การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
6142
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2555/02/13
 
รหัสในเว็บไซต์ fa18423 รหัสสำเนา 21628
คำถามอย่างย่อ
มีผู้ทำพินัยกรรมเกี่ยวกับ “ทรัพย์สินส่วนหนึ่ง” โดยมิได้ระบุจำนวน เราจะแบ่งอย่างไร?
คำถาม
มีผู้ทำพินัยกรรมเกี่ยวกับ “ทรัพย์สินส่วนหนึ่ง” โดยไม่ได้ระบุจำนวน ฮะดีษหลายบทให้ข้อยุติที่แตกต่างกัน อาทิเช่นกล่าวว่า ส่วนหนึ่งในทีนี้คือเศษหนึ่งส่วนสิบ เพราะอัลลอฮ์ตรัสว่า فَخُذْ أَرْبَعَةً مِّنَ الطَّیْرِ… ในซูเราะฮ์อัลบะเกาะเราะฮ์ โองการที่ 260 บางฮะดีษกล่าวว่าส่วนหนึ่งในที่นี้หมายถึงเศษหนึ่งส่วนเจ็ด เนื่องจากพระองค์ตรัสว่า لَهَا سَبْعَةُ أَبْوَابٍ لِّکُلِّ بَابٍ مِّنْهُمْ جُزْءٌ مَّقْسُومٌ ซูเราะฮ์อัลฮิจร์ ในเมื่อมีหลายทัศนะเช่นนี้ แล้วเราจะสรุปจำนวนของ “ส่วนหนึ่ง” ได้อย่างไร?
คำตอบโดยสังเขป

จากการที่บรรดาอุละมาอ์ให้การยอมรับสายรายงานฮะดีษของทั้งสองกลุ่มความหมาย จึงได้เสนอข้อยุติไว้แตกต่างกันดังต่อไปนี้
1. ในอดีต เจ้าของทรัพย์สินมักจะแบ่งทรัพย์สินเป็นส่วนๆ บ้างก็แบ่งเป็นสิบส่วน บ้างก็แบ่งเป็นเจ็ดส่วน ฉะนั้น จะต้องพิจารณาว่าผู้ตายเคยแบ่งทรัพย์สินอย่างไรขณะมีชีวิตอยู่
2. ทัศนะที่น่าเชื่อถือกว่าก็คือ ควรปฏิบัติตามฮะดีษกลุ่มเศษหนึ่งส่วนสิบ เพราะบรรทัดฐานเบื้องต้นก็คือการที่ทรัพย์สินยังคงอยู่ในครอบครองของทายาท กล่าวคือ ควรวางสมมุติฐานไว้ที่ภาวะที่ทายาทไม่ต้องจ่ายเพิ่มเติม ซึ่งการจ่ายเพิ่มในที่นี้ก็หมายถึงส่วนที่ต้องจ่ายเพิ่มจากเศษหนึ่งส่วนสิบในกรณีที่ทำตามฮะดีษที่ระบุถึงเศษหนึ่งส่วนเจ็ด
3. การที่ถือว่าฮะดีษกลุ่มแรกเป็นภาคบังคับ ส่วนฮะดีษกลุ่มที่สองหมายถึงภาคมุสตะฮับ กล่าวคือส่วนหนึ่งในที่นี้ให้หมายถึงเศษหนึ่งส่วนสิบอันเป็นภาคบังคับ แต่มุสตะฮับสำหรับทายาทที่จะใช้จ่ายเศษหนึ่งส่วนเจ็ดของทรัพย์สินตามพินัยกรรม เนื่องด้วยความแตกต่างทางนัยยะของฮะดีษสองกลุ่ม

คำตอบเชิงรายละเอียด

ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับมรดกทรัพย์สินเนื่องจากใช้คำที่คลุมเครือ อาทิเช่นพินัยกรรมที่ระบุให้แบ่งทรัพย์สินหนึ่งส่วนไปใช้ในการกุศล โดยที่ไม่มีข้อบ่งชี้ใดๆเกี่ยวกับจำนวนทรัพย์สินเลยนั้น ตามหลักแล้ว ควรถือว่าพินัยกรรมดังกล่าวเป็นโมฆะเสมือนมิได้กระทำไว้ และให้พิจารณาไปตามบทบัญญัติว่าด้วยมรดก ทั้งนี้ก็เพราะพินัยกรรมประเภทดังกล่าวไม่สามารถสื่อถึงเจตจำนงของผู้พูดได้เลยในเชิงวจนะภาษา

อย่างไรก็ดี เนื่องจากมีฮะดีษที่น่าเชื่อถือช่วยอธิบายความคลุมเครือข้างต้น จึงจำเป็นต้องยึดตามนั้นเป็นหลัก[1] ต่อข้อสงสัยที่ว่าหากเกิดกรณีเช่นนี้ขึ้นจะแบ่งทรัพย์สินตามเป้าประสงค์ของผู้ตายในสัดส่วนเท่าใดนั้น ฮะดีษชุดนี้แบ่งออกเป็นสองชุดความหมายดังต่อไปนี้

ฮะดีษชุดแรกระบุว่าทรัพย์ส่วนหนึ่งในที่นี้หมายถึงเศษหนึ่งส่วนสิบ กล่าวคือจะต้องมอบเศษหนึ่งส่วนสิบของทรัพย์สินให้แก่ผู้ที่พินัยกรรมระบุไว้
มีผู้ถามอิมามศอดิก(.)เกี่ยวกับผู้ที่ทำพินัยกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินส่วนหนึ่ง ท่านตอบว่านั่นหมายถึงเศษหนึ่งส่วนสิบอุละมาอ์หลายวินิจฉัยว่าวาญิบให้จ่ายเศษหนึ่งส่วนสิบในกรณีดังกล่าวโดยยึดตามฮะดีษลักษณะนี้[2]

ฮะดีษชุดที่สองระบุว่าทรัพย์สินส่วนหนึ่งในที่นี้หมายถึงเศษหนึ่งส่วนเจ็ด ตามเนื้อหาของฮะดีษต่อไปนี้: มุฮัมมัด บิน อลี บิน มะฮ์บู้บ รายงานจากอะฮ์มัด บิน มุฮัมมัด บิน อบีนัศร์ บะซันฏี เล่าว่า ฉันถามอิมามกาซิม(.)ถึงกรณีของผู้ที่ทำพินัยกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินส่วนหนึ่ง ท่านอิมามตอบว่า นั่นหมายถึงเศษหนึ่งส่วนเจ็ด เนื่องจากอัลลอฮ์ทรงตรัสว่าขุมนรกมีประตูเจ็ดบาน และชาวนรกถูกแบ่งเป็นส่วนๆในแต่ละบาน[3] [4]ฉะนั้น ชาวนรกจึงแบ่งออกเป็นเจ็ดกลุ่ม ซึ่งตามสำนวนของโองการนี้ แต่ละกลุ่มเรียกว่าญุซอ์”(ส่วน)
บางท่านยึดตามฮะดีษประเภทนี้ จึงวินิจฉัยว่าจะต้องแบ่งเศษหนึ่งส่วนเจ็ด[5]

จากการที่บรรดาอุละมาอ์ให้การยอมรับสายรายงานฮะดีษของทั้งสองกลุ่มความหมาย เบื้องต้นจึงอาจมองได้ว่าเป็นการหักล้างกันเอง แต่อุละมาบางท่านเสนอวิธีผนวกฮะดีษสองกลุ่มดังต่อไปนี้

1. ในอดีต เจ้าของทรัพย์สินมักจะแบ่งทรัพย์สินเป็นส่วนๆ บ้างก็แบ่งเป็นสิบส่วน บ้างก็แบ่งเป็นเจ็ดส่วน ฉะนั้น จะต้องพิจารณาแบ่งทรัพย์สินตามที่ผู้ตายเคยแบ่งไว้ขณะมีชีวิตอยู่[6]

2. ทัศนะที่น่าเชื่อถือกว่าก็คือ ควรปฏิบัติตามฮะดีษกลุ่มเศษหนึ่งส่วนสิบ เพราะบรรทัดฐานเบื้องต้นก็คือการที่ทรัพย์สินยังคงอยู่ในครอบครองของทายาท กล่าวคือ ควรวางสมมุติฐานไว้ที่ภาวะที่ทายาทไม่ต้องจ่ายเพิ่มเติม ซึ่งการจ่ายเพิ่มนี้ก็คือส่วนที่ต้องจ่ายเพิ่มในกรณีที่ทำตามฮะดีษที่ระบุถึงเศษหนึ่งส่วนเจ็ดที่ต้องแบ่งออกจากมรดก[7]
3. การที่ถือว่าฮะดีษกลุ่มแรกเป็นภาคบังคับ ส่วนฮะดีษกลุ่มที่สองหมายถึงภาคมุสตะฮับ กล่าวคือส่วนหนึ่งในที่นี้ให้หมายถึงเศษหนึ่งส่วนสิบอันเป็นภาคบังคับ แต่มุสตะฮับสำหรับทายาทที่จะใช้จ่ายเศษหนึ่งส่วนเจ็ดของทรัพย์สินตามพินัยกรรม เนื่องด้วยความแตกต่างทางนัยยะของฮะดีษสองกลุ่ม[8]

อย่างไรก็ดี ควรคำนึงว่าในกรณีที่ผู้ตายทำพินัยกรรมมอบทรัพย์แก่ผู้อื่นเกินกว่าเศษหนึ่งส่วนสามของมรดก ส่วนเกินดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ต่อเมื่อทายาทเห็นด้วยเท่านั้น[9]
อนึ่ง ท่านอายะตุลลอฮ์ มะฮ์ดี ฮาดะวี เตหรานี ได้ตอบข้อสงสัยดังกล่าวไว้ดังนี้
พินัยกรรมมอบทรัพย์สินแก่ผู้อื่นจะมีผลต่อเมื่อทำไว้ไม่เกินเศษหนึ่งส่วนสามของทรัพย์สินของมัยยิต ส่วนการแบ่งสัดส่วนตามพินัยกรรมที่คลุมเครือก็ขึ้นอยู่กับความมั่นใจ แม้ว่าควรจะแบ่งให้มากเท่าที่จะสันนิษฐานได้

 



[1] มูซะวี, บุจนูรดี, ซัยยิดฮะซัน, อัลเกาะวาอิดุ้ลฟิกฮียะฮ์,เล่ม 6,หน้า 291,สำนักพิมพ์อัลฮาดี, กุม อิหร่าน,ครั้งแรก, ..1419

[2] ชู้ชตะรี, มุฮัมมัด ตะกี, อันนัจอะฮ์ ฟีชัรฮิ้ลลุมอะฮ์,เล่ม 8,หน้า 230,ร้านหนังสือเศาะดู้ก,เตหราน,ครั้งแรก,..1406

[3] อัลฮิจร์,44

[4] ฏูซี,อบูญะฟัร,มุฮัมมัด บิน ฮะซัน, ตะฮ์ซีบุลอะฮ์กาม,เล่ม 9,หน้า 209, ฮะดีษที่ 828, ดารุลกุตุบิลอิสลามียะฮ์,เตหราน อิหร่าน,ครั้งที่สี่,..1407

[5] อันนัจอะฮ์ ฟีชัรฮิ้ลลุมอะฮ์,เล่ม 8,หน้า 233

[6] กุมี,เศาะดู้ก,มุฮัมมัด บิน อลี บิน บาบะวัยฮ์,มันลายะฮ์ฏุรุฮุ้ลฟะกีฮ์, แปล:ฆ็อฟฟารี,อลีอักบัร, เล่ม 6,หน้า 50,เศาะดู้ก,เตหราน,ครั้งแรก,..1409

[7] ฮิลลี, มิกด้าด บิน อับดุลลอฮ์, กันซุ้ลอิรฟาน ฟี ฟิกฮิ้ลกุรอาน, แปล: บัคชอเยชี,อับดุรเราะฮีม อะกีกี,เล่ม 2,หน้า 585,กุม อิหร่าน,ครั้งแรก และ อามิลี,ซัยยิด มุฮัมมัด ฮุเซน ตัรฮีนี, อัซซุบดะตุลฟิกฮียะฮ์ ฟีชัรฮิร ร็อวเฎาะตุ้ลบะฮียะฮ์,เล่ม 6,หน้า 38,สำนักพิมพ์ดารุลฟิกฮ์,กุม อิหร่าน,ครั้งที่สี่,..1427

[8] อันนัจอะฮ์ ฟีชัรฮิ้ลลุมอะฮ์,เล่ม 8,หน้า 233

[9] โคมัยนี, ซัยยิดรูฮุ้ลลอฮ์ มูซะวี,ประมวลปัญหาศาสนา (อิมามโคมัยนี),หน้า 578,ปัญหาที่ 2589,พิมพ์ครั้งแรก,..1426

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

คำถามสุ่ม

  • ถ้าก่อนที่จะเกิดความถูกต้อง (สงบ) ฝ่ายหนึ่งได้อ้างการบีบบังคับ หรือขู่กรรโชก ถือว่าสิ่งนี้มีผลต่อข้อผูกมัดหรือไม่?
    5236 สิทธิและกฎหมาย 2554/06/21
    ในกรณีนี้บุคคลที่กล่าวอ้างว่าข้อผูกมัด (อักด์) ถูกต้องนั้นมาก่อนแต่ต้องกล่าวคำสาบานด้วยส่วนบุคคลที่กล่าวอ้างว่าได้มีการบีบบังคับหรือกรรโชกขู่เข็ญเกิดขึ้นจำเป็นต้องมีพยานยืนยันด้วย ...
  • ชะตากรรมของเหล่าภรรยาท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) หลังจากเหตุการณ์กัรบะลาอฺเป็นอย่างไรบ้าง?
    7143 تاريخ بزرگان 2554/12/21
    ท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) มีภรรยาทั้งสิ้น 5 คน, นักประวัติศาสตร์บางท่านจำนวนบุตรของท่านท่านอิมาม (อ.) ที่เกิดจากภรรยาเหล่านี้มีจำนวน 6 คนหรือบางคนกล่าวว่ามีมากกว่า
  • เพราะสาเหตุใดส่วนแบ่งมรดกของสตรีจึงได้เพียงครึ่งหนึ่งของชาย ?
    9996 สิทธิและกฎหมาย 2554/04/21
    หนึ่งในสาเหตุที่ส่วนแบ่งมรดกของฝ่ายชายมากกว่าฝ่ายหญิงคือเรืองค่าเลี้ยงดูของหญิงอยู่ในความรับผิดชอบของฝ่ายชายกล่าวคือฝ่ายชายนอกจากจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของตนแล้วยังมีหน้าที่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายประจำวันของฝ่ายหญิงและบรรดาลูกๆอีกด้วยอีกด้านหึ่งฝ่ายชายต้องเป็นผู้จ่ายมะฮฺรียะฮฺส่วนฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายรับมะฮฺรียะฮฺนั้นตามความเป็นจริงสามารถกล่าวได้ว่าสิ่งที่ฝ่ายหญิงได้รับในฐานะของมรดกหรือมะฮฺรียะฮฺนั้นก็คือทรัพย์สะสมขณะที่ส่วนแบ่งมรดกของฝ่ายชายถูกใช้ไปเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของตนของภรรยาและบรรดาลูกๆนอกจากนี้แล้ว
  • ท่านสุลัยมาน (อ.) หลังจากได้สูญเสียบุตรชายไป จึงได้วอนขออำนาจการปกครอง แต่ท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) กล่าว่า โอ้ อะลีหลังจากเจ้าแล้วโลกจะพบกับความหายนะ?
    9974 การตีความ (ตัฟซีร) 2556/08/19
    เหตุการณ์แห่งกัรบะลาอฺ เราได้เห็นท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) คือแบบอย่างของความอดทน และการยืนหยัด ขณะที่ท่านมีความประเสริฐและฐานันดรที่สูงส่ง เมื่อเทียบกับบรรดาศาสดาทั้งหลาย (อ.) หรือแม้แต่ศาสดาที่เป็นเจ้าบทบัญญัติก็ตาม แต่ท่านได้กล่าวขณะท่านอิมามอะลี (อ.) ชะฮาดัตว่า “โอ้ อะลีเอ๋ย หลังจากเจ้าแล้วโลกจะพบกับหายนะ” ถ้าพิจารณาตามอัลกุรอาน โองการที่กล่าวถึงสอนให้รู้ว่า ทั้งคำพูดและความประพฤติของท่านศาสดาสุลัยมาน (อ.) เป็นความประเสริฐหนึ่ง ดังนั้น เรามีคำอธิบายอย่างไรกับคำกล่าวอย่างสิ้นหวังของท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) กรุณาหักล้างคำพูดดังกล่าวด้วยเหตุผลเชิงสติปัญญา แม้ว่าคำพูดของท่านศาสดาสุลัยมาน (อ.) จะชี้ให้เห็นถึง ฐานะภาพความยิ่งใหญ่ของท่านก็ตาม และความโปรดปรานอันอเนกอนันต์จากอัลลอฮฺ ซึ่งเมือเทียบกับสามัญชนทั่วไปแล้ว ดีกว่ามากยิ่งนัก แต่เมื่อเทียบกับฐานะภาพเฉพาะของท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ไม่อาจเทียบเทียมกันได้ เนื่องจากโองการเหล่านี้ หนึ่ง,แสดงให้เห็นว่าท่านศาสดาสุลัยมาน ในชั่วขณะหนึ่งเกิดความลังเล แต่มิได้ละทิ้งสิ่งที่ดีกว่า และการที่ท่านได้สูญเสียบุตรชายไปนั้น ถือว่าเป็นหนึ่งในชะตากรรม สอง, บุตรชายที่ท่านได้สูญเสียไปนั้นเป็นเด็กที่ไม่สมบูรณ์ และคลอดเร็วเกินกว่ากำหนด ดังนั้น โดยปรกติการสูญเสียบุตรลักษณะนี้ จะไม่เป็นสาเหตุทำให้ผู้เป็นบิดามารดาต้องเสียใจหรือระทมทุกข์อย่างหนัก แต่ท่านอิมามฮุซัยนฺ ...
  • นามอันเป็นมักนูนและมุสตะอ์ษิ้รของอัลลอฮ์หมายความว่าอย่างไร?
    6511 รหัสยทฤษฎี 2554/10/23
    จากฮะดีษและบทดุอาทำให้ทราบว่าอัลลอฮ์มีพระนามที่ทรงคัดสรรด้วยพระองค์เองโดยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้พระนามเหล่านี้เรียกว่า"อัสมาอ์มุสตะอ์ษิเราะฮ์" ซึ่งตามคำบอกเล่าของฮะดีษพระนามเหล่านี้คือมิติเร้นลับของอิสมุลอะอ์ซ็อมอันเป็นพระนามแรกของพระองค์พระนามประเภทนี้ยังเรียกขานกันว่าอิสมุ้ลมักนูนหรืออิสมุ้ลมัคซูนอีกด้วย ...
  • จะมีวิธีการอะไรสามารถพิสูจน์ได้ว่าอัล-กุรอาน ถูกประทานลงมาจากพระเจ้า
    9066 วิทยาการกุรอาน 2553/10/11
    คำถามนี้ไม่มีคำตอบแบบสั้น โปรดเลือกปุ่มคำตอบที่สมบูรณ์ ...
  • มีข้อแนะนำใดบ้างที่คุณพ่อและคุณแม่ควรปฏิบัติก่อนคลอดบุตร?
    12658 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/21
    มีข้อแนะนำบางอย่างที่คุณพ่อและคุณแม่ควรปฏิบัติก่อนจะมีบุตรอาทิเช่นปฏิบัติศาสนกิจอย่างครบถ้วนปฏิบัติตามคำแนะนำเกี่ยวกับการร่วมหลับนอนบริโภคอาหารที่ฮะลาลและสะอาดโดยเฉพาะผลไม้นานาชนิดเข้ารับการตรวจโรคทางพันธุกรรมงดความเครียด  มองทิวทัศน์ที่สวยงามรักษาสุขอนามัยออกกำลังกายฯลฯหากปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้ได้ครบถ้วนก็จะทำให้มีสมาชิกครอบครัวที่มีสุขภาพดีและประสบความสำเร็จในชีวิตส่งผลให้สังคมก้าวสู่ความผาสุกในอุดมคติ ...
  • ความสำคัญ และปรัชญาของการจัดพิธีกรรมรำลึกถึงท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) คืออะไร?
    7426 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/12/20
    สำหรับการติดตามผลอย่างมีนัยของการให้ความสำคัญและปรัชญาของการจัดพิธีกรรมรำลึกถึงท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) จำเป็นต้องพิจารณาประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้:1. ...
  • มนุษย์ธรรมดาทั่วไปสามารถเป็นผู้บริสุทธิ์ได้หรือไม่?
    6396 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2554/03/08
     คำว่า “อิซมัต” หมายถึ่งความสะอาดบริสุทธิ์หรือการดำรงอยู่ในความปอดภัยหรือการเป็นอุปสรรคต่อการหลงลืมกระทำความผิดบาปความบริสุทธิ์นั้นมีระดับชั้นซึ่งแน่นอนว่าระดับชั้นหนึ่งนั้นสูงส่งเฉพาะพิเศษสำหรับบรรดาศาสดา ...
  • ขณะวุฎูอฺ แต่ไม่ได้อยู่ในสภาพที่จำเป็น, โดยมีบุคคลอื่นราดน้ำลงบนมือและแขนให้เรา ถือว่ามีปัญหาทางชัรอียฺหรือไม่?
    5920 สิทธิและกฎหมาย 2555/05/17
    วุฎูอฺ มีเงื่อนไขเฉพาะตัว ดังนั้น การไม่ใส่ใจต่อเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่ง เป็นสาเหตุให้วุฎูอฺบาฏิล หนึ่งในเงื่อนไขของวุฎูอฺคือ การล้างหน้า มือทั้งสองข้าง การเช็ดศีรษะ และหลังเท้าทั้งสองข้าง ผู้วุฎูอฺ ต้องทำด้วยตัวเอง ถ้าหากมีบุคคลอื่น วุฎูอฺ ให้แก่เขา, หรือช่วยเขาราดน้ำที่ใบหน้า มือทั้งสองข้างแก่เขา หรือช่วยเช็ดศีรษะและหลังเท้าทั้งสองแก่เขา วุฎูอฺ บาฏิล[1] มีคำกล่าวว่า บรรดานักปราชญ์แสดงความเห็นเกี่ยวกับเงื่อนไขนี้ ต่างกัน : 1.บางท่านแสดงทัศนะว่า : บุคคลต้อง วุฏูอฺ ด้วยตัวเอง ถ้าหากมีบุคคลอื่นช่วยเขาวุฎูอฺ ในลักษณะที่ว่าถ้าคนอื่นเห็นจะไม่พูดว่า บุคคลดังกล่าวกำลังวุฎูอฺ ถือว่าวุฏูอฺ บาฏิล

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    59362 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    56817 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    41639 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38389 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    38385 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    33424 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    27517 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27211 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27105 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25176 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...