การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
7956
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2550/10/02
คำถามอย่างย่อ
โองการตัฏฮีร กล่าวอยู่ในอัลกุรอานบทใด?
คำถาม
โองการตัฏฮีร กล่าวอยู่ในอัลกุรอานบทใด?
คำตอบโดยสังเขป

อัลกุรอาน โองการที่รู้จักกันเป็นอย่างดีหรือ โองการตัฏฮีร, โองการที่ 33 บทอัลอะฮฺซาบ.อัลกุรอาน โองการนี้อัลลอฮฺ ทรงอธิบายให้เห็นถึง พระประสงค์ที่เป็นตักวีนีของพระองค์ สำหรับการขจัดมลทินให้สะอาดบริสุทธิ์สมบูรณ์ แก่ชนกลุ่มหนึ่งนามว่า อะฮฺลุลบัยตฺ

อัลกุรอาน โองการนี้นับว่าเป็นหนึ่งในโองการทรงเกียรติยศยิ่ง เนื่องจากมีรายงานจำนวนมากเกินกว่า 70 รายงาน ทั้งจากฝ่ายซุนนีและชีอะฮฺ กล่าวถึงสาเหตุแห่งการประทานลงมา

จำนวนมากมายของรายงานเหล่านั้นอยู่ในขั้นที่ว่า ไม่มีความสงสัยอีกต่อไปเกี่ยวกับจุดประสงค์ของโองการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัตถุประสงค์ของโองการที่กล่าวเกี่ยวกับ อะฮฺลุลบัยตฺ ของท่านศาสดา (ซ็อล น) ซึ่งประกอบไปด้วย ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ ท่านอะลี ท่านฮะซัน และท่านฮุซัยนฺ (อ.) แม้ว่าโองการข้างต้นจะถูกประทานลงมา ระหว่างโองการที่กล่าวถึงเหล่าภริยาของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ก็ตาม แต่ดังที่รายงานฮะดีซและเครื่องหมายอื่นๆ ที่บ่งบอกถึงประเด็นดังกล่าวนั้น สามารถเข้าใจได้ว่า โองการข้างต้นและบทบัญญัติของโองการ มิได้เกี่ยวข้องกับบรรดาภริยาของท่านศาสดาแต่อย่างใด และการกล่าวถึงโองการที่มิได้เกี่ยวข้องกันไว้ในที่เดียวกัน เคยเกิดขึ้นแล้วครั้งหนึ่งในบทมาอิดะฮฺ โองการที่ 3 อันเป็นที่ยอมรับของนักตัฟซีรทั้งหลาย

คำตอบเชิงรายละเอียด

อัลกุรอาน บางโองการเนื่องจากมีคุณสมบัติพิเศษอันเฉพาะจะได้รับการตั้งชื่อไว้พิเศษ เช่น โองการตัฏฮีรเป็นต้น อัลกุรอาน โองการนี้อยู่ในบทอัลอะฮฺซาบ โองการที่ 33 สาเหตุที่ได้รับนามอันเป็นที่รู้จักกันดีนี้ เนื่องจากโองการดังกล่าวอัลลอฮฺ ทรงอธิบายถึงพระประสงค์อันเป็นตักวีนีของพระองค์ เกี่ยวกับอะฮฺลุลบัยตฺ เอาไว้นั่นเอง

ส่วนสาเหตุของการประทานโองการนี้ มีรายงานทั้งจากฝ่ายซุนนีและชีอะฮฺจำนวนมากกล่าวว่า, ท่านหญิงอุมมุซัลมะฮฺ ภรรยาคนหนึ่งของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า : โองการข้างต้นได้ถูกประทานลงมาที่บ้านของฉัน ซึ่งในวันนั้นที่บ้านของฉันมีฟาฏิมะฮฺ อะลี ฮะซัน และฮุซัยนฺ (อ.) อยู่กันอย่างพร้อมหน้า ซึ่งท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้เรียกพวกเขาให้เข้ามาอยู่ภายใต้ผ้าคุม, และเวลานั้นท่านกล่าวว่า : โอ้ อัลลอฮฺ พวกเขาคืออะฮฺลุลบัยตฺของฉัน โปรดขจัดความโสมมและความโสโครกทั้งหลายให้ห่างไกลจากพวกเขา[1]

ตรงนี้จำเป็นต้องกล่าวถึงสิ่งที่โองการได้ไว้เป็นการเฉพาะ ได้แก่ :

1.เมื่อสังเกตคำภาษาอรับที่อธิบายคำพูดตรงนี้, จะเห็นว่ามีคุณลักษณะอันเฉพาะเจาะจงพิเศษ 2 ประการ กล่าวคือ หนึ่งความเฉพาะพิเศษด้านประสงค์ของอัลลอฮฺ ที่ปรารถนาขจัดความโสมมและมลทินทั้งหลาย สองความเฉพาะพิเศษด้านความบริสุทธิ์ และการทำให้อะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) ห่างไกลจากมลทินและความโสมมทั้งหลาย[2]

2.จุดหมายของวัตถุประสงค์ของอัลลอฮฺจากโองการนี้คือ พระประสงค์ที่เป็นตักวีนี ซึ่งทรงประสงค์ให้อะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) สะอาดบริสุทธิ์ เนื่องจากพระประสงค์ที่เป็นตัชรีอียะฮฺ ของพระองค์นั้น ทรงประสงค์กับมนุษย์ทุกคนให้เป็นเช่นนั้น มิได้จำกัดเฉพาะคนใดคนหนึ่ง พระองค์จึงทรงประทานบรรดาศาสนทูต ศาสดา และคัมภีร์จากฟากฟ้าลงมาแก่พวกเขา เพื่อชี้นำทาง ขัดเกลา และสั่งสอนมนุษย์ ด้วยเหตุนี้เอง พระประสงค์ที่เป็นตัชรีอียฺ จึงครอลคุมทั่วไปมิได้ระบุเป็นการเฉพาะแต่อย่างใด

3.วัตถุประสงค์ของ อะฮฺลุลบัยตฺ ในโองการที่กำลังกล่าวถึง หมายถึงใคร? บางคนกล่าวว่า วัตถุประสงค์ของโองการที่กล่าวถึง อะฮฺลุลบัยตฺนั้นหมายถึงเหล่าภิริยาของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ด้วย พวกเขากล่าวว่าสามารถเข้าใจได้จากบริบทของโองการข้างเคียง เนื่องจากโองการทั้งก่อนและหลังจากโองการนี้ กล่าวถึงเหล่าภรรยาของท่านศาสดา ซึ่งไม่มีความหมายแต่อย่างใดที่ระหว่างโองการเหล่านั้น จะมีโองการเฉพาะประทานลงมา และมีวัตถุประสงค์ที่นอกเหนือไปจากบุคคลเหล่านั้น? บรรดานักตัฟซีรทั้งฝ่ายซุนนียฺและชีอะฮฺ ได้ตอบทัศนะดังกล่าวไว้โดยละเอียดในหนังสือตัฟซีรต่างๆ ซึ่งจะขอกล่าวคำตอบเหล่านั้นโดยสังเขปดังนี้ :

หนึ่ง โองการที่กำลังกล่าวถึงได้กล่าวถึงคำสรรพนามบุรุษที่สอง (อันกุม) หมายถึงท่านผู้เป็นผู้ชาย ขณะที่ภริยาของท่านศาสดาเป็นหญิง ดังนั้น การนำคำสรรพนามที่บ่งบอกถึงเพศชาย (อันกุม) มาใช้แทนคำสรรพนาม (อันกุนนะ) ซึ่งบ่งบอกถึงเพศหญิง ถือว่าไม่ถูกต้อง ด้วยเหตุนี้ จำเป็นต้องกล่าวว่า คำสรรพนามที่บ่งบอกถึงเพศชาย ในที่นี้กล่าวถึงกลุ่มชนเฉพาะ และเนื่องจากเพศชายมีจำนวนมากกว่า จึงได้นำเอาคำสรรพนามที่เป็นชายมากล่าว

สอง การเรียงลำดับและการใช้โองการลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นแล้วในอัลกุรอาน, เช่น ในช่วงท้ายโองการที่ 3 บทอัลมาอิดะฮฺ ซึ่งถ้าสังเกตจะเห็นว่าตอนช่วงตรงกลางของโองการ กล่าวถึงเรื่อง อาหารและการบริโภคที่ฮะรอม ทั้งที่โองการส่วนที่กล่าวถึงนั้นเป็นการประกาศความสมบูรณ์ของศาสนา อันเป็นสาเหตุทำให้เหล่าบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่างสิ้นหวังจากศาสนาของพระเจ้าไปตามๆ กัน

ท่านเฏาะบัรซียฺ กล่าวว่า : มิใช่เพียงแค่กรณีนี้กรณีเดียวเท่านั้น ที่โองการอัลกุรอานได้ถูกประทานลงมาเคียงข้างกัน แต่กล่าวถึงหัวข้อแตกต่างกัน, ซึ่งอัลกุรอานนั้นเต็มไปด้วยลักษณะเช่นนี้ ทำนองเดียวกันในคำพูดที่เป็นสำนวน และบทกวีอรับของพวกเขาก็เช่นเดียวกัน มีตัวอย่างทำนองนี้ให้เห็นอย่างมากมาย[3]

อีกด้านหนึ่งระหว่าง 70 รายงานที่อธิบายโองการนี้ ซึ่งรายงานโดยฝ่ายซุนนียฺ (จากสายรายงานของอุมมุซัลมะฮฺ,อาอิชะฮฺ, อบูสะอีด คุดรีย์, อิบนุอับบาส, เษาบาน, วาอิละฮฺ บิน อัสเกาะอฺ, อับดุลลอฮฺ บิน ญะอฺฟัร, อะลี (อ.), ฮะซัน บิน อะลี (อ.), และจากฝ่ายชีอะฮฺ ซึ่งรายงานมาจากท่านอิมามอะลี (อ.) และอิมามซัจญาด (อ.) อิมามบากิร (อ.) อิมามซอดิก (อ.) อิมามริฎอ (อ.), ท่านหญิงอุมมุซัลมะฮฺ. อบูซัร, อบูลัยลา, อบุลอัซวัด ดูอีลี, อุมัร บิน มัยมูน เอาดียฺ, สะอฺ บิน อบี วะกอซ, ซึ่งไม่มีแม้แต่รายงานเดียวที่กล่าวว่า โองการข้างต้นได้ลงมาโองการที่กล่าวถึงเรื่องภรรยาของท่านศาสดา, นอกจากนั้นไม่มีนักตัฟซีรคนใดอีกเช่นกันที่กล่าวทำนองนี้ แม้แต่บุคคลเฉกเช่น อุรวะฮฺ หรืออิกเราะมะฮฺ ก็มิได้กล่าวว่า โองการตัฏฮีรนั้นลงให้แก่บรรดาภริยาของท่านศาสดา หรือโองการดังกล่าวลงมาในเรื่องเดียวกันกับโองการก่อนหน้า[4]

รายงานจำนวนมากที่กล่าวไว้นั้น ทำให้เข้าใจได้เป็นอย่างดีว่าจุดประสงค์คือ บรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ ดังรายงานที่กล่าวว่า :

ฮากิม เนชาบูรี (อิมามนักรายงานฮะดีซฝ่ายซุนนี) กล่าวไว้ในมุสตัดร็อก เซาะฮียฺฮัยนฺ โดยรายงานมาจาก อับดุลลอฮฺ บิน ญะอฺฟัร หลังจากกล่าวถึงสาเหตุแห่งการประทานลงมาของโองการนี้แล้ว กล่าวว่า สายรายงานฮะดีซเหล่านี้ถูกต้อง, ท่านมุสลิมกล่าวไว้ในหนังสือเซาะฮียฺ, บัยฮะกียฺ กล่าวไว้ในซุนันกุบรอ, ฏ็อบรียฺ และอิบนุกะษีร และซุยูฎียฺ กล่าวไว้ในตัฟซีรของท่าน, ติรมิซียฺ กล่าวไว้ในเซาะฮียฺ, เฏาะฮาวียฺ กล่าวไว้ในมัชกะลิลอาษาร, ฮัยษัมมี กล่าวไว้ในมัจญฺมะอุซซะวาอิด, อะฮฺมัด บิน ฮันบัล กล่าวไว้ในมุสนัด ซึ่งทั้งหมดกล่าวถึงสาเหตุแห่งการประทานลงมาของโองการโดยรายงานมาจากสายรายงานที่แตกต่างกัน เช่น อุมมุซัลมะฮฺ, วาษิละฮฺ, อุมัร บิน อบีซัลมะฮฺ, และอาอิชะฮฺ, ซึ่งท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้ระบุถึงอะฮฺลุบัยตฺของท่านซึ่งประกอบด้วย ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ ท่านอะลี ท่านฮะซัน และท่านฮุซัยนฺ (อ.) โดยให้บุคคลเหล่านั้นเข้าไปอย่ภายใต้เสื้อคุมของท่าน[5] แม้แต่ในหนังสือติรมิซียฺ ในหมวดความประเสริฐของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (อ.), หนังสือตัฟซีรซุยูฎียฺ รายงานจากอบูสะอีด คุดรียฺ และหนังสือมัชกะลิลอาษาร ของเฏาะฮาวียฺ กล่าวว่า ท่านหญิงอุมมุซัลมะฮฺ หลังจากบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) ได้เข้าไปภายใต้เสื้อคุมของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) แล้ว เธอได้ขอเข้าไปอยู่ภายใต้เสื้อคุมนั้นด้วย โดยกล่าวว่า : โอ้ ท่านเราะซูลขอให้ฉันเข้าไปอยู่ในนั้นด้วยได้หรือไม่? ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ตอบว่า เธอจงอยู่ในที่ของเธอนั่นดีแล้ว (หมายถึงอย่าได้เข้ามาภายใต้เสื้อคุมนี้เลย)

สาม เมื่อพิจารณาคำว่า » ริจญฺซุน« ในโองการที่กำลังกล่าวถึง จะเห็นว่ามี อลีฟกับลามอยู่ด้วย ซึ่งตามหลักภาษาอรับถือว่าเป็น อลีฟลามญินซ์ หมายถึงบ่งบอกให้เห็นถึงประเภทของๆ สิ่งนั้น, ฉะนั้น ความหมายของโองการจึงหมายถึงว่า อัลลอฮฺทรงประสงค์ที่จะขจัดสิ่งโสโครกทุกประเภท ความต่ำทราม และความชั่วร้ายให้พ้นไปจากพวกเขา, ดังนั้น การขจัดอย่างสมบูรณ์เช่นนี้ถือว่าตรงกับความบริสุทธิ์ที่พระเจ้าทรงกล่าวถึง[6] ขณะที่ไม่มีผู้ใดกล่าวอ้างถึงความบริสุทธิ์ของบรรดาภริยาของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) แม้แต่คนเดียว, กล่าวคือมิมีผู้ใดกล่าวว่า เหล่าภริยาของท่านศาสดามีความบริสุทธิ์จากความผิดทั้งปวง หรือได้รับการยกเว้นจากความผิดพลาด ด้วยเหตุนี้เอง โองการข้างต้นจึงเป็นเหตุผลที่ยืนยันถึงความบริสุทธิ์ของบรรดาอิมาม (อ.)[7]

ด้วยเหตุนี้ จุดประสงค์ของอะฮฺลุลบัยตฺ ในโองการข้างต้นจึงหมายถึงบุคคลทั้งห้าท่าน หรือที่รู้จักกันในนามของ อาลิกีซา และกฎเกณฑ์ของโองการก็ระบุเฉพาะเจาะจงสำหรับพวกเขาเท่านั้น

ศึกษาเพิ่มเติมได้จากคำถามที่ 898, หัวข้อ : อะฮฺลุลบัยตฺ (อ.)

 


[1] ตัฟซีรอัลมีซาน ฉบับแปล, เล่ม 16, หน้า 457.

[2] อ้างแล้วเล่มเดิม, หน้า 462.

[3] เฏาะบัรซียฺ, มัจญฺมะอุลบะยาน, เล่ม 7, หน้า 560.

[4] อ้างแล้ว, หน้า 466

[5] โองการตัฏฮีร ดัรกุตุบ โด มักตับ, อัลลามะฮฺ ซัยยิด มุรตะฎอ อัซการียฺ, หน้า 12-20.

[6] ตัฟซีรอัลมีซาน ฉบับแปล, เล่ม 16, หน้า 467.

[7]  อ้างแล้วเล่มเดิม

 

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ถ้าหากพิจารณาบทดุอาอฺต่างๆ ในอัลกุรอาน จะเห็นว่าดุอาอฺเหล่านั้นได้ให้ความสำคัญต่อตัวเองก่อน หลังจากนั้นเป็นคนอื่น เช่นโองการอัลกุรอาน ที่กล่าวว่า “อะลัยกุม อันฟุซะกุม” แต่เมื่อพิจารณาดุอาอฺของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺจะพบว่าท่านหญิงดุอาอฺให้กับคนอื่นก่อนเป็นอันดับแรก, ดังนั้น ประเด็นนี้จะมีทางออกอย่างไร?
    9592 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/12/21
    ในตำแหน่งของการขัดเกลาจิตวิญญาณและยกระดับจิตใจตนเองนั้น, มนุษย์ต้องคำนึงถึงตัวเองก่อนบุคคลอื่นเพราะสิ่งนี้เป็นคำสั่งของอัลกุรอานและรายงานนั่นเอง, เนื่องจากถ้าปราศจากการขัดเกลาจิตวิญญาณแล้วการชี้แนะแนวทางแก่บุคคลอื่นจะบังเกิดผลน้อยมาก, แต่ส่วนในตำแหน่งของดุอาอฺหรือการวิงวอนขอสิ่งที่ต้องการจากพระเจ้า,ถือว่าเป็นความเหมาะสมอย่างยิ่งที่มนุษย์จะวอนขอให้แก่เพื่อนบ้านหรือบุคคลอื่นก่อนตัวเอง, ...
  • การลงโทษความผิดบาปต่างๆ บางอย่าง จะมากกว่าการลงโทษบาปอื่น ๆ บางอย่างใช่หรือไม่?
    9100 จริยธรรมทฤษฎี 2555/08/22
    อัลกุรอานและรายงานฮะดีซจากอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) เข้าใจได้ว่า ความผิดต่างๆ ถ้าพิจารณาในแง่ของการลงโทษในปรโลกและโลกนี้ จะพบว่ามีระดับขั้นที่แตกต่างกัน อัลกุรอานถือว่า ชิริก คือบาปใหญ่และเป็นการอธรรมที่เลวร้ายที่สุด ทำนองเดียวกัน การกระทำความผิดบางอย่างได้รับการสัญญาเอาไว้ว่า จะต้องได้รับโทษทัณฑ์อย่างแน่นอน นั่นบ่งบอกให้เห็นว่า มันเป็นความผิดใหญ่นั่นเอง ในแง่ของการลงโทษความผิดทางโลกนี้ สำหรับความผิดบางอย่างนั้นคือ การเฆี่ยนตีให้หลาบจำ ซึ่งได้ถูกกำหนดไว้ แต่การลงโทษความผิดบางอย่าง เช่น การฆ่าคนตายโดยเจตนา จะต้องถูกประหารชีวิตให้ตายตกไปตามกัน หรือบาปบางอย่างนอกจากต้องโทษแล้ว ยังต้องจ่ายสินไหมเป็นเงินตอบแทนด้วย ...
  • กรุณานำเสนอตัวบทภาษาอรับของฮะดีษที่ระบุถึงความความสำคัญของประวัติศาสตร์และประวัติศาสตร์นิพนธ์ พร้อมทั้งแหล่งอ้างอิง
    6630 تاريخ کلام 2555/03/18
    มีโองการกุรอานและฮะดีษมากมายกล่าวถึงความสำคัญของประวัติศาสตร์และการครุ่นคิดถึงความเป็นไปของคนรุ่นก่อน ทั้งนี้ก็เพื่อให้สามารถเก็บเกี่ยวบทเรียนจากแนวประสบการณ์ของบุคคลในอดีตมาปรับประยุกต์ใช้ได้ในอนาคต จุดประสงค์ดังกล่าวปรากฏเด่นชัดในสำนวนฮะดีษจากท่านอิมามอลี(อ.) ด้วยเหตุนี้เราจึงขอนำเสนอฮะดีษจากท่าน ณ ที่นี้ อิมามอลี(อ.)ได้กล่าวไว้ในสาส์นที่มีถึงท่านอิมามฮะซันเกี่ยวกับความสำคัญของประวัติศาสตร์ว่า “ลูกพ่อ แม้ว่าพ่อจะมิได้มีอายุขัยเท่ากับอายุขัยของบรรพชนรวมกัน แต่เมื่อพ่อได้ไคร่ครวญถึงพฤติกรรมและข่าวคราวของบรรพชน และได้ท่องไปในความเป็นมาของพวกเขาทำให้พ่อรู้สึกราวกับว่าได้อยู่ในยุคของพวกเขา หรืออาจจะกล่าวได้ว่าการศึกษาประสบการณ์ของบรรพชนทำให้พ่อเสมือนมีชีวิตอยู่ตั้งแต่มนุษย์คนแรกจนถึงคนสุดท้าย” สอง. ท่านกล่าวไว้อีกเช่นกันว่า “จงพิสูจน์สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นด้วยกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว จงใช้ผลการศึกษาเรื่องราวในอดีตในการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต ทั้งนี้ก็เพราะปรากฏการณ์ในโลกคล้ายคลึงกัน จงอย่าเอาเยี่ยงอย่างผู้ที่ไม่รับฟังคำแนะนำจนกระทั่งประสบความยากลำบาก เพราะมนุษย์ผู้มีปัญญาจะต้องได้รับอุทาหรณ์ด้วยการครุ่นคิด มิไช่สัตว์สี่เท้าที่จะต้องเฆี่ยนตีเสียก่อนจึงจะเชื่อฟัง” ...
  • จุดประสงค์ของการสร้างคืออะไร จงอธิบายเหตุผลในเชิงเหตุผลนิยม ถ้าเป้าหมายคือความสมบูรณ์แล้วทำไมพระเจ้าไม่ทรงสร้างมนุษย์ให้สมบูรณ์แบบ
    14142 เทววิทยาดั้งเดิม 2553/10/21
    พระเจ้าคือผู้ดำรงอยู่ที่ไม่มีความจำกัด พระองค์ทรงมีความสมบูรณ์แบบทุกประการ การสร้าง (บังเกิด) เป็นความงดงาม และพระองค์คือผู้มีความงดงามความงดงามอันสมบูรณ์แบบของพระองค์ เป็นตัวกำหนดว่าพระองค์ทรงสร้างทุกอย่างขึ้นตามคุณค่าของมัน ดังนั้น พระเจ้าทรงสร้างเป็นเพราะพระองค์คือผู้งดงาม หมายถึงจุดประสงค์และเป้าหมายในการสร้างของพระองค์นั้นงดงาม อีกด้านหนึ่งคุณลักษณะอาตมันของพระเจ้าไม่ได้แยกออกจากอาตมันของพระองค์ จึงสามารถกล่าวได้ว่าจุดประสงค์ของการสร้างคือ อาตมันของพระเพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์มาโดยให้มีแนวโน้มที่ดีและความชั่วร้ายภายใน และทรงประทานผู้เชิญชวนภายนอก 2 ท่าน ที่ดีได้แก่ศาสดา (นบี) และความชั่วร้ายได้แก่ชัยฎอน (ปีศาจ), ทั้งนี้มนุษย์สามารถบรรลุความสมบูรณ์สูงสุดของสรรพสิ่งที่อยู่หรือก้าวไปสู่ความชั่วช้าที่ต่ำทรามที่สุดก็เป็นได้ ทั้งที่มนุษย์นั้นมีพลังของเดรัจฉานและการลวงล่อของซาตานที่ล่อลวงอยู่ตลอดเวลา ...
  • ควรจะตอบคำถามเด็กๆ อย่างไร เมื่อถามเกี่ยวกับอัลลอฮฺ?
    8179 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/06/30
    ไม่สมควรหลีกเลี่ยงคำถามต่างๆ ที่เด็กๆ ได้ถามเกี่ยวกับอัลลอฮฺ, ทว่าจำเป็นต้องตอบคำถามเหล่านั้นด้วยความถูกต้อง เข้าใจง่าย และมั่นคง,โดยอาศัยข้อพิสูจน์เรื่องความเป็นระบบระเบียบของโลก พร้อมคำอธิบายง่ายๆ ขณะเดียวกันด้วยคำอธิบายที่ง่ายนั้นต้องกล่าวถึงความโปรดปรานของพระเจ้าชนิดคำนวณนับมิได้ ซึ่งอยู่ร่ายรอบตัวเอรา นอกจากนั้นยังสามารถพิสูจน์คุณลักษณะบางประการของพระองค์ เช่น ความปรีชาญาณ, พลานุภาพ, และความเมตตาแก่เด็กๆ ...
  • ศาสนาและวัฒนธรรมมีความสัมพันธ์กันอย่างไร?
    13584 เทววิทยาใหม่ 2554/06/02
    การที่จะสามารถนิยามความสัมพันธระหว่างศาสนาและวัฒนธรรมจารีตได้นั้นขั้นแรกต้องเข้าใจถึงลักษณะจำเพาะเป้าประสงค์และผลผลิตของทั้งศาสนาและวัฒนธรรมเสียก่อน.บางคนปฎิเสธความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาและวัฒนธรรมโดยสิ้นเชิงทัศนคตินี้ค่อนข้างจะไร้เหตุผลทั้งนี้ก็เพราะแม้ว่าวัฒนธรรมจารีตบางประเภทอาจจะผิดแผกและไม่เป็นที่ยอมรับโดยศาสนาเนื่องจากขัดต่อเป้าประสงค์ที่ศาสนามุ่งนำพามนุษย์สู่ความผาสุกแต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่ายังมีวัฒนธรรมจารีตอีกมากมายที่สอดคล้องและได้รับการยอมรับโดยศาสนายิ่งไปกว่านั้นยังมีวัฒนธรรมจารีตบางส่วนที่เกิดขึ้นจากคุณค่าที่ได้รับการฟูมฟักโดยศาสนาเช่นกัน. ...
  • เด็กผู้ชายที่มีอายุ 12 ปีสามารถเข้าร่วมในการนมาซญะมาอัตแถวเดียวกับผู้ชายคนอื่นๆได้หรือไม่?
    6672 สิทธิและกฎหมาย 2555/03/08
    การที่ลูกหลานและเยาวชนเข้าร่วมกิจกรรมมัสยิดและร่วมนมาซญะมาอัตจะทำให้พวกเขาผูกพันกับการนมาซ ซึ่งไม่เพียงแต่ไม่เป็นที่ต้องห้าม ทว่าถือเป็นมุสตะฮับอย่างยิ่ง[1] แต่ประเด็นที่ว่า การที่เด็กที่ยังไม่สามารถแยกแยะถูกผิดได้และยังไม่บรรลุนิติภาวะจะเข้าร่วมในนมาซญะมาอัต และจะทำให้การนมาซของผู้อื่นมีปัญหาหรือไม่นั้น มีสองประเด็นดังต่อไปนี้ ผู้นมาซคนอื่นๆสามารถที่จะเชื่อมต่อกับอิมามญะมาอัตได้โดยวิธีอื่น ในกรณีนี้การนมาซญะมาอัตของผู้อื่นถือว่าไม่มีปัญหาแต่อย่างใด[2] การที่ผู้อื่นจะต้องเชื่อมต่อกับอิมามญะมาอัตโดยผ่านผู้ที่ยังไม่บรรลุนิตะภาวะเท่านั้น (เช่นมีเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะยื่นอยู่ที่แถวหน้าหลายคน ในกรณีนี้คำวินิจฉัยของอุลามามีดังนี้ “หากในระหว่างแถวที่มีการนมาซญะมาอัตมีเด็กที่สามารถแยกแยะถูกผิดได้ยืนอยู่ หากเรามิได้แน่ใจว่านมาซของเขาไม่ถูกต้อง ก็สามารถยืนแถวต่อจากเขาได้”[3] อนึ่ง กฏดังกล่าวมีไว้สำหรับกรณีที่มีเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะยืนอยู่หลายๆคนในแถวเดียวกัน แต่ถ้าหากเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะยืนอยู่ในแถวนมาซญะมาอัตหลายคน ทว่าไม่ได้ยืนอยู่ติดๆกัน โดยยืนในลักษณะกั้นกลางผู้ที่บรรลุนิติภาวะแล้วสองคน (ถึงแม้ว่าเราจะรู้ว่านมาซของพวกเขาไม่ถูกต้องก็ตาม) ก็ไม่ทำให้นมาซของผู้อื่นมีปัญหาแต่อย่างใด อ่านเพิ่มเติมได้ที่ “การจัดแถวในการนมาซญะมาอัตและฮุกุมของการเคลื่อนไหวในการนมาซ”, ...
  • ความสำคัญ และปรัชญาของการจัดพิธีกรรมรำลึกถึงท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) คืออะไร?
    8060 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/12/20
    สำหรับการติดตามผลอย่างมีนัยของการให้ความสำคัญและปรัชญาของการจัดพิธีกรรมรำลึกถึงท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) จำเป็นต้องพิจารณาประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้:1. ...
  • การนั่งจำสมาธิคืออะไร? ชีอะฮฺมีทัศนะอย่างไรเกี่ยวกับการนั่งจำสมาธิ?
    9485 รหัสยปฏิบัติ 2557/05/20
    วัตถุประสงค่ของการนั่งจำสมาธิ (การอิบาดะฮฺ 40 วัน) คือการเดินจิตด้านใน, การจาริกจิต, การคอยระมัดระวังตนเองภายใน 40 วัน, เพื่อยกระดับและพัฒนาจิตด้านในของบุคคล เพื่อเตรียมพร้อมที่จำเป็น สำหรับการรองรับวิทยญาณและวิชาการของพระเจ้า ซึ่งนักเดินจิตด้านใน และปราชญ์ฝ่ายชีอะฮฺส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับประเด็นดังกล่าว ซึ่งวางอยู่บนพื้นฐานของโองการและรายงานฮะดีซ ด้วยเหตุนี้ การอิบาดะฮฺและการตั้งเจตนาด้วยความจริงใจและบริสุทธิ์ใจ ภายใน 40 วัน จึงถือว่าเป็นการปฏิบัติที่ดีที่สุด แต่สิ่งที่นักเดินจิตด้านในตักเตือนไว้คือ จงอย่าให้การนั่งจำสมาธิกลายเป็นเครื่องมือละทิ้งสังคม ปลีกวิเวกจนกลายเป็นความสันโดษ ...
  • ในกุรอานมีกี่ซูเราะฮ์ที่มีชื่อเหมือนบรรดานบี?
    21246 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/03/04
    ในกุรอานมีหกซูเราะฮ์ที่มีชื่อคล้ายบรรดานบี ได้แก่ ซูเราะฮ์นู้ห์, อิบรอฮีม, ยูนุส, ยูซุฟ, ฮู้ด และ มุฮัมมัด อย่างไรก็ดี จากคำบอกเล่าของฮะดีษบางบททำให้นักอรรถาธิบายกุรอานเชื่อว่า ซูเราะฮ์บางซูเราะฮ์อย่างเช่น ฏอฮา[1], ยาซีน[2], มุดดัษษิร[3], มุซซัมมิ้ล[4] หมายถึงท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.) จึงอาจจะจัดได้ว่าซูเราะฮ์ต่างๆข้างต้นถือเป็นซูเราะฮ์ที่มีชื่อเหมือนบรรดานบีได้เช่นเดียวกัน คำถามนี้ไม่มีคำตอบเชิงรายละเอียด [1] มะการิม ชีรอซี,นาศิร,ตัฟซี้รเนมูเนะฮ์,เล่ม ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60706 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58356 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42812 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    40325 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39428 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34557 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28622 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28530 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28480 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26394 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...