การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
9449
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/12/19
 
รหัสในเว็บไซต์ fa8096 รหัสสำเนา 19870
หมวดหมู่ تاريخ بزرگان
คำถามอย่างย่อ
จริงหรือไม่ที่อิมามฮุเซน (อ.) สมรสกับชะฮ์รบานู?
คำถาม
จริงหรือไม่ที่อิมามฮุเซน (อ.) สมรสกับชะฮ์รบานู? กรุณาระบุหลักฐานที่สามารถอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ได้ เช่นหนังสือ ตารีคบัลอะมีย์
คำตอบโดยสังเขป

เกี่ยวกับประเด็นการสมรสระหว่างอิมามฮุเซน (.) กับชะฮ์รบานูซึ่งเป็นเชลยศึกของกองทัพมุสลิมนั้น มีหลายทัศนะด้วยกัน เนื่องจากบางรายงานเล่าว่าหญิงคนนี้ถูกจับเป็นเชลยในสมัยการปกครองของอุมัร บ้างกล่าวว่าสมัยอุษมาน อีกทั้งยังระบุนามของท่านและบิดาของท่านไว้แตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้ ยากที่จะฟันธงว่าภรรยาขอของอิมามฮุเซน (.) และมารดาของอิมามซัยนุลอาบิดีน(.) เป็นชาวอิหร่าน ( อีกทั้งการที่มีนามว่าชะฮ์รบานู)

คำตอบเชิงรายละเอียด

เกี่ยวกับประเด็นของการสมรสของอิมามฮุเซน (.) กับบุตรีของยัซด์เกิร์ดที่สามนั้น นักประวัติศาสตร์และนักรายงานฮะดีษมีทัศนะที่แตกต่างกันดังนี้

1.   เชคศอดู้ก (.) ได้รายงานฮะดีษเกี่ยวกับมารดาของอิมามซัยนุลอาบิดีน (.) ว่า ซะฮ์ล บินกอซิม กล่าวว่าอิมามริฏอ (.) กล่าวกับฉันที่คุรอซานว่าเรากับท่านมีความเกี่ยวดองทางสายเลือดกันฉันได้กล่าวว่าเกี่ยวดองอย่างไรหรือท่าน?” ท่านตอบว่าสมัยที่อับดุลลอฮ์ บินอามิร บินกะรีซ ยึดแคว้นคุรอซานได้ เขาได้จับกุมบุตรสาวของยัซเกิร์ด กษัตรย์ของอิหร่านได้สองนาง และได้นำตัวพวกนางมามอบแก่อุษมาน บินอัฟฟาน เขาได้สองนางให้กับอิมามฮาซัน (.) และอิมามฮุเซน (.) ทั้งสองเสียชีวิตหลังคลอดบุตร  ภรรยาของอิมามฮุเซน (.) ได้ให้กำเนิดท่านอิมามซัยนุลอาบิดีน (.) ก่อนนางจะเสียชีวิต แต่หลังจากที่นางเสียชีวิตลง อิมามซัยนุลอาบิดีน (.) ก็ได้รับการเลี้ยงดูโดยหญิงรับใช้ของอิมามฮุเซน (.) นางหนึ่ง[1]รายงานนี้ระบุว่าบุตรีของยัซด์เกิร์ดถูกส่งตัวมายังมะดีนะฮ์ในยุคของอุษมาน มิไช่ยุคของอุมัร บินคอฏฏ้อบ

เชคอับบาส กุมี กล่าวถึงรายงานดังกล่าวว่าฮะดีษบทนี้ขัดกับบทอื่น  ที่ระบุว่าบุตรีของยัซเกิร์ดถูกนำตัวมาในสมัยของอุมัร บินคอฏฏ้อบ ซึ่งฮะดีษเหล่านี้เป็นที่ยอมรับและน่าเชื่อถือมากกว่า[2]

2.   กุลัยนี (.) อธิบายเกี่ยวกับมารดาของอิมามซัยนุลอาบิดีน (.) ด้วยฮะดีษที่ว่าเมื่อบุตรสาวของยัซด์เกิร์ดถูกนำตัวมามอบแด่อุมัร สตรีชาวมาดีนะฮ์ต่างเบียดเสียดกันจ้องมองนาง และเมื่อนางเข้ามายังมัสยิด ใบหน้านางขาวผ่องประดุจว่าทำให้มัสยิดสว่างไสว อุมัรมองนาง นางรีบปิดใบหน้าและกล่าวว่าโอ๊ฟ บีรู้จ บอดอ โฮ้รโมซอุมัรกล่าวขึ้นว่านางได้ด่าทอฉันว่าแล้วก็จ้องเขม็ง อิมามอลี (.) กล่าวกับอุมัรว่าท่านไม่มีสิทธิจะปองร้ายนาง ท่านควรที่จะมอบสิทธิแก่นางให้สามารถเลือกชายมุสลิมด้วยตนเอง แล้วจึงหักจากบัญชีสินสงครามของชายผู้นั้นจะได้รับ อุมัรได้ให้สิทธิ์นี้แก่นาง นางได้เดินมาและเอามือวางบนศีรษะของอิมามฮุเซน (.) อิมามอาลี (.) ได้ถามนางว่าเธอชื่ออะไร?” นางตอบว่าญะฮอนชอฮ์ท่านกล่าวว่าชื่อที่เหมาะแก่เธอคือ ชะฮ์รบอนูเยะฮ์

หลังจากนั้นได้กล่าวกับอิมามฮุเซน (.) ว่าโอ้อบาอับดิลลาฮ์ หญิงคนนี้จะให้กำเนิดบุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนหน้าแผ่นดิน และในที่สุดอิมามอาลี บินฮุเซน (.) ก็ถือกำเนิดจากนาง โดยได้รับฉายานามว่าอิบนุลคิยะเราะตัยน์” (บุตรของผู้ถูกคัดเลือกทั้งสอง) เนื่องจากบนีฮาชิมและชนชาติเปอร์เซียเป็นชนที่เลือกสรรโดยอัลลอฮ์ จากอรับและอะญัม[3]

เนื้อหาและสายรายงานของฮะดีษดังกล่าวถูกวิจารณ์โดยนักวิจัยบางส่วน เช่นการที่ฮะดิษบทนี้รายงานโดยอัมร์ บินชิมร์ซึ่งเป็นบุคคลที่ไม่น่าเชื่อถือในทัศนะของผู้เชี่ยวชาญด้านสายรายงาน[4]

ในแง่ของเนื้อหาก็อาจจะถูกวิจารณ์ได้หลายประเด็นดังนี้

-           การที่บุตรีคนหนึ่งของยัซด์เกิร์ดถูกจับเป็นเชลยนั้น ยังเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน

-           การที่อิมามฮุเซน (.) ได้แต่งงานกับสตรีคนหนึ่งในเวลานั้นเป็นที่เป็นที่น่าเคลือบแคลง เนื่องจากรานงานแรกระบุว่าหญิงผู้นี้ถูกจับเป็นเชลยในการพิชิตแคว้นคุรอซาน อันหมายถึงปีฮ.. 22 ในสมัยของอุษมาน
แต่รายงานที่สองระบุว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในสมัยการปกครองของอุมัร และหากเรายึดตามคำพูดนี้ ต้องทราบว่าขณะที่อิหร่านถูกยึดนั้น อิมามมีอายุระหว่าง 10-11 ปี เนื่องจากการยึดอิหร่านเกิดขึ้นในปีที่ 2 ของการปกครองของอุมัร ดังนั้นเป็นไปได้ยากที่อิมามจะสมรสในช่วงอายุดังกล่าว

-           ตำราทางประวัติศาสตร์ให้ข้อมูลแตกต่างกันในกรณีมารดาของอิมามซัยนุลอาบิดีน (.) ทั้งนี้ ยะอ์กูบี (เสียชีวิต 284 ..)[5], มุฮัมหมัด บินฮะซัน กุมีย์[6], กุลัยนี (เสียชีวิต 329 ..)[7], มุฮัมหมัด บินฮะซัน ศ็อฟฟาร กุมีย์ (เสียชีวิต 290 ..), อัลลามะฮ์มัจลิซีย์[8], เชคศอดู้ก (เสียชีวิต 381 ..)[9] และเชคมูฟีด (เสียชีวิต 413 ..)[10] เชื่อว่านางเป็นบุตรสาวของยัซด์เกิรด ถึงแม้ว่าจะมีความเห็นต่างกันในประเด็นชื่อของนางก็ตาม

นอกจากนี้ ยังมีทัศนะอื่นที่ระบุไว้ในตำรารุ่นแรกและรุ่นหลังของพี่น้องซุนหนี่มากมายที่เล่าว่านางเป็นชาวเมืองซิซตาน หรือแคว้นสินธุ หรืออาจเป็นชาวคาบุล และมีสายรายงานมากมายไม่ได้กล่าวถึงสถานที่จองจำของนาง เพียงแต่ได้กล่าวว่านางเป็นอุมมุวะลัด” (สาวใช้ที่มีบุตร) นั้นเอง[11]

บ้างก็เชื่อว่าบิดาของนางเป็นผู้มีชื่อเสียงชาวอิหร่านที่สันนิษฐานว่าชื่อ ซุบฮาน, ซินญาน, นุชญาน หรือชีรูเยะฮ์

หากเราต้องการที่จะวิเคราะห์รายงานเหล่านี้ เราไม่สามารถที่จะพึ่งพาสายรายงานของคำบอกเล่าเหล่านี้แต่อย่างใด เนื่องจากแต่ละสายรายงานไม่มีแหล่งอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ นอกจากนี้ หนังสือประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ เช่นหนังสือประวัติศาสตร์ยะอ์กูบี ก็รายงานโดยไม่ได้ระบุถึงแหล่งข้อมูลเลย

ดังนั้น เราจะต้องวิเคราะห์ในแง่เนื้อหาเพียงอย่างเดียว ซึ่งในวิธีนี้เราจะประสบปัญหาต่าง  เช่น:

1.     ปัญหาหลักก็คือ รายงานเหล่านี้ไม่สอดคล้องกันในเรื่องชื่อของนางและชื่อบิดา เนื่องจากสายรายงานต่าง ๆระบุว่านางมีชื่อต่างๆดังนี้ ชะฮ์บานู, ซัลลาเคาะฮ์, ฆ็อซซาละฮ์

2.     ทัศนะที่ไม่ตรงกันเกี่ยวกับระยะเวลาที่นางได้ถูกจับเป็นเชลยก็เป็นอีกหนึ่งปัญหา ซึ่งบ้างก็เชื่อว่านางเป็นเชลยในสมัยของอุมัร และบ้างก็เชื่อว่าในสมัยอุษมาน และบางคน เช่น เชคมุฟี้ด เชื่อว่าเกิดขึ้นในสมัยของอิมามอลี (.)[12]

3.     โดยปกติแล้ว หนังสือบางเล่ม เช่น ตารีคเฏาะบะรี และอัลกามิล ของอิบนุอะษี้ร ซึ่งรายงานสงครามต่างๆระหว่างมุสลิมกับเปอร์เซียตามลำดับปี โดยได้ระบุเส้นทางการหลบหนีของยัซด์เกิร์ดที่ไปตามเมืองต่าง  ของอิหร่าน แต่กลับมิได้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่ราชธิดาถูกจับเป็นเชลยแต่อย่างใด ทั้งๆ ที่ประเด็นนี้เป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากกว่าเหตุการณ์ปลีกย่อยอื่นๆ ที่หนังสือดังกล่าวบันทึกไว้เสียอีก

4.     เมื่อนักประวัติศาสตร์ประพันธ์รุ่นแรกเช่น มัสอูดีกล่าวถึงบุตรธิดาของยัซด์เกิร์ด เขากล่าวเพียงราชธิดาที่มีนามว่า อัดรัก, ชอฮีน และมัรดอวันด์ ซึ่งไม่มีชื่อใดตรงกับชื่อที่มีรายงานไว้ว่าเป็นชื่อของมารดาอิมามซัยนุลอาบิดีน (.)เลย อีกทั้งไม่กล่าวถึงการถูกจับเป็นเชลยของพวกนางเลย[13]

อย่างไรก็ตาม เมื่อคำนึงถึงเบาะแสและทัศนะต่าง  เกี่ยวกับมารดาของอิมามซัยนุลอาบิดีน กอปรกับประเด็นที่ว่า นักรายงานที่มีชีวิตอยู่ก่อนศตวรรษที่สามส่วนใหญ่เชื่อว่านางเป็นสาวใช้จากแคว้นสินธุ หรือคาบูล[14] ทำให้ไม่สามารถแสดงทัศนะเชิงฟันธงเกี่ยวกับมารดาของอิมามซัยนุลอาบิดีน (.) ได้[15]



[1] อุยูน อัคบารุร ริฏอ, ภาค 2, หน้า 128, ฮะดีษที่ 6, ตรวจตราโดยซัยยิดมะฮ์ดี ฮุซัยนี ลอญะวาร์ดี, ..1377, สำนักพิมพ์มิรซอ มุฮัมหมัด ริฏอ มุฮ์ตะดี, พิมพ์ครั้งที่ 1, (คัดมาจากซีดีญามิอุลอะฮาดีษ นู้ร)

[2] กุมี, เชคอับบาซ, มุนตะฮัลอามาล, เล่ม 2, หน้า 30, สำนักพิมพ์ฮิจรัต

[3] อุศูลกาฟี, เล่ม 1, หน้า 467, สำนักพิมพ์ออคุนดี

[4] คุลาเซาะตุลอักวาล ฟี มะริฟะตุรริญาล, บทที่ 2, หน้า 241, คำว่า อัมร์, ดู: ชะฮ์รบานู ภรรยาของอิมามฮุเซน (.)

[5] ประวัติศาสตร์ยะอ์กูบี, เล่ม 2, หน้า 303

[6] ประวัติศาสตร์กุม, หน้า 195

[7] อุศูลกาฟี, เล่ม 2, หน้า 369

[8] บิฮารุลอันว้าร, เล่ม 46, หน้า 9

[9] อุยูนุ อัคบารุร ริฏอ, เล่ม 2, หน้า 369

[10] อัลอิรชาด, หน้า 492

[11] บิฮารุลอันว้าร, เล่ม 46, หน้า 9

[12] อัลอิรชาด, หน้า 492

[13] ประวัติของอลี บินฮุเซน (.), หน้า 12

[14] ชุอูบียะฮ์, หน้า 305

[15] ดู: มารดาของอิมามซัจญาด

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • จงอธิบายเหตุผลที่บ่งบอกว่าดนตรีฮะรอม
    9868 สิทธิและกฎหมาย 2554/10/22
    ดนตรีและเครื่องเล่นดนตรีตามความหมายของ ฟิกฮฺ มีความแตกต่างกัน. คำว่า ฆินา หมายถึง การส่งเสียงร้องจากลำคอออกมาข้างนอก โดยมีการเล่นลูกคอไปตามจังหวะ, ซึ่งทำให้ผู้ฟังเกิดประเทืองอารมณ์และมีความสุข ซึ่งมีความเหมาะสมกับงานประชุมที่ไร้สาระ หรืองานประชุมที่คร่าเวลาให้หมดไปโดยเปล่าประโยชน์ส่วนเสียงดนตรี หมายถึงเสียงที่เกิดจากการเล่นเครื่องตรี หรือการดีดสีตีเป่าต่างๆเมื่อพิจารณาอัลกุรอานบางโองการและรายงานฮะดีซ ประกอบกับคำพูดของนักจิตวิทยาบางคน, กล่าวว่าการที่บางคนนิยมกระทำความผิดอนาจาร, หลงลืมการรำลึกถึงอัลลอฮฺ, ล้วนเป็นผลในทางไม่ดีที่เกิดจากเสียงดนตรีและการขับร้อง ซึ่งเสียงเหล่านี้จะครอบงำประสาทของมนุษย์ ประกอบกับพวกทุนนิยมได้ใช้เสียงดนตรีไปในทางไม่ดี ดังนั้น สิ่งเหล่านี้อาจเป็นเหตุผลหนึ่งในเชิงปรัชญาที่ทำให้เสียงดนตรีฮะรอมเหตุผลหลักที่ชี้ว่าดนตรีฮะรอม (หรือเสียงดนตรีบางอย่างฮะลาล) คือโองการอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซจากท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ...
  • การจ่ายคุมซ์เป็นทรัพย์สินเพียงครั้งเดียว แล้วต่อไปไม่วาญิบต้องจ่ายคุมซ์อีกใช่หรือไม่?
    5775 สิทธิและกฎหมาย 2554/06/22
    ดั่งเป็นที่ทราบกันดีว่าคุมซ์คือหนึ่งในการบริจาคทรัพย์อันเป็นวาญิบสำคัญในอิสลามเป็นหนึ่งในหลักการอิสลามและเป็นอิบาดะฮฺด้วยด้วยสาเหตุนี้เองจำเป็นต้องเนียต (ตั้งเจตคติ) เพื่อแสวงความใกล้ชิดต่ออัลลอฮฺ (ซบ.)ทรัพย์สินและเงินทุนต่างๆที่ต้องจ่ายคุมซ์ถ้าหากจ่ายคุมซ์ไปแล้วเพียงครั้งเดียวไม่วาญิบต้องจ่ายคุมซ์อีกแม้ว่ากาลเวลาจะผ่านพ้นไปนานหลายปีก็ตามแต่ถ้าเป็นทรัพย์ที่เติบโตหรือมีราคาสูงขึ้นกว่าเดิมทุนเดิมไม่ต้องจ่ายคุมซ์แต่ส่วนที่เป็นผลกำไรงอกเงยอออกมาวาญิบต้องจ่ายคุมซ์[1][1]  เตาฏีฮุลมะซาอิลมะริญิอฺ
  • จะเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างศาสนาและวิทยาศาสตร์ได้อย่างไร?
    9341 ปรัชญาของศาสนา 2554/07/16
    ผู้ที่คิดว่าศาสนาและวิทยาศาสตร์ไม่อาจจะปรับเข้าหากันได้แสดงว่าไม่เข้าใจธรรมชาติของศาสนาเทวนิยมโดยเฉพาะศาสนาอิสลามอีกทั้งไม่เข้าใจว่าพื้นที่คำสอนของศาสนาและพื้นที่ความรู้ของวิทยาศาสตร์ก็แยกออกเป็นเอกเทศ เมื่อพื้นที่ต่างกันก็ย่อมไม่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นคำสอนของศาสนามีอิทธิพลต่อมนุษย์ในสามพื้นที่ด้วยกันนั่นคือความสัมพันธ์กับตนเองความสัมพันธ์กับผู้อื่น(สังคมและสิ่งแวดล้อม) และความสัมพันธ์กับพระเจ้า และในฐานะที่อิสลามถือเป็นศาสนาที่ครบถ้วนสมบูรณ์มากที่สุดได้สนองตอบความต้องการของมนุษย์ทุกยุคสมัยด้วยกระบวนการที่เรียกว่า “อิจญ์ติฮาด”ซึ่งได้รับการวางรากฐานโดยวงศ์วานศาสดามุฮัมมัดส่วนเทคโนโลยีนั้นมีอิทธิพลเพียงในพื้นที่แห่งประสาทสัมผัสและมีไว้เพื่อค้นพบศักยภาพของโลกและจักรวาลที่ซ่อนอยู่ตลอดจนเพื่อประดิษฐ์เครื่องมือในการใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่าจากเนียะอฺมัตของอัลลอฮ์เท่านั้น จึงกล่าวได้ว่านวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ช่วยแผ่ขยายพื้นที่ในการตรากฏเกณฑ์ศาสนาให้กว้างยิ่งขึ้นเพราะในทัศนะอิสลามแล้วสามารถจะวินิจฉัยปัญหาใหม่ๆได้โดยใช้กระบวนการอิจญ์ติฮาดและอ้างอิงขุมความรู้ทางฟิกเกาะฮ์. ...
  • อิสลามมีกฏเกณฑ์อย่างไรเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มสาว?
    22354 สิทธิและกฎหมาย 2554/08/09
    อิสลามถือว่าอัลลอฮ์ทรงสร้างชายและหญิงให้มีบทบาทเกื้อกูลกันและกันหนึ่งในปัจจัยที่ทั้งสองเพศต้องพึ่งพากันและกันก็คือความต้องการทางเพศทว่าการบำบัดความต้องการดังกล่าวจะต้องอยู่ในเขตคำสอนของอิสลามเท่านั้นจึงจะสามารถรักษาศีลธรรมจรรยาของทั้งสองฝ่ายได้อิสลามถือว่าความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มสาวก่อนแต่งงานไม่ว่าโดยตรงหรือผ่านสื่อหากเป็นไปด้วยความไคร่หรือเกรงว่าจะเกิดความไคร่ถือว่าไม่อนุมัติแต่สำหรับความสัมพันธ์ในการทำงานวิชาการและการศึกษาถือเป็นที่อนุมัติเฉพาะในกรณีที่ไม่โน้มนำไปสู่ความเสื่อมเสีย ...
  • ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์กฎการขวางด้วยหิน (ขวางให้ตาย) คืออะไร? การถือปฏิบัติกฎระเบียบดังกล่าว ตามหลักการอิสลามในยุคสมัยนี้ ไม่สร้างความเสื่อมเสียแก่อิสลามหรือ?
    9186 สิทธิและกฎหมาย 2555/08/22
    การลงโทษ โดยการขว้างด้วยก้อนหิน หรือเรียกว่า “รัจม์” เป็นที่ยอมรับในหมู่ประชาชาติ หมู่ชน และศาสนาต่างๆ ก่อนหน้าอิสลาม ซึ่งในอิสลามถือว่า การลงโทษดังกล่าวเป็นข้อกำหนดประเภทหนึ่งตามหลักชัรอียฺ แน่นอนและตายตัว ซึ่งจะใช้ลงโทษสำหรับการกระทำผิดที่หนักมาก ซึ่งมีรายงานจำนวนมากจากท่านศาสดา (ซ็อลฯ) กล่าวถึงประเด็นดังกล่าวไว้ เป้าหมายของอิสลามจากการลงโทษดังกล่าวคือ การปรับปรุงแก้ไขสังคม, อันเกิดจากความผิดปรกติด้านการก่ออาชญากรรม, เป็นการชำระผู้กระทำผิดอีกทั้งเป็นการลบล้างความผิดบาป ที่เกิดจากผลของความผิดนั้น, ดำเนินความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม,ป้องกันความหันเห ความหลงผิดต่างๆ อันเกิดจากการทำลายความบริสุทธิ์ของสังคม กลับคืนสู่สังคมอีกครั้ง ตามทัศนะของอิสลามการลงโทษ การทำชู้ (หญิงที่มีสามี หรือชายที่มีภรรยา) จะถูกลงโทษด้วยเงื่อนไขอันเฉพาะด้วยการขว้างด้วยก้อนหินจนกระทั่งเสียชีวิต ถ้าหากการดำเนินกฎเกณฑ์ดังกล่าว หรือกฎเกณฑ์ข้ออื่นๆ นำไปสู่การดูถูกเหยียดหยามอิสลามแล้วละก็ วะลียุลฟะกีฮฺ หรือฮากิมชัรอียฺ สามารถเปลี่ยนแปลงวิธีการลงโทษได้ตามความเหมาะสม และต้องสอดคล้องกับกฎหมายอิสลาม ...
  • เป็นไปได้หรือไม่ที่จะรู้จักบุคคลสำคัญในสวรรค์และนรก?
    6849 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/03/07
    มีหลายโองการในกุรอานที่กล่าวถึงบทสนทนาระหว่างชาวสวรรค์และชาวนรก ซึ่งทำให้พอจะทราบคร่าวๆได้ว่าชาวสวรรค์สามารถที่จะรับรู้สภาพและชะตากรรมของบุคคลต่างๆในนรกได้ นอกจากนี้ เหล่าบุรุษชาวอะอ์ร้อฟรู้จักสีหน้าของชาวสวรรค์และชาวนรกเป็นอย่างดี มีฮะดีษมากมายที่ระบุว่าเหล่าบุรุษแห่งอะอ์ร้อฟนั้น ตามนัยยะเชิงแคบก็คือบรรดาอิมามมะอ์ศูม(อ.) ส่วนนัยยะเชิงกว้างก็หมายถึงบรรดามนุษย์ที่ได้รับการเลือกสรร ซึ่งจะอยู่ในลำดับถัดจากบรรดาอิมาม โดยบุคคลเหล่านี้อยู่เหนือชาวสวรรค์และชาวนรกทั้งมวล เราขอนำเสนอความหมายของโองการเหล่านี้ดังต่อไปนี้ 1. โองการที่ 50-57 ซูเราะฮ์ อัศศ้อฟฟ้าต “ในสรวงสวรรค์ ผู้คนต่างหันหน้าเข้าหากันแล้วถามไถ่กันและกัน โดยหนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นว่า แท้จริงฉันมีสหายคนหนึ่งที่ถามฉันว่า เธอเชื่อได้อย่างไรที่ว่าหลังจากที่เราตายและกลายเป็นธุลีดินแล้ว จะถูกนำไปพิพากษา (ชาวสวรรค์กล่าวว่า) ท่านรับรู้สภาพปัจจุบันของเขาหรือไม่? เมื่อนั้นก็ได้ทราบว่าเขาอยู่ ณ ใจกลางไฟนรก (ชาวสวรรค์)กล่าวแก่เขาว่า ขอสาบานต่อพระองค์ เจ้าเกือบจะทำให้ฉันหลงทางแล้ว หากปราศจากซึ่งพระเมตตาของพระองค์ ฉันคงจะอยู่(ในไฟนรก)เช่นกัน”[1] 2. โองการที่ 50-57 ซูเราะฮ์ มุดดัษษิร “ทุกคนย่อมค้ำประกันความประพฤติของตนเอง นอกจากสหายแห่งทิศขวาซึ่งจะถามไถ่กันในสรวงสวรรค์ ...
  • มีฮะดีษจากอิมามศอดิก(อ.)ระบุว่า “การก่อสงครามกับรัฐทุกครั้งที่เกิดขึ้นก่อนการปรากฏกายของอิมามมะฮ์ดี จะเป็นเหตุให้บรรดาอิมามและชีอะฮ์ต้องเดือดร้อนและเศร้าใจ” เราจะชี้แจงการปฏิวัติอิสลามในอิหร่านอย่างไร?
    7781 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/01/19
    ต้องเรียนชี้แจงดังต่อไปนี้:หนึ่ง: เป็นไปได้ว่าฮะดีษประเภทนี้อาจจะเกิดจากการตะกียะฮ์หรือเกิดจากสถานการณ์ล่อแหลมในยุคที่การจับดาบขึ้นสู้มิได้มีผลดีใดๆอนึ่งยังมีฮะดีษหลายบทที่อิมามให้การสนับสนุนการต่อสู้บางกรณีสอง: ฮะดีษที่คุณยกมานั้นกล่าวถึงกรณีการปฏิวัติโค่นอำนาจด้วยการนองเลือดแต่ไม่ได้ห้ามมิให้เคลื่อนไหวปรับปรุงสังคมเพราะหากศึกษาประวัติศาสตร์ก็จะพบว่าบรรดาอิมามเองก็ปฏิบัติตามแนววิธีดังกล่าวเช่นกันหากพิจารณาถึงแนววิธีในการปฏิวัติอิสลามในอิหร่านกอปรกับแนวคิดของผู้นำการปฏิวัติก็จะทราบทันทีว่าการปฏิวัติดังกล่าวมิไช่การปฏิวัติด้วยการนองเลือดและผู้นำปฏิวัติก็ไม่สนับสนุนแนวคิดดังกล่าว สรุปได้ว่าการปฏิวัติอิสลามมิได้ขัดต่อเนื้อหาของฮะดีษประเภทดังกล่าวแต่อย่างใด ...
  • จริงหรือไม่ที่บางคนเชื่อว่าพระเจ้าเป็นเพียงแค่พลังงานเท่านั้น?
    6724 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/08/23
    อัลลอฮ์ทรงดำรงอยู่โดยไม่พึ่งพาสิ่งใดทรงปรีชาญาณทรงมีเจตน์จำนงและปราศจากข้อจำกัดและความบกพร่องทุกประการแต่พลังงานยังมีข้อบกพร่องและข้อจำกัดมากมายอีกทั้งยังปราศจากความรู้และการตัดสินใจเมื่อเทียบคุณสมบัติของพลังงานกับคุณลักษณะของพระเจ้าก็จะทราบว่าพระเจ้ามิไช่พลังงานอย่างแน่นอนเนื่องจาก: พลังงานคือสิ่งที่ขับเคลื่อนให้เกิดกริยาและปฏิกริยาต่างๆโดยพลังงานมีลักษณะที่หลากหลายไม่ตายตัวและสามารถผันแปรได้หลายรูปแบบพลังงานมีคุณสมบัติเด่นดังนี้1. พลังงานมีสถานะตามวัตถุที่บรรจุ2. พลังงานมีแหล่งกำเนิด3. พลังงานมีข้อจำกัดบางประการ4. พลังงานเปลี่ยนรูปได้แต่อัลลอฮ์มิได้ถูกกำกับไว้โดยวัตถุใดๆ
  • มะลาอิกะฮ์และญินรุดมาช่วยอิมามฮุเซน(อ.)จริงหรือไม่ และเหตุใดท่านจึงปฏิเสธ?
    8498 تاريخ بزرگان 2554/12/03
    คำถามนี้ไม่มีคำตอบแบบสั้น ปรดเลือกปุ่มคำตอบที่สมบูรณ์ ...
  • อนุญาตให้แขวนภาพเขียนมนุษย์และสัตว์ภายในมัสญิดหรือไม่?
    7927 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/03
    ก่อนที่จะตอบ เราขอเกริ่นนำเบื้องต้นดังนี้1. บรรดาอุละมาอ์ให้ทัศนะไว้ว่า สถานที่แห่งหนึ่งที่ถือเป็นมักรู้ฮ์(ไม่บังควร)สำหรับนมาซก็คือ สถานที่ๆมีรูปภาพหรือรูปปั้นสิ่งที่มีชีวิต เว้นแต่จะขึงผ้าปิดรูปเสียก่อน ฉะนั้น การนมาซในสถานที่ๆมีรูปภาพคนหรือสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นมัสญิดหรือสถานที่อื่น ไม่ว่ารูปภาพจะแขวนอยู่ต่อหน้าผู้นมาซหรือไม่ก็ตาม[1] ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60389 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57946 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42483 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39769 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39139 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34246 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28287 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28216 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28155 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26094 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...