การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
7804
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/03/08
 
รหัสในเว็บไซต์ fa2208 รหัสสำเนา 12550
คำถามอย่างย่อ
ปวงข้าทาสเป็นอย่างไร ปวงบ่าวคือใคร? แล้วเราสามารถเคลื่อนไปในหนทางของการแสดงความเคารพภักดีได้อย่างไร ?
คำถาม
ปวงข้าทาสเป็นอย่างไร ปวงบ่าวคือใคร? แล้วเราสามารถเคลื่อนไปในหนทางของการแสดงความเคารพภักดีได้อย่างไร ?
คำตอบโดยสังเขป

 คำว่าอิบาดะฮฺ นักอักษรศาสตร์ส่วนใหญ่ตีความว่าหมายถึง ขั้นสูงสุดของการมีสมาธิหรือความต่ำต้อยด้อยค่า ดังนั้น จึงไม่สมควรอย่างยิ่ง เว้นเสียแต่ว่าสำหรับบุคคลที่ประกาศขั้นตอนของการมีอยู่ ความสมบูรณ์ และความยิ่งใหญ่ของความโปรดปรานและความดีงามออกมา ฉะนั้น การแสดงความเคารพภักดีที่นอกเหนือไปจากพระเจ้าแล้ว ถือเป็นชิริกทั้งสิ้น เนื่องจากไม่มีความบริสุทธิ์ใจอยู่ในการอิบาดะฮฺนั้น

คำว่าปวงบ่าวอาจกล่าวสรุปได้ใน 3 ประการดังนี้

ประการที่ 1 สิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานแก่ปวงบ่าวไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ตนต้องไม่แสดงความเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง พึงรู้ไว้เถิดว่าปวงบ่าวไม่มีกรรมสิทธิ์ใดๆ ทั้งสิ้น ทรัพย์สินเหล่านั้นเป็นของพระเจ้า และจงนำเอาสิ่งนั้นไปวางไว้ในที่ๆ พระองค์ทรงบัญชาไว้

ประการที่ 2 ปวงบ่าวไม่มีสิทธิที่จะคิดสิ่งใดเพื่อตนหรือเพื่อความเหมาะสมสำหรับตน และบริหารสิ่งนั้นเพียงลำพังฝ่ายเดียว

ประการที่ 3 ภาระหน้าที่ทั้งหมดของปวงบ่าวจำกัดอยู่ที่ พระบัญชาของพระเจ้าที่ทรงกำหนดใช้ หรือกำหนดห้ามแก่เขา จากคำอธิบายดังกล่าวนี้จะทำให้เห็นภาพของการเป็นปวงบ่าวที่แท้จริงชัดเจนมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันยังได้เห็นแนวทางที่จะก่อให้เกิดความเป็นบ่าวชัดเจนขึ้นด้วยเช่นกัน คำว่าบ่าวคือกุญแจแห่งวิลายะฮฺ ส่วนชื่อของบ่าวถือเป็นชื่อที่ดีที่สุดในกระบวนชื่อทั้งหลาย มนุษย์ผู้มีความสมบูรณ์คือ บ่าวของอัลลอฮฺ เขาสูญสลาย  เบื้องพระพักตร์ของพระองค์และปราชัยต่อพระอันไพจิตรของพระองค์ 

ดังนั้น ปวงบ่าวของพระเจ้าคือบุคคลที่แสดงความเคารพภักดีและเชื่อฟังพระบัญชาของพระองค์ เขามีความสุขใจเมื่อได้รักพระเจ้า เขาได้นำเอาความต้องการของพระองค์ไปเสนอต่อพระเจ้า และกล่าวกับพระองค์ว่า ข้าพระองค์เชื่อมั่นและไว้วางใจในพระองค์

คำตอบเชิงรายละเอียด

คำว่า อิบาดะฮฺ ตามหลักภาษาหมายถึง ที่สุดของการมีสมาธิและความต่ำต้อย เนื่องจากอิบาดะฮฺคือขั้นสูงสุดของการมีสมาธิ ดังนั้น ไม่มีความเหมาะสมแต่อย่างใด เว้นเสียแต่ว่าบุคคลหนึ่งมีฐานันดรสูงส่ง มีความสมบูรณ์ มีความยิ่งใหญ่ มีความโปรดปรานอนันต์ และมีความดีสูงสุด ดังนั้น การแสดงความเคารพภักดีสิ่งอื่นที่นอกเหนือไปจากพระองค์ จึงถือเป็นชิริก[1]

อิบาดะฮฺ แบ่งออกเป็น 3 ระดับกล่าวคือ บางคนได้แสดงความเคารพภักดีโดยมีหวังว่า จะได้รับผลบุญในวันแห่งการฟื้นคืนชีพเป็นการตอบแทน หรือมีความหวาดกลัวต่อการลงโทษในวันแห่งปรโลก[2] ซึ่งเป็นอิบาดะฮฺของผู้ศรัทธาโดยทั่วไป บางคนได้อิบาดะฮฺอัลลอฮฺ เนื่องจากพระองค์คู่ควรแก่การแสดงความเคารพภักดี ซึ่งอัลลอฮฺ ทรงถือว่าพวกเขาเป็นบ่าวของพระองค์ บางคนได้อิบาดะฮฺอัลลอฮฺ เนื่องจากความสูงส่งและความรักที่มีต่อพระองค์ ซึ่งถือว่าเป็นอิบาดะฮฺขั้นสูงส่งที่สุด[3]

ท่านอิมามซอดิก (.) กล่าวว่า คำว่า อับด์ ประกอบด้วยอักษร 3 ตัว กล่าวคือ อัยน์ บาอ์ และดาล อักษร อัยน์ หมายถึงความรู้และความเชื่อมั่นของปวงบ่าวเมื่อสัมพันธ์ไปยังพระเจ้า อักษร บาอ์ บ่งชี้ให้เห็นถึงความห่างไกล หรือการแยกออกจากสิ่งอื่นที่ไม่ใช่อัลลอฮฺ ส่วนอักษร ดาล บ่งชี้ให้เห็นถึงความใกล้ชิดของปวงบ่าวไปยังพระเจ้าของเขา โดยปราศจากม่านปิดบังและสิ่งกีดขวางใดๆ ทั้งสิ้น[4]

คำว่า อับด์ ในแง่ของการมีอยู่และความสมบูรณ์ทั้งหมดถือว่าเป็นหนี้บุญคุณ ผู้เป็นเจ้านาย ด้วยเหตุนี้ การยอมสวามิภักดิ์ต่อพระองค์จึงหมายถึง การไม่ให้ความสำคัญต่อตัวเอง และอำนาจฝ่ายต่ำ เขาได้ย้อมสีตัวเองด้วยสีสันแห่งความสมบูรณ์ของอัลลอฮฺ ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ) กล่าวว่า ปวงบ่าวที่แท้จริงของพระเจ้าหมายถึงบุคคลที่มีความสุขต่อการได้ปฏิบัติตามพระบัญชาของพระองค์ มีความปลื้มปิติที่ได้รักพระองค์ และได้นำเสนอความต้องการของตนต่อพระองค์ พร้อมกับกล่าวกับพระองค์ว่า ข้าพระองค์มีความเชื่อมั่นในพระองค์และมอบหมายความไว้วางใจต่อพระองค์[5] 

ความเป็นบ่าวคืออะไร?

ท่านอิมามญะอ์ฟัร อัซซอดิก (.) กล่าวว่า แก่นแท้ของการแสดงความเคารพภักดีหรือการแสดงความเป็นบ่าวนั้น แบ่งออกเป็น 3 ประการด้วยกัน กล่าวคือ ประการแรก : ปวงบ่าวจะไม่คิดว่าทุกสิ่งที่อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงประทานให้มาเป็นกรรมสิทธิ์ของตน หรือเป็นของตนเท่านั้น เนื่องจากปวงบ่าวมิได้มีสิทธิ์เป็นเจ้าของสิ่งใดทั้งสิ้น ทรัพย์สินที่ตนมีเป็นกรรมสิทิ์ของอัลลอฮฺ ดังนั้น จงมอบไว้ในสถานที่ๆ มีความเหมาะสมเถิด ประการที่สอง : ปวงบ่าวจะไม่คิดแยกตัวอิสระและบริบาลทุกสิ่งตามความเหมาะสมของตัวเอง ประการที่สาม : ภาระหน้าที่ของเขาขึ้นอยู่กับคำสั่งที่พระองค์ทรงบัญชาให้มา ไม่ว่าจะเป็นคำสั่งใช้หรือคำสั่งห้ามก็ตาม ด้วยเหตุนี้ ถ้าหากบ่าวคนหนึ่งไม่มองว่าสิ่งที่พระองค์ทรงประทานให้มาเป็นของเขา เขาก็จะจำหน่ายจ่ายแจกมันออกไปอย่างง่ายดายแก่สังคม และผู้มีความเดือดร้อน บ่าวของพระองค์จะครั้นเมื่อเขาบริหารภารกิจการงาน เขาก็จะมอบหมายความไว้วางใจแก่พระองค์ ครั้นเมื่อความทุกข์ยากและอุปสรรคปัญหาได้พานพบแก่เขาทุกอย่างก็จะแก้ไขได้อย่างง่ายดาย ครั้นเมื่อพระองค์ได้มีคำสั่งใช้หรือคำสั่งห้ามแก่เขา เขาก็จะปฏิบัติด้วยความเคร่งครัดและมีความมั่นคง โดยที่เขาจะไม่ปล่อยเวลาให้สูญเสียไป

ด้วยเหตุนี้ จะเห็นว่าอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงให้เกียรติปวงบ่าวของพระองค์ใน 3 สิ่งด้วยกัน กล่าวคือ ขณะมีชีวิตบนโลกนี้เขาไม่ตกเป็นทาสของซาตานมารร้ายและดำรงชีวิตด้วยความเรียบง่าย เขาไม่คิดที่จะใฝ่หาบารมี เกียรติยศ และความยิ่งใหญ่กับประชาชนโดยที่เขาจะไม่คิดแย่งชิงทรัพย์สินในมือของประชาชนมาเป็นของตน พวกเขาจะไม่เรียกร้องเกียรติยศหรือตำแหน่งให้แก่ตัวเอง และเขาจะไม่ปล่อยตัวเองให้หลงระเริงไปกับความไร้สาระในแต่ละวัน[6]

การแสดงความเคารพภักดีคือกุญแจแห่งวิลายะฮฺ[7] นามว่าบ่าวคือนามที่ดีที่สุดในบรรดานามทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้ ท่านศาสดา (ซ็อล ) จึงเป็น อับดุลลอฮฺ ในค่ำคืนของการขึ้นมิอ์รอจญ์ท่านได้วอนขอความเป็นบ่าวจากอัลลอฮฺว่า โอ้ อัลลอฮฺ โปรดเพิ่มพูนแก่ข้าพระองค์ ซึ่งความเป็นบ่าว  พระองค์ โอ้ พระผู้อภิบาลของฉัน

อบูบะซีร เล่าว่า ท่านอิมามบากิร (.) กล่าวว่า ท่านอิมามอะลี (.) ได้กล่าวไว้ในดุอาอ์บทหนึ่งว่า โอ้ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ความยิ่งใหญ่เท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับข้าฯ การที่ข้าฯได้เป็นบ่าวของพระองค์ เกียรติยศเท่านี้สำหรับข้าฯ ก็เพียงพอแล้วเนื่องจากการที่พระองค์ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของข้าฯ โอ้ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ดังที่ข้าพระองค์ได้รักพระองค์ เนื่องจากข้าฯมาจากพระองค์ ฉะนั้น โปรดทำให้ข้าฯประสบความสำเร็จในสิ่งที่พระองค์ทรงรักด้วยเถิด[8]

มนุษย์ผู้สมบูรณ์คือ บ่าวของอัลลอฮฺ ซึ่งอยู่ภายใต้การครอบคลุมด้วยพระนามอันไพจิตรของพระองค์ สูญสลาย  เบื้องพระพักตร์ของพระองค์ และปราชัยต่อพระนามของพระองค์ ช่างเป็นความสวยงามเสียนี่กระไร ดังคำพูดของคอญิอ์ อับดุลลอฮฺ อันซอรีย์ที่กล่าวว่า โอ้ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า เพียงพอแล้วสำหรับข้าพระองค์ การที่พระองค์กล่าวเรียกข้าฯว่า โอ้ บ่าวของข้า

ฮะดีซ กุดซีย์ บทหนึ่ง โอ้ ปวงบ่าวของข้า จงเคารพภักดีข้าเถิด เพื่อว่าเจ้าจะได้เหมือน หรือคล้ายคลึงเยี่ยงข้า เพราะเมื่อข้าประกาศิตว่าจงเป็น สิ่งนั้นก็จะเป็น เมื่อเจ้าบอกกับสิ่งหนึ่งว่าจงเป็น สิ่งนั้นก็จะเป็น[9] ด้วยเหตุนี้ ท่านอิมามซอดิก (.) ความเป็นบ่าวหรือการแสดงความเคารพต่อพระเจ้าถือว่าเป็นหนึ่งในธาตุแห่งความจริง ซึ่งภายในและแก่นแท้ของมันคือพระผู้อภิบาลผู้ทรงเกรียงไกร[10]

เนื่องจากการแสดงความเคารพภักดีนั่นเอง จิตใจของมนุษย์จึงมีความสงบมั่น มีศักยภาพในการเปล่งรัศมีอันเรืองรองแก่โลก และยิ่งมีความสะอาดบริสุทธิ์มากเท่าใดความสงบก็จะมีมากขึ้น การเปล่งรัศมีของเขาก็จะทวีคูณขึ้นไป ภาพลักษณ์ของพระเจ้าในตัวเขาก็จะฉายส่องและปรากฏชัดเจนมากยิ่งขึ้น จนกระทั่งว่าตำแหน่งคิลาฟะฮฺโดยศักยภาพและโดยการช่วยเหลือของพระองค์ ได้ปรากฏเป็นจริงขึ้นมาจากศักยภาพ การปรากฏเป็นภาวะจริง เคาะลีฟะตุลลอฮฺ มีอยู่ทุกที่ทั่วไปบนโลกนี้ อันเป็นเกียรติยศและเป็นภาพที่แท้จริงของชีวิต และสิ่งที่จำเป็นต้องรู้คือ สิ่งนี้มิใช่ความคู่ควรในการแสดงความเคารพภักดี ทว่าเป็นเพียงคิลาฟะฮฺและตัวแทนของพระองค์ ซึ่งเป็นผลอันแท้จริงของความคู่ควรที่ได้ปรากฏออกมา สิ่งจำเป็นต้องกล่าวต่อไป เคาะลีฟะตุลลอฮฺ จะไม่ปฏิบัติภารกิจของอัลลอฮฺ แต่อัลลอฮฺจะปฏิบัติภารกิจของพระองค์โดยผ่านมือของพวกเขา จิตวิญญาณของพวกเขาจะเป็นที่เผยโฉมพระนามอันไพจิตรของอัลลอฮฺ ฉะนั้น บุคคลเหล่านี้จึงอยู่ในฐานะของ อาริฟบิลลาฮฺ เป็นกระจกที่ฉายส่องความสูงส่งและความสวยงามทั้งหมดของพระเจ้า ผู้ทรงเป็นอมตะนิรันดรตลอดไป ส่วนปาฏิหาริย์ทุกขั้นตอนของบรรดาศาสดา และกะรอมาตของบรรดาอิมามัต และหมู่มวลมิตรของพระเจ้า ตามความเป็นจริงแล้ว อัลลอฮฺต่างหากที่เป็นผู้กระทำสิ่งนั้น พระองค์ทรงเป็นผู้ปกครองแท้จริง บทบาทของตัวแทนของพระเจ้าได้สูญสลายไปแล้ว ซึ่งสิ่งนี้ตามความเป็นจริงแล้วคือตำแหน่งของ อุบูดียะฮฺ นั่นเอง อันเป็นตำแหน่งซึ่งจะคืนกลับมาด้วยการเชื่อฟังปฏิบัติตามพระเจ้าผู้ทรงเกรียงไกร[11] บรรดาผู้ขัดเกลาตนเองถ้าหากเปรียบถึงตำแหน่งนี้เขาคือ พระนามแห่งอัลลอฮฺ เครื่องหมายแห่งอัลลอฮฺ และสูญสิ้นเพื่ออัลลอฮฺ และมองสรรพสิ่งอื่นเป็นเช่นเดียวกัน ดังนั้น ถ้าเป็นวะลีสมบูรณ์ และเกิดเป็นพระนามอันแท้จริง อีกทั้งสำหรับเขาแล้วสิ่งนั้นเป็นการอิบาดะฮฺสมบูรณ์ ฉะนั้น ตามความเป็นจริงแล้วเขาคือ อับดุลลอฮฺ (บ่าวที่แท้จริงของอัลลอฮฺ) จึงสามารถเรียกเขาว่าเป็นบ่าว (อับด์) อย่างแท้จริงได้ตามที่โองการได้กล่าวเรียกไว้ว่ามหาบริสุทธิ์ผู้ทรงนำบ่าวของพระองค์เดินทางในเวลากลางคืน[12] และเพื่อที่ว่าการเดินทางสู่เบื้องบน  เส้นขอบฟ้าสูงสุดยังตำแหน่งแห่งการรู้จัก พร้อมทั้งได้ก้าวไปสู่การอิบาดะฮฺขั้นสูงสุด มีอิสรภาพ ได้ยืนยันในสารของตน ได้ปฏิญาณหลังจากยืนยันในความเป็นบ่าวของตน เนื่องจากการแสดงความเป็นบ่าวนั้นคือสิ่งสำคัญสำหรับการประกาศสาส์น ดังนั้น เราจะเห็นว่านมาซคือสะพานสำหรับมวลผู้ศรัทธา ซึ่งแน่นอนว่าจุดเริ่มต้นแห่งประกายแสงของสะพานนั้น คือ นบูวัต หลังจากม่านแห่งความมืดมิดได้ถูกเปิดออกเราก็จะได้พบกับ มิสมิลลาฮฺ ซึ่งถือว่าเป็นแก่นของการอิบาดะฮฺ ดังนั้น มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่ผู้ที่ได้ให้ท่านศาสดาได้เดินผ่านโดยมีสะพานแห่งการเคารพภักดีเป็นสิ่งอำนวยความสะดวก และนำเขาไปสู่ก้าวแห่งความเป็นบ่าวที่แท้จริง ซึ่งเขาได้สละทิ้งทุกอย่างอันหน้าสมเพศไม่ว่าจะเป็นตำแหน่ง คำสรรเสริญเยินยอ ประเทศชาติ อำนาจและบารมีต่างๆ ไว้เบื้องหลัง ซึ่งทำให้บรรดาปวงบ่าวที่อยู่เบื้องหลังได้รับแสงสว่างจากแสงนั้นด้วย[13]

บทบาทของเจตนารมณ์ (เนียต) ความบริสุทธิ์ใจในอิบาดะฮฺ

ความตั้งใจหรือเนียตตามหลักทั่วๆ ไปหมายถึง การตัดสินใจเพื่อเชื่อฟังปฏิบัติตามอย่างแน่นอน หรืออาจหมายถึง ความหวาดกลัว หรือความปรารถนาก็ได้[14] ส่วนในทัศนะของนักเดินจิตด้านใน เนียต หมายถึงการตัดสินใจเชื่อฟังปฏิบัติตามในความยิ่งใหญ่ ดังที่กล่าวว่าดังนั้นสูเจ้าจงอิบาดะฮฺ ประหนึ่งว่าสูเจ้ามองเห็นพระองค์ และแม้ว่าสูเจ้ามองไม่เห็นพระองค์ แต่พระองค์ทรงเห็นสูเจ้าส่วนเนียตในทัศนะของผู้มีความรักในพระองค์หมายถึง การตัดสินใจเพื่อการภักดีต่อพระองค์ ส่วน เนียต ในทัศนะของหมู่มวลมิตรหมายถึง การตัดสินใจเชื้อฟังปฏิบัติตาม อัลลอฮฺ (ซบ.) แต่เพียงผู้เดียว

ความบริสุทธิ์ใจในอิบาดะฮฺทั่วไปหมายถึง การทำให้บริสุทธิ์จากการตั้งภาคีเทียบเคียงพระเจ้า ผู้ทรงสูงส่งทั้งภาคีใหญ่ หรือภาคีเล็กก็ตาม เช่น การโอ้อวด อคติ และความกระหยิ่มยิ้มย่องพึงทราบเถิด การอิบาดะฮฺโดยบริสุทธิ์ใจนั้นเป็นของอัลลอฮฺองค์เดียว[15] ส่วนการอิบาดะฮฺของกลุ่มชนเฉพาะคือ การขจัดให้บริสุทธิ์จากความต้องการ ความยากได้ และความกลัว ซึ่งในทัศนะของพวกเขา สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นชิริก ส่วนอิบาดะฮฺ ของเหล่าบรรดาผู้ขัดเกลาตนเองหมายถึง การขจัดให้สะอาดจากเจตนารมณ์ไม่ดีทั้งหลาย ซึ่งในทัศนะของผู้ขัดเกลาตนเอง การตั้งภาคีถือว่ายิ่งใหญ่ ส่วนการปฏิเสธศรัทธานั้นยิ่งใหญ่กว่า กล่าวว่า มารดาแห่งเทวรูปคือจิตวิญญาณของเจ้า สิ่งที่มายากรได้แสดงคือ งูเทียมที่เกิดจากเส้นเชือก

ส่วนอิบาดะฮฺ ที่เป็นตัวเสริมให้สมบูรณ์คือ อิบาดะฮฺที่พาจิตใจให้พบทางสว่างสามารถสัมผัสพระเจ้าได้ด้วยพลังศรัทธา ท่านอิมามโคมัยนี้ (รฎ.) กล่าวว่า จิตที่คารวะและยอมจำนนหมายถึงจิตที่ยอมจำนนต่ออัลลอฮฺเพืยงพระองค์ ไม่มีสิ่งอื่นใดซ่อนอยู่ในใจของเขาอีก[16]

 



[1]  อิมามโคมัยนี้ อัสรอรุซเซาะลาฮฺ การโบยบินในโลกเร้นลับ เล่ม 2 หน้า 190

[2]  นะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ ฮิกมะฮฺที่ 237, อุซูลกาฟีย์ เล่ม 2 หน้า 84 ฮะดีซที่ 5

[3] ดามอดดีย ซัยยิดมุฮัมมัด ชัรฮฺมะกอลอดอัรบะอีน หน้า 125

[4]  มิซบาฮุชชะรีอะฮฺ บาบที่ 100

[5]  เชคบะฮาอีย์ มุฮัมมัด อัรบะอีน

[6]  บิฮารุลอันวาร เล่ม 1 หน้า 224 ฮะดีซที่ 17

[7]  อัลลามะฮฺ เฏาะบาเฏาะบาอีย์ มุฮัมมั ฮุซัยนฺ ตัฟซีรมีซาน เล่ม 1 หน้า 277

[8]  บิฮารุลอันวาร เล่ม 74 หน้า 402 อัลฮุกมุลซอฮิเราะฮฺ แปลโดย อันซอรียื หน้า 488 ฮะดี

ที่ 1352

[9]  ชีรอซีย์ ซัยยิดฮุซัยนฺ กิลิมะตุลลอฮฺ หน้า 140 ลำดับที่ 154

[10]  มีซานุลฮิกมะฮฺ เล่ม 6 รายงานลำดับที่ 11317

[11] ฮุซัยนี เตหะรานี ซัยยิดมุฮัมมัด ฮุซัยน์ อันวารุลมะละกูต เล่ม 1 หน้า 288

[12] อัลกุรอาน บทอัลอิสรอ โองการที่ 1

[13]  อิมามโคมัยนี ซีรุรเซาะลาฮฺ หน้า 89

[14] อัลกุรอาน บทซัจญฺดะฮฺ 16

[15] อัลกุรอาน บทซุมัร โองการที่ 3

[16] อิมามโคมัยนี ซีรุรเซาะลาฮฺ หน้า 75

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • มุสลิมะฮ์ท่านใดที่พูดคุยด้วยโองการกุรอานนานหลายปี?
    7354 تاريخ بزرگان 2554/06/11
    มุสลิมะฮ์ท่านนี้ก็คือฟิฎเฎาะฮ์ทาสีของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ซึ่งตำราชั้นนำต่างระบุว่านางพูดคุยด้วยโองการกุรอานนานหลายปี. ...
  • ฮะดีษร็อฟอ์ (เพิกถอน) คืออะไร?
    7549 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/02/04
    ฮะดีษร็อฟอ์เป็นชื่อเรียกของฮะดีษสองบทจากท่านนบี(ซ.ล.) ซึ่งหนึ่งในสองบทกล่าวถึงการผ่อนผันข้อบังคับหรือสถานะนานาประเภทรวมทั้งผลต่อเนื่องต่างๆในอิสลามให้พ้นจากผู้บรรลุนิติภาวะในลักษณะบทเฉพาะกาล อีกบทหนึ่งกล่าวถึงการผ่อนผันข้อบังคับบางประการเฉพาะสำหรับบุคคลบางกลุ่มฮะดีษแรกแม้จะมีข้อแตกต่างเกี่ยวกับรายละเอียดของภาระที่ผ่อนผันอยู่บ้างแต่ก็ปรากฏอยู่ในตำราที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่ของชีอะฮ์ทั้งยุคแรกและยุคหลังโดยอิมามศอดิก(อ.) และอิมามริฎอ(อ.)รายงานจากท่านนบี(ซ.ล.) และถือว่ามีสายรายงานที่เศาะฮี้ห์เนื้อหาเบื้องต้นของฮะดีษที่คัดเฉพาะบทที่มีรายละเอียดสมบูรณ์ที่สุดมีดังนี้ “ประชาชาติมุสลิมได้รับการผ่อนผันเก้าสิ่งต่อไปนี้หนึ่ง. ความผิดพลาดสอง.การหลงลืมสาม. สิ่งที่ไม่รู้สี่. สิ่งที่ไม่สามารถกระทำได้ห้า. สิ่งที่กระทำโดยไม่มีทางเลือกหก. สิ่งที่ถูกบังคับให้กระทำเจ็ด. การกระทำที่ฤกษ์ไม่ดีแปด. ความคิดฟุ้งซ่านเกี่ยวกับการสร้างโลกเก้า. ความริษยาตราบเท่าที่ยังไม่สำแดงออก”[i]ฮะดีษชุดนี้นอกจากจะได้รับการอรรถาธิบายโดยผู้เชี่ยวชาญด้านวิชาอุศูลุลฟิกห์แล้ว (เกี่ยวกับหลักมุจมั้ลและมุบัยยันในตำราของพี่น้องซุนนะฮ์ยุคแรก) ยังได้รับการศึกษาอย่างละเอียดถี่ถ้วนโดยผู้เชี่ยวชาญวิชาอุศู้ลในสายอิมามียะฮ์อีกด้วย (ใช้ตัวบทที่ว่าمالایعلمون เพื่อพิสูจน์หลักบะรออะฮ์ในข้อสงสัยเชิงฮุก่มหักห้าม)ฮะดีษอีกบทหนึ่งที่เป็นที่รู้จักในนาม (ร็อฟอุ้ลเกาะลัม) เป็นสายรายงานของฝ่ายอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ที่รายงานจากท่านนบีผ่านท่านอิมามอลี(อ.) และอาอิชะฮ์
  • ถูกต้องไหม ขณะที่ท่านอิมามอะลี (อ.) ถูกฟันศีรษะขณะนมาซซุบฮฺ,อิมามฮะซันและอิมามฮุซัยนฺ มิได้อยู่ด้วย?
    8200 تاريخ بزرگان 2554/12/20
    รายงานเกี่ยวกับการถูกฟันของท่านอิมามอะลี (อ.) ซึ่งขณะนั้นท่านอิมามฮะซันและอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ร่วมอยู่ด้วยนั้นมีจำนวนมากด้วยเหตุนี้เองจึงมีความเป็นไปได้หลายกรณีเกี่ยวกับประเด็นที่กำลังวิภาษกันอยู่กล่าวคือ:1.
  • การประทานอัลกุรอานลงมาคราวเดียวและการทยอยประทานลงมาผ่านพ้นไปตั้งแต่เมื่อใด?
    18641 วิทยาการกุรอาน 2554/04/21
    การประทานอัลกุรอานในคราวเดียวกันบนจิตใจของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) ได้เกิดขึ้นเมื่อค่ำคืนแห่งอานุภาพ (ลัยละตุลก็อดฺร์) อันเป็นหนึ่งในค่ำคืนสำคัญยิ่งแห่งเดือนรอมฏอนและเมื่อได้ศึกษารายงานฮะดีซบางบทและอัลกุรอานบางโองการแล้วจะเห็นว่ารายงานและโองการเหล่านั้นได้สนับสนุนความเป็นไปได้ดังกล่าวว่าค่ำคืนแห่งอานุภาพนั้นก็คือค่ำคืนที่ 23 ของเดือนรอมฎอน
  • แถวนมาซญะมาอะฮฺควรตั้งอย่างไร? การเคลื่อนในนมาซทำให้บาฎิลหรือไม่?
    7000 สิทธิและกฎหมาย 2554/06/21
    เกี่ยวกับคำถามของท่านในเรื่องการจัดแถวนมาซญะมาอะฮฺมีกล่าวไว้แล้วในหนังสือฟิกฮต่างๆ :1. มะอฺมูมต้องไม่ยืนล้ำหน้าอิมามญะมาอะฮฺ[1]2. มุสตะฮับถ้าหากมะอฺมูม,เป็นชายเพียงคนเดียว, ให้ยืนด้านขวามือของอิมามญะมาอะฮฺ[2], และเป็นอิฮฺติยาฏวาญิบให้ยืนถอยไปด้านหลังของอิมามญะมาอะฮฺแต่ถ้ามีมะอฺมูมหลายคนให้ยืนด้านหลังของอิมามญะมาอะฮฺ[3]ดังนั้นโดยทั่วไปของเรื่องนี้ต้องการให้แต่ละคนจากมะอฺมูมคนที่ 1 และ 2 ปฏิบัติหน้าที่ของตนส่วนคำตอบสำหรับคำถามที่ว่ามะอฺมูมคนที่สองเป็นสาเหตุทำให้มะอฺมูมคนแรกต้องเคลื่อนที่ในนมาซญะมาอะฮฺอันเป็นสาเหตุทำให้นมาซของเขาบาฏิลหรือไม่นั้น, ต้องกล่าวว่า: การกระทำใดก็ตามที่ทำให้รูปแบบของมนาซต้องสูญเสียไปถือว่านมาซบาฏิล, เช่นการกอดอกหรือการกระโดดและฯลฯ[4]มัรฮูมซัยยิดกาซิมเฎาะบาเฏาะบาอียัซดีกล่าวว่า[5]ขณะนมาซ,ถ้าได้เคลื่อนเพื่อหันให้ตรงกับกิบละฮฺ[6]ถือว่าถูกต้อง,แม้ว่าจะถอยไปสองสามก้าวหรือมากกว่านั้น, เนื่องจากการเคลื่อนเพียงเท่านี้ไม่นับว่าเป็นอากับกริยาเพิ่มในนมาซทั้งที่มิได้มีการเคลื่อนมากมายและไม่ถือเป็นการทำลายรูปลักษณ์ของนมาซหรือเคลื่อนมากไปกว่านั้นก็ยังไม่ถือว่าทำลายรูปลักณ์ของนมาซอยู่ดีด้วยเหตุนี้มีรายงานอนุญาตให้กระทำเช่นนั้นด้วย
  • อัลลอฮฺ ทรงพึงพอพระทัยผู้ใด? บุคคลใดที่พระองค์ทรงพึงพอพระทัย, ผู้นั้นจะได้เป็นเจ้าของสรวงสวรรค์แห่งความโปรดปรานหรือ? ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว โองการที่ 28 บทอันบิยาอฺที่กล่าวว่า : และพวกเขาจะมิให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ใด, นอกจากผู้ที่พระองค์ทรงพอพระทัย จะไม่ขัดแย้งกันดอกหรือ? อีกนัยหนึ่ง : เจ้าของสรวงสวรรค์แห่งความพึงพอพระทัย จะเข้ากันได้อย่างไรกับชะฟาอะฮฺ?
    9786 การตีความ (ตัฟซีร) 2554/10/22
    อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงพึงพอพระทัยบุคคลที่มีศรัทธาและพึงปฏิบัติคุณงามความดี, เพียงแต่ว่าความศรัทธาและคุณงามความดีนั้นมีทั้งเข้มแข็งมั่นคงและอ่อนแอ อีกทั้งมีระดับชั้นที่แตกต่างกันออกไป, ความพึงพอพระทัยของอัลลอฮฺที่มีต่อพวกเขาจึงแตกต่างกันออกไปด้วยสรวงสวรรค์ ก็เช่นเดียวกันถูกแบ่งไปตามระดับชั้นของความศรัทธา คุณภาพ และปริมาณของคุณงามความดีที่ชาวสวรรค์ได้สั่งสม ซึ่งระดับชั้นของสวรรค์ก็มีความแตกต่างกันออกไป ส่วน “สวรรค์ชั้นริฎวาน” คือสวรรค์ชั้นสูงที่สุด เจ้าของสวรรค์ชั้นนี้ได้แก่ บรรดาศาสดาทั้งหลาย, บรรดาตัวแทนและบรรดาหมู่มิตรของอัลลอฮฺ (ซบ.), ตลอดจนบรรดาผู้ใกล้ชิดอัลลอฮฺ ชนกลุ่มนี้ไม่ต้องการชะฟาอะฮฺแต่อย่างใด เนื่องจากพวกเขาคือผู้ให้ชะฟาอะฮฺ และยังเป็นสักขีพยานในวันแห่งการฟื้นคืนชีพอีกต่างหาก. ด้วยเหตุนี้เอง วัตถุประสงค์ของประโยคที่ว่า “มะนิรตะฎอ” (ผู้ที่ได้รับความพึงพอพระทัยจากอัลลอฮฺ) ในโองการอัลกุรอานจึงไม่ใช่บุคคลที่เป็นเจ้าของสวรรค์ชั้นริฏวาน เพื่อว่าระหว่างตำแหน่งชั้นของพวกเขากับโองการจะได้ไม่ขัดแย้งกันอัลกุรอาน โองการดังกล่าวอยู่ในฐานะของการขจัดความสงสัยและความเข้าใจผิด ของบรรดาผู้ปฏิเสธที่วางอยู่บนความเข้าใจที่ว่า มลาอิกะฮฺจะให้ชะฟาอะฮฺแก่พวกเขา, เนื่องจากมลาอิกะฮฺคือเจ้าหน้าที่ของอัลลอฮฺ ซึ่งพวกเขาจะไม่ปฏิบัติสิ่งใดที่ขัดแย้งต่อบัญชาของพระองค์, พวกเขาจะให้ชะฟาอะฮฺแก่บุคคลผู้ซึ่ง ...
  • ริวายะฮ์(คำรายงาน)ที่มีความขัดแย้งกัน ยกตัวอย่างเช่น ริวายะฮ์ที่กล่าวถึงการจดบาปของมนุษย์ กับริวายะฮ์ทีกล่าวว่า การจดบาปจะไม่เกิดขึ้นจนกว่าครบ ๗ วัน เราสามารถจะแก้ไขริวายะฮ์ทั้งสองได้อย่างไร?
    4718 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2561/11/05
    สำหรับคำตอบของคำถามนี้ จะต้องตรวจสอบในหลายประเด็นดังต่อไปนี้ ๑.การจดบันทึกเนียต(เจตนา)ในการทำบาป กล่าวได้ว่า จากการตรวจสอบจากแหล่งอ้างอิงเกี่ยวกับการจดบันทึกเนียตในการทำบาปปรากฏว่าไม่มีริวายะฮ์รายงานเรื่องนี้แต่อย่างใด และโองการอัลกุรอานก็ไม่สามารถวินิจฉัยถึงเรื่องนี้ได้ เพราะว่า โองการอัลกุรอานกล่าวถึงความรอบรู้ของพระเจ้าในเนียตของมนุษย์ พระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ)ทรงตรัสว่า เราได้สร้างมนุษย์ขึ้นมา และเรารู้ดียิ่งในสิ่งที่จิตใจของเขากระซิบกระซาบแก่เขา และเราอยู่ใกล้ชิดกับเขามากกว่าเส้นเลือดชีวิตของเขาเสียอีก ดังนั้น การที่พระองค์ทรงมีความรู้ในเจตนาทั้งหลาย มิได้หมายถึง การจดบันทึกว่าเป็นการทำบาปหรือเป็นบทเบื้องต้นในการทำบาป ๒.การจดบันทึกความบาปโดยทันทีทันใด ซึ่งเกี่ยวกับประเด็นนี้ก็ไม่ปรากฏริวายะฮ์ที่กล่าวถึง แต่ทว่า บางโองการอัลกุรอาน กล่าวถึง การจดบันทึกโดยทันทีทันใดในบาป ดั่งเช่น โองการที่กล่าวว่า (ในวันแห่งการตัดสิน บัญชีอะมั้ลการกระทำของมนุษย์)บันทึกจะถูกวางไว้ ดังนั้นเจ้าจะเห็นผู้กระทำความผิดบาปทั้งหลายหวั่นกลัวสิ่งที่มีอยู่ในบันทึก และพวกเขาจะกล่าวว่า โอ้ความวิบัติของเรา บันทึกอะไรกันนี่ มันมิได้ละเว้นสิ่งเล็กน้อย และสิ่งใหญ่โตเลย เว้นแต่ได้บันทึกไว้ครบถ้วน และพวกเขาได้พบสิ่งที่พวกเขาได้ปฏิบัติไว้ปรากฏอยู่ต่อหน้า และพระผู้เป็นเจ้าของเจ้ามิทรงอธรรมต่อผู้ใดเลย โองการนี้แสดงให้เห็นว่า ความผิดบาปทั้งหมดจะถูกจดบันทึกอย่างแน่นอนก ๓.การจดบันทึกความบาปจนกว่าจะครบ ๗ วัน มีรายงานต่างๆมากมายที่กล่าวถึง การไม่จดบาปในทันที แต่ทว่า มีรายงานหนึ่งกล่าวว่า ให้โอกาสจนกว่าจะครบ ๗ วัน ...
  • มลาอิกะฮ์สร้างมาจากรัศมีของบรรดาอิมาม และมีหน้าที่ร่ำไห้แด่อิมามฮุเซน(อ.)กระนั้นหรือ?
    9138 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/12/19
    1. ความเชื่อที่ว่ามลาอิกะฮ์สร้างขึ้นจากรัศมีนั้นได้รับการยืนยันจากฮะดีษหลายบทที่รายงานไว้ในตำราฝ่ายชีอะฮ์และซุนหนี่ตำราชีอะฮ์บางเล่มระบุถึงการสร้างสิ่งมีชีวิตต่างๆรวมถึงมลาอิกะฮ์จากรัศมีของปูชนียบุคคลอย่างท่านนบี(ซ.ล.) หรือบรรดาอิมามหรือบุคคลอื่นๆดังที่ตำราของซุนหนี่เองก็เล่าว่าเคาะลีฟะฮ์ท่านแรกและคนอื่นๆถือกำเนิดจากรัศมีของท่านนบี(ซ.ล) การที่มีฮะดีษเหล่านี้ปรากฏอยู่ในตำรับตำราของแต่ละฝ่ายมิได้หมายความว่าทุกคนจะต้องคล้อยตามฮะดีษเหล่านี้เสมอไป อย่างไรก็ดีตำราฮะดีษชีอะฮ์ได้รายงานฮะดีษชุด "ฏีนัต" ไว้ซึ่งไม่อาจจะมองข้ามได้กล่าวโดยสรุปคือหากพบว่ามุสลิมแต่ละฝ่ายอาจมีทัศนะแตกต่างกันบ้างในเรื่องการสรรสร้างของพระองค์
  • เพราะเหตุใดจึงต้องคลุมฮิญาบ และทำไมอิสลามจำกัดสิทธิสตรี?
    15198 ปรัชญาของศาสนา 2554/06/21
    สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีมีความคล้ายคลึงกันในแง่ของการที่มีต้นกำเนิดเดียวกันและการที่ควรได้รับความเสมอภาคทางสังคมอาทิเช่นการศึกษา, การแสดงความเห็น...ฯลฯอย่างไรก็ดีในแง่สรีระและอารมณ์กลับมีข้อแตกต่างหลายประการข้อแตกต่างเหล่านี้เองที่ส่งผลให้เกิดบทบัญญัติพิเศษอย่างเช่นการสวมฮิญาบในสังคมทั้งนี้ก็เนื่องจากสุภาพสตรีมีความโดดเด่นในแง่ความวิจิตรสวยงามแต่สุภาพบุรุษมีความโดดเด่นในแง่ผู้แสวงหาด้วยเหตุนี้จึงมีการเน้นย้ำให้สุภาพสตรีสงวนตนในที่สาธารณะมากกว่าสุภาพบุรุษทั้งนี้และทั้งนั้นหาได้หมายความว่าจะมีข้อจำกัดด้านการแต่งกายเพียงสุภาพสตรีโดยที่สุภาพบุรุษไม่ต้องระมัดระวังใดๆไม่. ...
  • โองการ اخْلُفْنِی فِی قَوْمِی وَأَصْلِحْ وَلَا تَتَّبِعْ سَبِیلَ الْمُفْسِدِینَ กล่าวโดยผู้ใด และปรารภกับผู้ใด?
    6668 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/19
    โองการที่ถามมานั้น กล่าวถึงคำสั่งของท่านนบีมูซา(อ.)ที่มีแด่ท่านนบีฮารูน(อ.)ขณะกำลังจะเดินทางจากชนเผ่าของท่านไป ทั้งนี้เนื่องจากการแต่งตั้งตัวแทนจะกระทำในยามที่บุคคลกำลังจะลาจากกัน เมื่อท่านนบีมูซาได้รับบัญชาให้จาริกสู่สถานที่นัดหมายจึงแต่งตั้งท่านนบีฮารูน (ซึ่งดำรงตำแหน่งนบีอยู่แล้ว) ให้เป็นตัวแทนของท่านในหมู่ประชาชน และได้กำชับให้ฟื้นฟูดูแลประชาชน และให้หลีกห่างกลุ่มผู้นิยมความเสื่อมเสีย[1]อนึ่ง ท่านนบีฮารูน(อ.)เองก็มีฐานะเป็นนบีและปราศจากความผิดบาป อีกทั้งไม่คล้อยตามผู้นิยมความเสื่อมเสียอยู่แล้ว ท่านนบีมูซาเองก็ย่อมทราบถึงฐานันดรภาพของพี่น้องตนเองเป็นอย่างดี ฉะนั้น คำสั่งนี้จึงมิได้เป็นการห้ามมิให้นบีฮารูนทำบาป แต่ต้องการจะกำชับมิให้รับฟังทัศนะของกลุ่มผู้นิยมความเสื่อมเสีย และอย่าคล้อยตามพวกเขาจนกว่าท่านนบีมูซาจะกลับมา

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60388 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57941 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42480 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39766 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39135 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34242 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28284 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28214 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28151 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26091 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...