบท »นาส« »ฟะลัก« »ฟาติฮะฮฺ« »เตาฮีด« นอกจากนี้ตัฟซีรอีกจำนวนมากยังได้กล่าวเน้นให้อ่านอัลกุรอานบทที่กล่าวมา ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    57882 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    55395 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    40649 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    37584 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    36462 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    32630 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    26817 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    26370 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    26135 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    24283 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...